top of page

AEC : สัญญาณวิบัติประชาชาติ

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2556


ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมามีผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมนำความคิดเชิงวาทกรรมชุดหนึ่งมาเผยแพร่ในสังคมเรื่อง รายได้ประชาชาติ [Gross Domestic Product : GDP] กับ ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [Gross National Happiness : GNH]



เนื่องจากสังคมไทยให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้เพื่อความร่ำรวยในทางวัตถุที่เป็นรูปธรรมจนขาดความสุขทางจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรมอันเป็นความสงบสุขที่แท้จริง สังคมที่ถูกนำมาอ้างอิงเป็นแบบอย่างในช่วงเวลานั้นก็คือ ภูฐาน อันเป็นประเทศเล็กบนเทือกเขาหิมาลัย ทำให้เกิดการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฐานและมีการนำทัวร์นำเที่ยวกันอย่างครึกโครมของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนและต่างกลับมายกย่องกล่าวขวัญถึงการเป็นสังคมที่มีความสุขมวลชนของประชาชาติ ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนธรรมมีทั้งทีมงานทีมวิชาการจากประเทศไทยไปภูฐานและจากภูฐานมาไทย ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างระหว่างกัน


ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสร่วมเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขาเหมือนกัน จนเกิดพัฒนาความเข้าใจไปในเชิงนอกรีตนอกรอยจากคนอื่น ๆ โดยคิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เข้าไปภูฐานนั้นยังมองอะไรที่ยังไม่ถนัดในเรื่องอะไรคือ ความสุขมวลชนของคนภูฐาน เพราะไม่ค่อยได้ไปซักถามเรียนรู้และสังเกตเห็นอะไรจากการที่เข้าไปในสังคมของคนภูฐาน แต่ดูยินดีในการเสวนาแลกเปลี่ยนเชิงสั่งสอนให้กับคนภูฐานในเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบอเมริกาที่ทางไทยโอ่ว่าเป็นเรื่องสมัย


ดูไปแล้วเคยคิดว่าแทนที่จะไปเรียนรู้อะไรคือความสุขเพื่อจะได้นำมาสร้างขึ้นบ้างในเมืองไทย กลับเป็นเรื่องการนำทุกข์ที่เกิดจากประชาธิปไตยสาธารณ์และทุนสามานย์ไปสอนเขา


ในความเข้าใจของข้าพเจ้าภูฐานเป็นประเทศของผู้คนในโลกหิมาลัย [Himalayan world] เป็นโลกของผู้คนที่ต่างทั้งภพภูมิกับคนไทยและคนอื่นๆ ที่อยู่แต่เชิงเขาหิมาลัยลงไปถึงจดทะเลจดมหาสมุทร จากที่ได้เข้าไปเห็นและสัมผัส โลกหิมาลัยคือแดนหิมพานต์ที่หิมะสีขาวเงินยวงปกคลุมครึ่งปีและอีกครึ่งปีเป็นป่าเขาสีเขียวสดภายใต้ท้องฟ้าที่สดใสไร้มลทินจากเมฆและฝน เป็นดินแดนกึ่งโลกมนุษย์กับสวรรค์ที่อยู่เหนือยอดเขาหิมาลัยขึ้นไป


ความเป็นมนุษย์ของคนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐาน เนปาล ทิเบตและที่อื่น ๆ นั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างชัดเจน ต่างกันกับบรรดามนุษย์โลกที่อยู่ใต้เขาหิมาลัยที่นับวันความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติและจักรวาลอยู่ในสภาพที่เลือนรางทุกวัน โดยเฉพาะมนุษย์โลกในสังคมไทยที่แต่ก่อนเคยโอ้อวดถึงความเป็นเมืองพุทธเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีสันติสุข โดยเฉพาะสุขทั้งกายและใจในมิติของจิตวิญญาณ แต่หลังจากไปคบค้าสมาคมกัน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เป็นอสุรกายของโลก ความเชื่อในพระศาสนาอันเป็นที่มาของศีลธรรม จริยธรรม และความสงบสุขทั้งการและใจในจิตวิญญาณก็สลายไปในหมู่คนรุ่นพ่อแม่และลูกหลานที่กลายเป็นทาสทางความคิดของบรรดาอสุรกายไป


คนไทยทุกวันนี้ถูกความโลภความต้องการทางวัตถุแสวงหาอำนาจและเงินตราจนโงหัวไม่ขึ้น เกิดความขัดแย้งแย่งชิงกันจากความโลภ โมหะ และราคะที่ทำให้เกิดความโกรธเกลียดถึงขั้นมีการฆ่าล้างทำร้ายกันแล้ว ซึ่งก็นับวันจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ


จึงดูเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับข้าพเจ้า ที่เกิดมีผู้โหยหาความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] แบบอย่างภูฐานบ้าง แต่แทนที่จะไปเรียนรู้จากเขากลับไปเอาคัมภีร์ของอสุรกายเรื่องประชาธิปไตยสาธารณ์และเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ไปเผยแพร่


ความสุขกายและสุขใจของคนภูฐานและคนในโลกหิมาลัยเกิดจากความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานที่เรียกว่าวัชรยานซึ่งเป็นลัทธิศาสนาแบบตันตริกที่มองว่ามนุษย์จะบรรลุความหลุดพ้นทางโลกเข้าสู่นิพพานได้ด้วยประสบการณ์ในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียง โดยสร้างบุคคลาธิษฐานให้เกิดตัวตนขึ้นทั้งในสิ่งที่เป็นความชั่วและความดี เช่น ความชั่วจะแลเห็นในรูปของมารอสุรกาย อมนุษย์ สัตว์ร้าย ส่วนสิ่งที่เป็นความดีงามเป็นเทพเป็นพระและสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล เป็นต้น


บนสวรรค์ของคนในโลกหิมาลัยมีพระเทพพุทธเจ้าหลายพระองค์และพระเทพโพธิสัตว์หลายพระองค์ที่อุบัติมาแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต แต่พระเทพโพธิสัตว์ที่เป็นที่กราบไหว้วิงวอนของคนทั้งหลายองค์สำคัญก็คือ “พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” เป็นพระเทพแห่งความกรุณาปราณีที่จะทรงช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นความโลกกิเลสและตัณหา


คนในโลกหิมาลัยไม่ว่าภูฐานและทิเบตเพรียกหาด้วยมนตราและคาถาว่า โอม มณี ปัทเม หุม เพื่อทำให้เกิดสติปัญญาที่นำไปสู่ความหลุดพ้นได้ทุกขณะจิต เหตุนี้จึงมีคาถาที่ปรากฏในรูปของธงมนต์ ระฆังมนต์ ล้อมนต์และจารึกอยู่ในแทบทุกพื้นที่ของบ้านเมือง


เป็นมนตราที่ท่องบนอยู่ในทุกขณะจิตที่เว้นว่างจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นในย่านตลาดและร้านค้าที่มีการซื้อขาย คนที่เป็นพ่อค้าและแม่ค้าจะมีระฆังมนต์ขนาดเล็กที่ถือและแกว่งได้เป็นประจำ จะแกว่งสวดมนต์แม้แต่ในขณะขายของเพื่อให้เกิดแสงสว่างแห่งความหลุดพ้นเสมือนมณีเพชรรัตน์ที่ทำให้เกิดสภาวะหลุดพ้นที่เบิกบานไร้มลทินเช่นดอกบัว


สำหรับข้าพเจ้าคิดว่าคาถา โอม มณี ปัทเม หุมนี้คือสิ่งที่ให้คนสามารถกำหนดปัจจุบันอย่างมีสติปัญญาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่ทำให้เกิดภาพรวมที่ว่า ความสุขมวลรวมของประชาชาติ [GNH]


ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนไทยรุ่นพ่อแม่ลูกและหลานในสังคมไทยปัจจุบันเข้าใจในสิ่งนี้เลย โดยเฉพาะพวกคนที่ได้รับการอบรมและถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจ การเมือง จากอสุรกายอเมริกันที่มีอยู่ทั่วทุกระแหงในวงราชการ การค้าธุรกิจ และการศึกษาของประเทศ


ปัจจุบันความต้องการเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติดูซบเซาไปไม่มีใครใคร่พูดถึง มีแต่การส่งเสริมให้มีการไปท่องเที่ยวที่ภูฐานแทน ซึ่งก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการท่องเที่ยวเพื่อบริโภคความสนุกมากกว่าไปเรียนรู้ แต่ที่น่ากลัวก็คืออาจไปแพร่ความโลภความอยากทางวัตถุให้กับรัฐและประชาชนภูฐานเพื่อเชื้อเชิญความทุกข์มวลรวมประชาชาติ [Gross national suffering] เสียมากกว่า


สังคมไทยเป็นสังคมที่ป่วยมานานแล้ว มักหาความหลุดพ้นใหม่ ๆ ด้วยการสร้างวาทกรรมอยู่เนืองๆ ไม่ใช่มีแต่เรื่องการแทน GDP ด้วย GNH เพื่อครั้งนี้เท่านั้น ครั้งก่อนๆ ก็มีเช่นเรื่องการอยากเป็นนิกส์ [Nicks] คือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ เป็นหนึ่งในเสือห้าตัวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น


แต่ผลที่ตามมาของการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อการลงทุนก็ล่มจมทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ทำให้บรรดาชนชั้นกลางและนายทุนใหญ่น้อยทั่วประเทศล่มจม ล้มละลาย และฆ่าตัวตายกันเป็นแถว ๆ ไป มาครั้งความอยากจะมี GNH แบบภูฐานก็กลายเป็นลมเป็นแล้งเพราะไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ในสังคมทุนนิยมประชาธิปไตยแบบใช้เงินซื้อเสียงที่สร้างความโลภความอยากทางวัตถุอยู่ตลอดเวลา จึงไม่เกิดผลอะไรนอกจากดิ่งลงไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์มวลรวมมากกว่า


แต่เมื่อเรื่อง GNH หมดไปก็เกิดความหวังใหม่ขึ้นมาแทนคือ AEC [Asian Economic Community] ซึ่งดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นโครงการและกระบวนการที่คิดขึ้นและสร้างขึ้นโดยคนในกลุ่มประเทศอาเซียน [ASIAN] เพราะมีการร่วมคิดร่วมประชุมอยู่เนือง ๆ เช่นมีการประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างกัน เป็นต้น


แต่มองให้ลึกแล้วก็จะเห็นได้ว่า มีมหาอำนาจใหญ่ทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกอยู่เบื้องหลัง ดังเห็นได้จากการมีผู้นำหรือผู้แทนสำคัญเข้ามาร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง ซึ่งหนทางที่จะเจ้ามาครอบงำได้นั้นก็ต้องอาศัยการประชุมแบบจีทูจี คือประชุมกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกัน แต่มีประเทศมหาอำนาจเข้ามาร่วมในลักษณะ G บวกห้าหรือบวกหก เป็นต้น


ซึ่งเมื่อมีการประชุมกันทุกครั้งแล้วก็พอมองเห็นได้ว่าในทางเศรษฐกิจและการเมืองประเทศอาเซียนซึ่งไทยเป็นสมาชิกหนึ่งนั้นล้วนเป็นประเทศสองฝ่ายฟ้าคืออยู่ระหว่างมหาอำนาจทางตะวันตกที่มีอเมริกาเป็นหัวหอก กับมหาอำนาจตะวันออกที่มีจีนเป็นหัวเรือใหญ่ แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าคิดเฉพาะประเทศไทยว่า เป็นประเทศขี้ข้าสองฝ่ายฟ้าที่แย่ที่สุด เพราะขาดสติปัญญาและประสบการณ์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการต่อสู้ต่อต้านและต่อรอง อันเนื่องมาจากเป็นขี้ข้าทางปัญญาของอสุรกายอเมริกันมาไม่ต่ำกว่าครึ่งศตวรรษ


อาการของการเป็นทาสปัญญานั้นคือคิดไม่เป็น สังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ไม่เป็น ท่องจำตะบัน และเชื่อตะบัน ลักษณะเช่นนี้ครอบคลุมไปถึงการศึกษาของเด็กและนักศึกษาในโรงเรียนและตามมหาวิทยาลัยด้วย หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งออกเป็นสองค่าย คือค่ายคอมมิวนิสต์ที่รัสเซียและจีนเป็นผู้นำ กับค่ายประชาธิปไตยที่อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศสเป็นผู้นำ


ไทยคือทาสที่ซื่อสัตย์และซื่อบื้อของอเมริกันโดยยืนหยัดในการเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองและรัฐสภาอย่างแข็งขันในโอวาทของอเมริกัน ทั้ง ๆ ที่เนื้องานในการปฏิบัติคือเผด็จการมาโดยตลอด เพราะโครงสร้างทางการเมืองการปกครองเป็นอำนาจรวมศูนย์ที่ไม่เคยคิดที่จะกระจายลงล่างตามอุดมคติของประชาธิปไตย


แต่ที่สำคัญ เน้นระบบการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลที่เป็นการซื้อเสียงกันเข้ามาเป็นผู้แทนในพรรคการเมือง เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากสามารถมีอำนาจในสภาและเข้ายึดครองอำนาจและงบประมาณในการปกครองและบริหารได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวงในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง พ่อค้า และนักธุรกิจอย่างกว้างขวาง


คนเหล่านี้ที่มีอำนาจหน้าที่เป็นคนของรัฐแทบไม่มีความคิดอันใดในเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติและความสงบสุข ความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ตั้งหน้าตั้งตาโกงกิน มอมเมา และหลอกลวงประชาชนในรูปของประชานิยม ในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นวิธีการแบบเดียวกันของทุกพรรคการเมืองที่ผลัดกันเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล


“ประชานิยมคือฉิบหายนิยม” ที่รัฐบาลนำรายได้ของประเทศที่เป็นภาษีอากรจากประชาชนมาแจกจ่ายให้กับประชาชนตามท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อการหาเสียง ซื้อเสียงในการเลือกตั้งและในการสร้างการยอมรับเพื่อความชอบธรรมในการโกงชาติของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ทำให้ประชาชนที่มีการศึกษาน้อยและตามไม่ทันรัฐบาล ตามไม่ทันโลกของทุนนิยม ชื่นชอบให้การสนับและยอมให้รัฐบาลและนักการเมืองสนตะพายเหมือนการล่ามควายและจูงควาย จึงเกิดปรากฏการณ์ของคนเสื้อแดงและโจรเสื้อแดงขึ้น ซึ่งกำลังสร้างความพินาศฉิบหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในขณะนี้อย่างสุด ๆ


คนเสื้อแดงกับโจรเสื้อแดงแม้จะอยู่ด้วยกันแต่ก็ต่างกันในเรื่องที่ว่า คนเสื้อแดงเป็นพลเมืองที่เกิดมาจากประชาชนคนเบื้องล่างที่มีการศึกษาน้อยอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับการกดขี่และดูถูกจากบรรดาขุนนางและข้าราชการของรัฐรวมศูนย์มาเป็นเวลาช้านาน แต่ก็ถูกหลอกโดยคนที่เป็นโจรเสื้อแดงที่เป็นนักธุรกิจการเมืองให้มาเป็นพวกด้วยระบบประชานิยม ที่นอกจากจะลงทุนใช้เงินแจกแล้วยังหนุนให้มีอำนาจในการขัดขืนและข่มขู่บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการรักษาความสงบและความมีระเบียบและกฎหมายของบ้านเมือง


โจรเสื้อแดงกลายเป็นคนมีอำนาจแบบถูกกฎหมาย เพราะทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมายภายใต้รัฐบาลโจรเสื้อแดงที่สามารถควบคุมตำรวจ อัยการ ทหาร ข้าราชการ และนักวิชาการได้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนทำอะไรก็ได้ก็ไม่ผิดถึงผิดก็ทำให้เป็นถูกได้


แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือโจรเสื้อแดงและรัฐบาลเสื้อแดงก็คือลิ่วล้อและข้าข้า ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกและตะวันออกโดยเฉพาะอเมริกาผู้เป็นจอมอสุรกายแห่งโลก ซึ่งคอยเสริมอำนาจและการสร้างความชอบธรรมในเรื่องทางการเมืองและเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาลทรราชทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้กลุ่มคนรักชาติและรักความยุติธรรมที่มีกองกำลังไม่กล้าออกมาต่อต้านและขับไล่ทรราช เพราะกลัวการแทรกแซงมหาอำนาจที่เป็นอสุรกายเหล่านี้


ความชั่วร้ายของอเมริกันมหาสกปรกในที่นี้นั้น ข้าพเจ้าหมายถึงรัฐบาลอเมริกันที่มีพรรคการเมืองทั้งเดโมแครตและริพับลิกันผลัดกันเข้ามาเป็นใหญ่ในรัฐบาล หาได้หมายถึงคนอเมริกันในลักษณะที่เป็นปัจเจกชนโดยทั่วไปไม่ เพราะคนเหล่านี้มีทั้งคนดีคนที่รักความยุติธรรม รักอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีสำนึกในเรื่องมนุษยธรรม แต่รัฐบาลกลับมีคืออสุรกายสองหน้า หน้าหนึ่งคือนักบุญที่ร่ายคาถาเผยแพร่ความเป็นประชาธิปไตยให้เห็นตัวอย่างที่ดีของโลก โดยใช้สื่อแทบทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อสร้างภาพพจน์ของอเมริกันที่เป็นเสาหลักของประชาธิปไตยและการเป็นตำรวจโลก แต่อีกหน้าหนึ่งคือปีศาจร้ายทางเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่หิวโหยและแสวงหาทรัพยากรและแห่งทรัพยากรของบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในดินแดนตะวันออกกลางที่มีแหล่งน้ำมันอุดมสมบูรณ์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชานับเนื่องเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรทางพลังงาน เป็นที่ต้องการและแย่งชิงของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ประเทศทั้งทางตะวันตกและตะวันออก


รัฐบาลอเมริกันมีความก้าวหน้าล้ำหน้ามหาอำนาจอื่น ๆ ในการเข้าไปแทรกแซงและจัดการกับทั้งไทยและเขมรเป็นอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้รัฐบาลไทยที่มีสภาวะเป็นขี้ข้าทางความคิดมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือใช้ไทยเป็นฐานทางประชาธิปไตยต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์และโฆษณาความเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยม โดยสร้างความเป็นประชาธิปไตยแต่เปลี่ยนภายนอกเท่านั้น หาได้เข้าไปสนับสนุนให้เกิดความเป็นภายในสังคมไทยไม่ ยังคงปล่อยให้เป็นเผด็จการมาแทบทุกยุคทุกสมัย นับแต่เผด็จการทหารมาจนเผด็จการพลเรือนที่เกิดจากนักธุรกิจการเมืองที่ขาดคุณธรรมในความเป็นนักการเมืองในอุดมคติของประชาธิปไตย แต่อาศัยการซื้อเสียง แจกเงิน และหาเสียงจากประชาชนที่ต้องการศึกษาและขาดความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อโอกาสในการเข้ามาเป็นรัฐบาลมีอำนาจในการบริหาร และเพื่อมีเสียงในสภาที่มีอำนาจทางนิติบัญญัติ


อเมริกันทำเฉยกับการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลไทยมาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศที่มีประชาชนกว่า ๖๐ ล้านคน และให้การรับรองพรรคการเมืองที่กว้านซื้อเสียง ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลและมีเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรี บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจที่เข้ามาเป็นนักการเมืองเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจที่เคยเป็นเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] มาเป็นอุตสาหกรรมทุนนิยมที่เน้นการลงทุนจากทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะการเปิดเสรีให้ทุนข้ามชาติและนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาลงทุน ยึดครองที่ดินและครอบครองการผลิตทั้งสินค้าภายในและสินค้าส่งออก ส่งรายได้ออกไปนอกประเทศ


ในทุกวันนี้ ในทุกพรรคการเมืองแทบไม่มีคนที่อยากมีอาชีพเป็นนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตยเลย เพราะไม่อาจหาเสียงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งบางครั้งก็มีเล็ดรอดเข้ามาได้ก็เป็นแต่พรรคเล็ก ๆ ที่ไม่มีเสียงได้ในสภา อยู่ได้ขณะหนึ่งก็ถูกดูดกลืนเข้าพรรคใหญ่ที่ล้วนเป็นพรรคของนักธุรกิจการเมืองที่มุ่งหวังเข้ามาเป็นรัฐบาล มีอำนาจรวมศูนย์และงบประมาณรวมศูนย์ในการจัดการขายทรัพยากรและที่ดินของประเทศเพื่อความมั่งคั่งและมีอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ของตนเองและพวกพ้อง เกิดการคอรัปชั่น การละเมิดกฎหมาย ละเมิดศีลธรรมและจริยธรรม และความรับผิดชอบในการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในแผ่นดินอยู่ดีกินดี


ทุกวันนี้รัฐบาลเผด็จการกำลังทำทุกอย่างในการขายทรัพยากรและขายประเทศผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติในนามของรัฐบาลประชาธิปไตยที่อเมริกาและมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกยอมรับและคอยปกป้อง


ในส่วนประเทศเขมรก็คล้ายกันกับไทย มีรัฐทรราชฮุนเซ็นมีอำนาจเผด็จการขั้นเด็ดขาด เพราะสามารถกดขี่ประชาชนไว้ได้มานานแล้ว และเมื่อสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ฮุนเซ็นต้องการประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าเขมรกำลังเป็นประชาธิปไตยต้องการเลือกตั้ง แต่ก็ซื้อเสียงและโกยเสียงเลือกตั้งจนพรรคของตนได้เป็นรัฐบาลแบบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองตามแบบอย่างอเมริกัน แต่สิ่งที่ทั้งไทยและเขมรคล้ายกันมากและคล้ายกันอย่างสนิทแบบชิดเชื้อก็คือ ต่างก็เป็นรัฐบาลโจรเหมือนกันคือโจรฮุนเซ็น กับโจรเสื้อแดง มีกิจกรรมรวมกันคือการขายประเทศขายทรัพยากรเหมือนกัน รวมทั้งมีการรวมกันด้วยการแต่งงานระหว่างคนในครอบครัวของโจรฮุนเซ็นและโจรเสื้อแดง


ยิ่งกว่านั้นตลอดเวลา ๕-๖ ปีที่ผ่านมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้แลเห็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงกันระหว่างผู้นำของโจรทั้งสองประเทศนี้บ่อย ๆ เช่นหัวหน้าโจรไทยที่หนีคุกลี้ภัยอยู่นอกประเทศแอบเข้าไปเยี่ยมเยียนและพึ่งพาโจรเขมรอยู่บ่อยครั้งเพื่อการขยายตัวในการขายทรัพยากรและขายประเทศร่วมกัน ดังเห็นได้จากกรณีการพิพาทในเรื่องเขตแดนที่ปราสาทพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงเร็กที่มีแนวโน้มในการตัดสินขององค์กรโลกที่อเมริกันมีส่วนอยู่เบื้องหลัง อันจะทำให้ไม่ใช่เสียเฉพาะในบริเวณปราสาทพระวิหาร แต่จะกินพื้นที่ตะเข็บชายแดนจากเทือกเขาลงไปสู่ที่ราบและทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะในที่ทะเลในอ่าวไทยที่บริษัทขุดเจาะน้ำมันของอเมริกันจะได้สัมปทาน


แต่สิ่งที่จะฉิบหายอย่างสุด ๆ ก็คือ มหาอสุรกายอเมริกันกับประเทศที่เป็นลิ่วล้อหนุนให้เกิดภาคีร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนในโครงการที่เรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน [AEC] ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหลุมพรางของอเมริกันและมหาอำนาจข้ามชาติ เป็นการเผยแพร่แนวคิดและดำเนินการเคลื่อนไหวมาช้านาน ที่เห็นชัดก็คือการเข้ามาเกี่ยวข้องของคนสำคัญอเมริกันที่เข้าไปเขมรและมาไทยอยู่บ่อยๆ เช่นรัฐมนตรีต่างประเทศไปเขมร ประธานาธิบดีอเมริกันมาไทย รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ จากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันเข้ามาพบปะกับพรรคการเมืองโจรที่เป็นรัฐบาลบ่อย ๆ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นเอกอัครราชทูตอเมริกันในประเทศไทย


ทั้งหมดนี้นำไปสู่การประชุมเศรษฐกิจอาเซียนที่จัดขึ้นที่ไทยและเขมรด้วย ประชุมกันหลายครั้งหลายระดับทั้งในไทยและในเขมร ซึ่งในที่สุดก็เผยร่างเปลือยกายของโครงการร่วมมือนี้ในรูปของจีทูจี คือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและมีจีบวกแถมเข้ามาเป็น G+6 บ้าง G+5 บ้าง เพราะบรรดาจีบวกเหล่านั้นหมายถึงรัฐบาลของมหาอำนาจที่อยู่นอกกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น


ซึ่งก็ส่งให้เห็นว่าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ น่าจะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ระหว่างกันของคนในสังคมอาเซียนร่วมกัน แต่น่าจะผ่องถ่ายไปอยู่กับนายทุนและคนรวยในประเทศมหาอำนาจทั้งทางตะวันตกและตะวันออกมากกว่า การผนวกเอาจีบวกทั้งหลายเข้ามานี้แหละที่ทำให้เห็นว่าเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างสองฝ่ายฟ้า ที่มีอเมริกันฟากหนึ่งและจีนฟากหนึ่งนั่นเอง


แต่ผู้คนในประเทศสองฝ่ายฟ้าที่น่าจะย่ำแย่กว่าคนในประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนเดียวกันก็คือ คนไทยตาดำ ๆ ทั้งประเทศ เพราะคนในระดับล่างทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่มีความล้าหลังทางการศึกษา ขาดสติปัญญาและความรู้ที่จะทำให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และที่สำคัญก็คือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงถูกมอมเมาและครอบงำให้คล้อยตามและยอมตามความคิดความเห็นของบรรดาข้าราชการ พ่อค้า นายทุน นักวิชาการ นักการเมืองในพรรครัฐบาลที่มีอำนาจอย่างศิโรราบ รัฐบาลเผด็จการ


ทรราชของโจรเสื้อแดงคือลูกกะโล่ของอเมริกัน โดยมีอเมริกันเป็นมาเฟียคุ้มกันอยู่ภายนอก จะทำอะไรก็ได้ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมจริยธรรมและมนุษยธรรมก็ได้ ล้วนมีอำนาจจากภายนอกยอมรับและสร้างความชอบธรรมด้วยการใช้สื่อ และเอาสื่อเป็นเครื่องมือให้การสร้างการยอมรับและรับรู้ โดยปิดปากบรรดาสื่อที่เป็นธรรมหมด แต่ที่สำคัญตัวเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นให้มหาสุรกายเหล่านี้ก็เช่นแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธและการฆ่าฟันดังแบบอย่างที่เกิดขึ้นที่ลิเบีย ซีเรีย อิรักและอียิปต์ในขณะนี้


ประเทศไทยและคนไทยเป็นเหยื่อของการขายทรัพยากร ขายคนขายแรงงานเพื่อประโยชน์ของนายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติมาก่อนหน้าที่จะเกิด AEC ในรูปของการสร้างระบบคมนาคมขนส่งและเปิดพื้นที่การค้าเสรีที่เรียกว่า East west corridor หรือโครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นภาคี เช่น โครงการห้าเชียงระหว่างไทย ลาว พม่าในภาคเหนือ และที่สำคัญก็คือการทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการคมนาคมและการขนส่งอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน ขยายถนน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า ท่าอากาศยาน ท่าเรือทะเลน้ำลึกที่ล้วนก่อให้เกิดการซื้อขายเวนคืนที่ดินที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนในชีวิตวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่นทั้งสิ้น


แต่ที่ขานรับ AEC อย่างน่ากลัวในโครงการขายประเทศขายแผ่นดินของรัฐบาลเผด็จการขี้ข้าอเมริกันก็คือ การสร้างและกำหนดผังเมืองใหม่แทบทุกบ้านเมืองของประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ธนบุรี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานีและอุบลราชธานี เป็นต้น เป็นการกำหนดการเปลี่ยนแปลงจากข้างบน จากแผนที่ภาพถ่ายโดยไม่คำนึงถึงผู้คนในสังคมท้องถิ่นที่อยู่มาแต่ก่อน มีการไล่รื้อเวนคืนเพื่อทำถนน ทำศูนย์การค้า แหล่งอุตสาหกรรม เขื่อนพลังงานไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรมกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วก็มีคนกลุ่มใหม่เข้าครอบครองแทนที่ ซึ่งคนเหล่านั้นก็มีคนต่างบ้านต่างประเทศที่เป็นพ่อค้า นายทุนและคนมีฐานะจากภายนอก รวมทั้งแรงงานฝีมือที่มาจากภายนอกสำหรับคนไทยที่เป็นคนภายในที่ปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะคนเสื้อแดงรวมทั้งโจรเสื้อแดงระดับล่างด้วยก็มีสภาพที่หมดตัวและค่อยๆ หมดตัวจนเป็นทาสติดที่ดิน แรงงานชั้นเลวของนายทุนจากภายนอกไป


ในทัศนะนอกรีตของข้าพเจ้าจึงใคร่สรุปในที่นี้อย่างมีอคติ ในฐานะเป็นคนไทยที่รักชาติรักบ้านเกิดเมืองนอน


AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เรียกว่า รัฐบาลกับรัฐบาล [G to G] และรัฐบาลผนวกที่มาจากนอกภูมิภาคอาเซียนที่เรียกว่า G+ จะเป็น G+4, +5, +6 อะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นการจัดการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ที่มาจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจข้ามชาติของโลกไร้พรมแดนที่ใช้รัฐบาลเผด็จการของโจรปล้นชาติขายแผ่นดิน ใช้อำนาจในการปกครอง และบริหารในระบบการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยขายเสียงและทุนนิยมเดรัจฉาน ทำลายบ้านเมืองและผู้คนให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน อย่างที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page