top of page

Desa Buntu ชุมชนในชวา

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2550


Desa Buntu หมู่บ้านบนที่ราบสูงเดียง


เกาะชวาในประเทศอินโดนีเซียมีลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ซึ่งสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานและการจัดรูปแบบโครงสร้างของสังคมของผู้คนทั้งพื้นที่ราบและที่สูง เพราะในเกาะรูปทรงยาว ๆ รี ๆ นั้นมีพื้นที่สูงซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของภูเขาไฟอยู่กึ่งกลางในแนวตะวันออกและตะวันตก เป็นพื้นที่ซึ่งอ่อนไหวต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นยักษ์อย่างสึนามิ

 

ในความรุนแรงและโหดร้ายของธรรมชาติ อีกด้านหนึ่งแผ่นดินชวาเต็มไปด้วยแร่ธาตุและความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ทำให้มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานปักหลักอาศัยอยู่ในเกาะชวาอย่างยาวนานและหนาแน่น จนกลายเป็นดินแดนที่มีจำนวนประชากรต่อพื้นที่แออัดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกยุคปัจจุบัน


คนไทยเราคุ้นเคยกับความเจริญทางวัฒนธรรมของชาวชวาผ่านนิทานเรื่องเล่าที่กลายมาเป็นวรรณคดีสำคัญ เช่น พระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาที่เกี่ยวกับวงศ์ [Wong] หรือกลุ่มคนตามสายตระกูลและลำดับชั้นต่าง ๆ เพลงไทยทำนองยะวาหรือชวา เสื้อและผ้านุ่งหรือโสร่งที่ทำจากผ้าบาติก ดอกไม้หอมต่าง ๆ อีกทั้งมีคำชวาที่เป็นทั้งคำชวาและสันสกฤตอยู่ในภาษาไทยอีกจำนวนไม่น้อย วัฒนธรรมชวาจึงมีรากเหง้ายาวนาน ผ่านยุครุ่งเรืองของการเป็นศูนย์กลางของเมืองท่าที่เชื่อมวัฒนธรรมทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก มีภาษาและอักษรเป็นของตัวเอง มีระบบการปกครองที่แยกออกเป็นกลุ่มอิสระมากมาย และมีโครงสร้างละเอียดซับซ้อน แม้กระทั่งโครงสร้างในระดับชุมชนหมู่บ้าน


สภาพภูมิศาสตร์แบบชวานี่เองที่ทำให้ยุครุ่งเรืองทั้งอาณาจักรมัชปาหิตและมะตะรัมมีช่วงเวลาอยู่เพียงไม่นาน เพราะการรวบรวมเอาบ้านเมืองต่าง ๆ ในเกาะชวาเข้าไว้ด้วยกันกลายเป็นเรื่องยากจากการแบ่งแยกสภาพภูมิประเทศเป็นตะวันตก กลาง และตะวันออก ทั้งยังแบ่งแยกด้วยกลุ่มภูเขาไฟและเขาสูงที่มีอยู่ทั่วไป จึงเห็นได้ว่าชุมชนเก่าแก่แยกกันอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกระจัดกระจาย ต่างไปจากเมืองศาสนสถานสำคัญของบ้านเมืองในภาคพื้นทวีป


น่าเสียดาย วัฒนธรรมชั้นสูงของชวากลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมในช่วงเวลาที่ยาวนานทั้งการขยายตัวของวัฒนธรรมในศาสนาอิสลาม การเลือกเอาภาษาราชการหรือภาษากลางหลังประกาศเอกราชเป็นภาษามลายู [Bahasa Indonesia] เหตุผลทางการเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้วัฒนธรรมแบบชวาค่อย ๆ ถดถอยและปรับเปลี่ยนไปจากรากเหง้าดั้งเดิมมาก


ชุมชนในเกาะชวามีความน่าสนใจเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชุมชนในประเทศไทย โดยเฉพาะการศึกษาโครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้าน การเปลี่ยนแปลงและการดำรงรักษารูปแบบโครงสร้างอันเก่าแก่แบบสังคมชวา ซึ่งมีระบบ กฎเกณฑ์ อย่างมั่นคง และมีการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน จนอาจกล่าวได้ว่าการศึกษาชุมชนหมู่บ้านในชวาคือหัวใจของ “ความเป็นชวา” ไม่น้อยไปกว่าอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ เช่นดนตรี ศิลปะร่ายรำ วรรณคดี และการทำผ้าบาติกทีเดียว


ที่ชวาภาคกลาง นอกจากเมืองย็อคยาการ์ตาที่มีศาสนสถานอันยิ่งใหญ่ทางพุทธศาสนาอย่างบูโรพุทโธและวิหารฮินดูอย่างปรัมบนัมแล้ว เมืองสำคัญและน่าศึกษาถึงชีวิตผู้คนชาวชวาที่มีสุลต่านอันเป็นเครือญาติและรุ่งเรืองควบคู่กันมากับเมืองย็อคยาการ์ตาคือสุรการ์ตาหรือโซโล ถัดไปคือเมืองลาวูที่มีศาสนสถานฮินดูแบบพื้นเมืองบนภูเขาใกล้ภูเขาไฟลาวูอย่างจันทิเซโตะและจันทิสุกุ บนพื้นที่สูงเช่นนี้การเพาะปลูกในพื้นที่ไหล่เขาและที่ราบ ตลอดจนหมู่บ้านที่ทั้งมีตลาดและไม่มีตลาดผสมผสานอยู่ร่วมกัน โดยการจัดการใช้พื้นที่อย่างละเอียดคุ้มค่า ไม่ปล่อยให้เว้นว่างแม้แต่น้อย รวมทั้งระบบชลประทานก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ามีความสำคัญมากต่อการเพาะปลูกเช่นนี้


หัวหน้าหมู่บ้านบุนตูที่ได้รับตำแหน่งจากการเลือกตั้งคือคนขวา ยืนอยู่หน้าลานบ้านของตนเอง


อีกด้านหนึ่งของภูเขาไฟลาวูและมาลาปีคือที่ราบสูงเดียง [Dieng Plateau] เป็นที่ราบสูงที่เกิดจากกลุ่มภูเขาไฟเดียง ตั้งอยู่ใกล้เมือง Wonosobo ซึ่งมีศาสนสถานของฮินดูอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ ๗ และ ๘ เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในชวาตอนกลาง ความสูงไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และบริเวณโดยรอบมีหมอกควัน กลิ่นก๊าซกำมะถัน ทะเลสาบสีเขียวมรกต ในความคิดของชาวชวาโบราณจึงเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้ามากกว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์


การเกี่ยวข้าวใช้แรงงานจำนวนมากและเครื่องมือแบบง่ายๆ

แต่ใช้ระบบการชลประทานที่ดีมากบนพื้นที่ของเมืองลาวู


วิหารวัชระภูมี มันดาระ ปุตรา ของชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนามีสัญลักษณ์บนยอดหลังคาเป็นเจดีย์ที่บูโรพุทโธ


หมู่บ้านบุนตู [Desa Buntu] เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนที่สูงล้อมรอบพื้นที่เพาะปลูกบนไหล่เขาที่สูงชันและสายน้ำอุดมสมบูรณ์ บนเส้นทางก่อนจะขึ้นไปถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟ [Crater] ที่ดับแล้ว หมู่บ้านนี้อยู่ในเมือง Wonosobo ซึ่งอยู่ในเขตปกครอง [Regency/ Kabupaten] Wonosobo ในจังหวัดชวากลาง

  

การมองเห็นและพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านบุนตูพบว่าน่าสนใจมากที่ชุมชนแห่งนี้ประกอบไปด้วยผู้ที่นับถือศาสนาหลากหลาย แม้ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีผู้นับถือพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์รวมอยู่ด้วย โดยแต่ละศาสนามีศาสนสถานของตนเอง เช่น โบสถ์คริสต์และวิหารพุทธแม้บ้านโดยรอบจะหนาแน่นและล้อมรอบด้วยชาวบ้านที่เป็นมุสลิม แต่ก็อยู่กันได้อย่างไม่มีปัญหา


ใน Desa หรือกลุ่มหมู่บ้านยังแยกย่อยออกเป็นกำปง [Kampong] หรือหมู่บ้านย่อย ๆ [Hamlet] อีกหลายบ้าน ที่หมู่บ้านบุนตูมีหัวหน้าหมู่บ้านที่ยังไม่สูงวัย เลขานุการหมู่บ้าน และด้านหน้าทางเข้าของหมู่บ้านยังมีการเฝ้าเวรยามและมีศาลาสำหรับอยู่เวร คนภายนอกจะเข้าจะออกต้องมีการรายงาน

 

บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเรือนโบราณ หลังคาแบบชวา และตกแต่งเรือนค่อนข้างสวยงามกว่าบ้านหลังอื่น ๆ ส่วนหน้าบ้านมีลานกว้างสำหรับจัดประชุม บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนี้ชาวบ้านพร้อมใจกันยกให้เป็นการตอบแทนในการทำหน้าที่นี้ ปัจจุบันตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านได้มาจากการเลือกตั้ง


สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าโครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้านในชวาค่อนข้างมีแบบแผน และน่าจะมีรากเหง้าหรือพื้นฐานในการจัดการสั่งสมมาอย่างยาวนาน นักมานุษยวิทยาชาวอินโดนีเซีย ชื่อ KOENTJARANINGRAT ซึ่งเป็นผู้ศึกษาชุมชนในชวาแบบชาติพันธุ์วรรณนาเมื่อราว ๕๐ ปีมาแล้ว อธิบายถึงระบบการบริหารในหมู่บ้านว่าหมู่บ้านแต่ละแห่งจะไม่อยู่โดดเดี่ยว แต่จะมีการรวมกลุ่ม [Village Complex] กลุ่มละสี่ถึงห้าหมู่บ้านย่อย ๆ (ซึ่งแบบแผนดั้งเดิมนั้นมีจำนวนที่แน่นอนคือกลุ่มที่มีสี่และห้าหมู่บ้าน แต่ภายหลังจำนวนเหล่านี้ไม่มีการกำหนดที่ลงตัวแน่นอน) แต่ละกลุ่มหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน [Lurah] แต่ละแห่ง และมีการประชุม ณ ที่ทำการตำบลหรือที่ทำการตำบลย่อยเสมอ ๆ หัวหน้าหมู่บ้านนี้จะถูกคัดเลือกโดยผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะแล้ว ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางการปกครองในเมืองก็อาจจะถูกคัดเลือกจากราชสำนัก อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือผู้ร่ำรวยที่อยู่ในเมือง แต่เมื่อดัตช์เข้าครอบครองชวาเป็นอาณานิคม การคัดเลือกหัวหน้าหมู่บ้านต้องได้รับความยินยอมจากหัวหน้าตำบล [Wedana] และกลายมาเป็นรูปแบบอย่างเป็นทางการที่ใช้ทั่วทั้งเกาะชวา


การคัดเลือกครั้งหนึ่งจะไม่มีวาระกำหนดการดำรงตำแหน่ง แต่จะอยู่ได้ตราบเท่าที่ลูกบ้านยังให้ความเคารพนับถือ หรือจนกระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านตายไป และส่วนใหญ่หัวหน้าหมู่บ้านที่หมดภาระหน้าที่หรือเกษียณตัวเองไปจะเสนอคนที่น่านับถือในหมู่บ้านให้ชาวบ้านได้เลือกหนึ่งหรือสองคน ส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านหรือญาติพี่น้องที่เป็นผู้ช่วยโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนขึ้นมาให้เลือก และการหาเสียงก็มักเป็นแบบสมานฉันท์ เช่น การไปคุยกันบ้านต่อบ้าน ไปงานเลี้ยงฉลองของครอบครัวต่างๆ หัวหน้าหมู่บ้านมักจะอยู่ในกลุ่มสายตระกูลเดียวกัน และเป็นสายตระกูลที่ถือว่าชั้นสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ เช่น อยู่ในระดับที่ไม่ใช่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วไปหรือเป็นกลุ่มตระกูลที่เชื่อว่าสืบทอดมาจากบรรพบุรุษผู้สร้างชุมชนแห่งนั้นขึ้นมา


ในการจัดการระดับหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งอาจจะมีผู้ช่วยในหมู่บ้านถึง ๑๕ คนที่ถูกเลือกหรือคัดเลือกก็ได้ สองคนทำหน้าที่หัวหน้า [Kamitua/Dukuhan] คนหนึ่งเป็นเลขานุการหมู่บ้าน [Tjarik] สองคนรักษาสมบัติของหมู่บ้าน สองคนเป็นผู้ทำเรื่องศาสนาที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการหย่าร้างในสังคมอิสลาม [Modin] สี่คนเป็นคนดูแลความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน [Djogobojo] อีกสี่คนเป็นผู้ประกาศหรือสื่อสารข่าวต่าง ๆ แก่ชาวบ้าน [Kebajan] อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีความสำคัญมากแก่ชุมชนทุกแห่งในเกาะชวา นั่นคือ ผู้ดูแลเรื่องเหมืองฝายการชลประทานซึ่งมีหน้าที่แบ่งน้ำให้ชาวบ้านอย่างยุติธรรม [Djogotirto]


หัวหน้าหมู่บ้านและผู้ช่วยในสมัยนั้นไม่ได้รับค่าจ้างจากรัฐบาล แต่ได้รับสิทธิในการเก็บค่าเช่าที่ดินซึ่งจัดแบ่งให้ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง หน้าที่ของชาวบ้านที่จะต้องตอบแทนเจ้าหน้าที่เหล่านี้คือ มอบผลผลิตข้าวจำนวนหนึ่งเป็นประจำทุกปี มอบอาหารในงานเลี้ยง มอบเงินจำนวนหนึ่งจากการที่ได้ผลตอบแทนผ่านการซื้อขาย ให้เช่าที่ดิน การจำนองโดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นพยานในการดำเนินการ มอบเงินแก่หัวหน้าหมู่บ้านหากมีการแต่งงานในกลุ่มตระกูลตัวเอง [Exogamy] และเมื่อเจ้าสาวถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน และแบ่งเวลามาทำงานให้กับบ้านของเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ถูกกำหนด


ในหมู่บ้านจะมีสภาผู้อาวุโสซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากคนในชุมชนเป็นกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการจำนวนกว่ายี่สิบคน บางคนก็อยู่อาศัยในชุมชน บางคนก็มาจากหมู่บ้านอื่น ๆ แต่ก็เป็นผู้รู้ เช่นครูหรือผู้ชำนาญในเรื่องคัมภีร์ทางศาสนา มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่หัวหน้าหมู่บ้าน สภาผู้รู้หรือผู้อาวุโสนี้ไม่มีวาระมาประชุมกันอย่างเป็นทางการ แต่จะมาร่วมปรึกษาหารือกันเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ หรือต้องการตีความข้อกำหนดในจารีตประเพณี [Adat] ซึ่งจะนำมาใช้กำหนดหน้าที่ในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ในกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้จะมีคนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องจารีตประเพณีแบบชวา


หัวหน้าหมู่บ้านและผู้ช่วยมักประชุมลูกบ้านทุก ๆ ๓๕ วันตามจารีต [Adat] เพื่อดูแลเรื่องการเช่าที่ดินทำกินของชาวบ้านและเรื่องอื่นๆ ผู้เข้าร่วมที่สามารถออกเสียงได้คือหัวหน้าครอบครัว การประชุมก็จะใช้พื้นที่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั่นเอง มีการพูดคุยในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ปัญหาต่าง ๆ การเข้าร่วมกิจกรรมของส่วนรวม การวางแผนดูแลซ่อมแซมและจัดการเรื่องการชลประทาน งานเลี้ยงฉลองของหมู่บ้าน และการประชุมทุกครั้งจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากที่ทำการตำบลหรือตำบลย่อยด้วย


การประชุมในหมู่บ้านของเกาะชวาภาคกลางถือว่าหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำในการตัดสินใจโดยลูกบ้านเป็นผู้สนับสนุน แม้จะไม่มีการแสดงออกว่าคัดค้าน แต่สิ่งเหล่านี้มักถูกนินทาในร้านกาแฟหรือเรือนที่ทำการดูแลหมู่บ้าน ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านมักจะรู้ความเป็นไปและไม่ตัดสินใจไปตามเสียงส่วนน้อย

 

นอกจากนี้ในกลุ่มหมู่บ้านของชวายังประกอบไปด้วยกลุ่มองค์กรทางสังคมต่างๆ อีกมากมายที่ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความสนใจในเรื่องต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ กลุ่มสร้างสรรค์ทางสุนทรียภาพ กลุ่มทางศาสนา และกลุ่มการศึกษา ในหมู่บ้านทั้งในเมืองและชนบท


ลักษณะทางพฤติกรรมในสังคมของชาวชวาเสมือนกับเป็นระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก โดยหัวหน้าหมู่บ้านที่สืบสายทางฝ่ายพ่อ การจัดการในหมู่บ้านโดยแบ่งเป็นกลุ่มร่วมมือกันก็น่าจะเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศของเกาะชวาที่อาจจะเกิดภัยธรรมชาติขึ้นเมื่อใดก็ได้หรือความไม่มั่นคงจากการทำการเกษตรในพื้นที่ซึ่งต้องอาศัยการจัดการน้ำอย่างยุติธรรมและแบ่งปันอย่างทั่วถึง มีระบบที่ทำให้ต้องใช้ความร่วมมือของคนจำนวนมากและหลาย ๆ หมู่บ้านในท้องถิ่นเดียวกัน


ระบบเหล่านี้มีแต่จะสูญหายไปเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มๆ ที่ขึ้นมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และได้รับการศึกษาในระบบจากในเมือง และมักจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือองค์กรอื่น ๆ ซึ่งมีผลในเรื่องการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการจัดการชุมชน


การจัดแบ่งเขตการปกครองในสาธารณรัฐอินโดนีเซียปัจจุบันแบ่งระบบการปกครองตามพื้นฐานดั้งเดิมซึ่งมีลักษณะเป็นเอกเทศและเป็นอิสระต่อกัน มีความร่วมมือแบบร่วมกันจัดการ [Confederation] ในลักษณะสหพันธรัฐหรือใกล้เคียงกับเขตการปกครองตนเองตามภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะ หรือแม้ภายในเกาะเดียวกันก็มีความแตกต่างกันทางการเมืองและวัฒนธรรมทางสังคม สาธารณรัฐอินโดนีเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัด [Provinsi] ภายในจังหวัดประกอบด้วยหน่วยย่อยคือ Regency หรือเขตปกครอง [Kabupaten] และเมือง [Kota] ในแต่ละส่วนนี้มีรัฐบาลท้องถิ่นและสภาเป็นของตนเอง จากกฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ รัฐบาลท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้นในการจัดการปกครองพื้นที่ของตนเอง แต่นโยบายสำคัญ ๆ เช่น การต่างประเทศ การทหารยังเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลกลาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ทั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด เขตปกครองต่าง ๆ ได้ตำแหน่งจากการเลือกตั้งโดยตรง


ทุกวันนี้จังหวัดชวากลางที่ไม่รวมเมืองพิเศษอย่างย็อคยาการ์ตาแบ่งออกเป็น ๒๙ เขตปกครอง [Regency/Kabupaten] และ ๖ เมือง [Kota] แต่ละ Regency น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตำบล [District] ที่เป็นชนบท ขณะที่เมือง [Kota] เป็นเขตอิสระคือตำบลที่อยู่ในเมือง เขตปกครองและเมือง [Regencies and Cities] สามารถแบ่งออกเป็นเขตย่อย [Kecamatan] จำนวน ๕๖๕ เขต นอกเหนือจากนั้น เขตย่อย [Sub-district] แบ่งออกเป็นชุมชนในชนบทหรือหมู่บ้าน [Village/Desa] จำนวน ๗,๘๐๔ ชุมชน และชุมชนเมือง [Kelurahan] ๗๖๔ ชุมชน


จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่ารากเหง้าของชุมชนหมู่บ้านในชวามีมาอย่างยาวนาน แม้ดัตช์ที่เข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมก็ไม่ได้ทำลายระบบนี้เสียทีเดียว แต่กลับใช้ประโยชน์ในการปกครองและเรียกเก็บภาษีทั้งเงินและผลผลิตทางการเกษตรในลักษณะเป็นปิรามิด พื้นฐานของสังคมชวาคือระบบ Hierarchy ซึ่งใกล้เคียงกับระบบฟิวดัลที่ดัตช์คุ้นเคยในการสร้างประโยชน์สูงสุดในการเป็นเจ้าที่ดินในสังคมเกษตรกรรม ซึ่งมีการแบ่งกลุ่มชนชั้นตามสายตระกูลหรือวงศ์ตระกูลตามหน้าที่เป็นสำคัญ เช่นกลุ่มแรงงาน กลุ่มช่างฝีมือ โดยเฉพาะหมู่บ้านในชนบทที่ยังพึ่งพิงเครื่องมือการเกษตรที่ต้องใช้แรงงาน ซึ่งเห็นได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งตามตลาดท้องถิ่นที่มีการขายเครื่องมือเหล่านี้อย่างมากและทั่วไป ช่างตีเหล็กที่สามารถซ่อมเครื่องมือเหล่านี้รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้สมัยใหม่ที่มีกลไกยังได้รับความนับถืออย่างสูงในสังคมชนบทของชวา


มรดกในรูปแบบการปกครองแบบชวาในระดับหมู่บ้านอาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว การยอมรับผู้อาวุโสและหัวหน้าหมู่บ้านดังแต่ก่อนคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากลูกบ้านออกไปสู่โลกภายนอกมากขึ้น และที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมากในสังคมชวา หัวหน้าหมู่บ้านตามสายตระกูลอาจไม่ได้รับการยอมรับจากลูกบ้านมากเท่าเดิม เนื่องจากการรับค่าตอบแทนอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น ที่ดิน บ้านเรือนที่ดูเหมือนเอาเปรียบผู้อื่น หรือความไม่ยุติธรรมที่อาจจะเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่มีการเคลื่อนย้ายออกไปนอกหมู่บ้านสูง ทั้งการไปศึกษาต่อเพื่อหาโอกาสในชีวิต โดยการใช้ทุนจากที่ดินที่ครอบครัวค่อยๆ ตัดแบ่งขายไป การออกไปหางานทำโดยเฉพาะในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีเศรษฐกิจดีกว่า การเคลื่อนย้ายแรงงาน ช่องว่างระหว่างวัยและค่านิยมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับในสังคมไทยและสังคมอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


การจัดการของหมู่บ้านในชวาแม้จะมีกฎหมายรองรับในระบบการเลือกตั้งและสภาท้องถิ่นที่แตกต่างไปจากเดิม และมีความเป็นการเมืองของผลประโยชน์เข้าครอบงำ แต่ก็ยังอยู่บนรากฐานเดิมที่มีความชัดเจนในระบบและหน้าที่ของชาวบ้านในระดับหมู่บ้าน ซึ่งเกาะตัวกันเป็นกลุ่มบ้านที่มีการปกครองตนเองต่างจากสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัด


โครงสร้างของสังคมไทยสมัยโบราณแม้จะมีรูปแบบใกล้เคียงกับสังคมชวาที่นับถือผู้อาวุโสและมีหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ก็ได้ปรับเปลี่ยนระบบมานานแล้ว จนในปัจจุบันระบบการเลือกตั้งขององค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งในระดับตำบลและจังหวัดกลายเป็นการคัดเลือกคนภายนอกเข้ามาบริหารในระบบราชการย่อย ๆ ที่แทบจะไม่มีโครงสร้างเดิมรองรับ ทำให้รูปแบบการปกครองในระดับหมู่บ้านของสังคมไทยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับโครงสร้างตามธรรมชาติแบบที่เคยมีมาเช่นในสังคมชวา


สิ่งเหล่านี้เห็นได้ชัดในสังคมมลายูในสามจังหวัดภาคใต้ ที่มีโครงสร้างการปกครองและกลุ่มองค์กรท้องถิ่นในระดับหมู่บ้านที่ชัดเจนและเข้มแข็งในระบบสภาผู้อาวุโส แต่เมื่อโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นของรัฐเข้าไปครอบงำในขณะนี้ก็มีสภาพใกล้เคียงกับหมู่บ้านอื่น ๆ สังคมไทย คืออ่อนแอลงเรื่อย ๆ และระบบการปกครองท้องถิ่นเป็นระบบของการเมือง ผู้มีอิทธิพล และผลประโยชน์มากกว่าที่จะคำนึงถึงชาวบ้านและพยายามรักษาคุณค่าของโครงสร้างแบบเดิมไว้


ขอขอบคุณโครงการประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทุ่งกุลา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ที่ให้โอกาสทั้งชาวบ้านนักวิจัยท้องถิ่นและผู้สังเกตการณ์ร่วมเดินทางไปศึกษาสภาพภูมิศาสตร์และสังคมของหมู่บ้านในเกาะชวา คงเป็นโอกาสที่หายากนักในการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในทุ่งกุลาได้ทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสะท้อนความลุ่มลึกและรากเหง้าในการจัดการโครงสร้างสังคมในภูมิวัฒนธรรมซึ่งจะมีผลในการวิเคราะห์สังคมของตนเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น 


 

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page