top of page

GDP vs. GNH ในสังคมไทย

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 21 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2558


ปีก่อน ๆ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าเขียนบทความจดหมายข่าวของมูลนิธิฯ เรื่อง “อะไรคือรายได้มวลรวมประชาชาติ [GDP)] กับอะไรคือความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH]” เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญญาชนของประเทศได้ไปเที่ยวประเทศภูฏานได้แลเห็นความสงบสุขอย่างมีกินมีใช้ของผู้คนในประเทศ รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติไม่แออัดยัดเยียด แวดล้อมไปด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมบ้านเมืองที่ใหญ่โตสูงใหญ่ ต่างจากสภาพแวดล้อมที่เป็นของประดิษฐ์ [Artificial Environment] ดั่งเช่นในสังคมไทย


ประเทศแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH] ภูฏาน ภาพโดยศรัณย์ บุญประเสริฐ


ด้วยความประทับใจในสิ่งที่เห็นในสังคมภูฏาน ทำให้พวกปัญญาชนเหล่านั้นเสนอความคิดในเรื่อง “ความสุขมวลรวมของประชาชาติ” ในทำนองวาทกรรมกับความสุขที่ได้จากการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ ที่แทบทุกสังคมวัตถุนิยมทั้งไทยและเทศให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการดำเนินการให้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดในเรื่องความสุขมวลรวมของประชาชาติของบรรดาผู้นำทางปัญญาของชาติเหล่านั้น แต่นึกไม่ออกว่ามี “รูปธรรม”​ อย่างไร เพราะเหตุผลและความคิดที่เสนอมานั้นดูเป็นนามธรรมจนเกินไป


ตราบจนได้มีโอกาสได้ไปภูฏานกับเขาบ้าง มีโอกาสได้เห็นทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมของคนภูฏานในหลายท้องถิ่นของประเทศ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจตามประสาของข้าพเจ้าที่เล่าเรียนมาทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีว่า คนภูฏานอยู่กันเป็นชุมชน บ้านเมือง และนครแบบก่อน ๆ มีชีวิตอยู่ในที่ราบลุ่มในหุบเขาสูงต่ำมากมายในโลกของหิมาลัยที่ครึ่งปีจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ หุบเขาแต่ละแห่งเป็นป่าเขาที่เรียกว่า หิมพานต์ ตามชื่อในวรรณคดีโบราณของไทย เพราะมีทั้งสัตว์และพืชพรรณนานาชนิดที่ดำรงอยู่ได้ทั้งฤดูหิมะตกและฤดูหิมะละลายที่มีหนองน้ำ ลำรางหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้น


เท่าที่ได้เห็น สังคมภูฏานมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนาที่ผู้คนอยู่รวมกันเป็นชุมชนบ้านและเมืองอย่างติดที่ คือไม่เคลื่อนย้ายหรือโยกถิ่นฐานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อย ๆ พึ่งพิงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมร่วมกันในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนผู้ที่ประกอบการทางธุรกิจและการผลิตแบบเป็นเจ้าของกิจการมีไม่กี่แห่ง ความเป็นอยู่ไม่แออัดมีพื้นที่ว่างธรรมชาติระหว่างชุมชนในท้องถิ่นหนึ่งไปอีกถิ่นหนึ่ง เส้นทางคมนาคมเป็นถนนที่ยังไม่ใหญ่เป็นถนนหลวงที่ทำให้การติดต่อทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างกันง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางลงห้วยและข้ามเขาระหว่างหุบต่อหุบที่แคบขนานด้วยเหวลึกดูหวาดเสียวสำหรับคนภายนอกที่เข้ามาท่องเที่ยว


สถานที่บริการเช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารและย่านตลาดไม่มีเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาจากที่ต่าง ๆ สิ่งที่โดดเด่นในภูฏาน คือ แม่น้ำลำคลอง ห้วยน้ำ และลำรางได้รับการรักษาให้สะอาด ไม่สกปรกทำลาย ลำน้ำลำห้วยแทบทุกแห่งของเส้นทางถนนระหว่างท้องถิ่นระหว่างเมืองที่ผ่านไป ได้รับการรักษาให้สะอาดเพื่อการดื่มกินและอุปโภคของคนในและนอกท้องถิ่น โดยเหตุที่อยู่ในที่สูงสังคมภูฏานเป็นสังคมแล้งน้ำโดยธรรมชาติ ที่มีการจัดการน้ำโดยแต่ละท้องถิ่น โดยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจควบคุม ซึ่งเป็นได้จากการมีศาสนสถานทางพุทธมหายานสร้างขึ้นให้ผู้คนที่เดินทางไปมาได้ใช้น้ำและทำพิธีกรรมขอพร ขอความร่มเย็นเป็นสุขและปลอดภัย


ชาวภูฏานที่ชีวิตจดจ่ออยู่กับการท่องบ่นคาถาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย


อาคารดังกล่าวนี้จะมีระฆังขนาดใหญ่ที่มีภาพสัญลักษณ์และคาถาให้คนมาไหว้ได้หมุนรอบและพร่ำขอพรด้วยคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาสำคัญที่คนภูฏานทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยท่องบ่น และมีการจารึกไว้ตามสถูปตามข้างทาง ที่มีตุงผ้าหลากสีขนาดใหญ่น้อยประดับที่มีคาถาเขียนไว้ให้สวดและอธิษฐาน [Prayer flags] สำหรับธงสวดเหล่านี้ต่างเรียงรายอยู่ตามเส้นทางเป็นที่ ๆ ไป เป็นการเตือนสติให้คนรู้สึกถึงการท่องบ่นตลอดเวลาถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง ไม่โลภไม่หลง และเชื่อมั่นในความสุขของการหลุดพ้น


การสวดคาถา “โอม มณี ปัทเม หุม” นี้เกือบแทบทุกขณะจิตที่มีช่องว่าง แม้แต่ในย่านตลาดและร้านขายของ ผู้ที่เป็นแม่ค้าหรือพ่อค้ามักมีล้อสวด [Prayer’s wheel] ขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ ใช้แกว่งอยู่บ่อย ๆ ในขณะขายของ เพื่อเตือนสติให้กลับไปอยู่กับความเป็นมนุษย์ที่มีความพอเพียง


พุทธศาสนามหายานลัทธิตันตระที่เรียกว่า “วัชระยาน” นั้น คือวิถีชีวิตของคนภูฏาน กิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ล้วนมีความเชื่อทางศาสนารวมอยู่ด้วยในลักษณะองค์รวม


วัดและศาสนสถานมีมากมายหลายระดับ แม้แต่อาคารและสถานที่ในการปกครอง เช่น พระราชวังของกษัตริย์เจ้านายและที่ทำการในการปกครองที่เรียกว่า “ซัง” ก็ล้วนมีอิทธิพลของศาสนารวมอยู่ด้วย ซึ่งในด้านสถาปัตยกรรม ผังเมือง และบ้านที่อยู่อาศัย แม้จะได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกและจากอินเดีย ธิเบต ก็หาได้รับมาทั้งดุ้นไม่ หากปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นภูฏานไปทั้งรูปแบบ การตกแต่ง และสัญลักษณ์ [Localization of foreign elements]


ในขณะที่อยู่ภูฏาน ข้าพเจ้าแทบไม่เห็นคนภูฏานแสดงอาการลิงโลด เอาอกเอาใจคนต่างชาติ แต่ดูพอใจอย่างมีความสุขกับการเป็นคนภูฏานจนข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉา


สิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้แลเห็นความภูมิใจในตนเองก็คือ รูปแบบของศิลปวัฒนธรรมของคนภูฏานที่ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์เรื่องเพศอย่างมากมาย จนเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ โดยเฉพาะการระบายสีและวาดสัญลักษณ์ทางเพศประดับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญในชุมชน แม้กระทั่งภาพวาดใน ส.ค.ส. ก็ยังมีประจำทุกปี


คนภูฏานทั่วไปตามท้องถิ่นในชนบทและในเมืองไม่ใคร่มีแหล่งสันทนาการมากมายเช่นในประเทศอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมากมายหลายประเภทเพื่อการประโลมโลกและความทันสมัย หากยังใช้วัดและสถานที่ทางศาสนาในยามมีประเพณีพิธีกรรมในรอบปีอื่น ๆ เป็นที่หย่อนใจ สนุกสนาน มีการมหรสพรวมไปกับการประเพณีพิธีกรรม ซึ่งก็เหมือนกันกับผู้คนในสังคมไทยก่อนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบ้านเมืองที่มีศาสนาและเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นตัวนำดังกล่าวนี้คือที่มาของความสุขมวลรวมประชาชาติ [GNH]


ความสุขมวลรวมประชาชาติดังกล่าวนี้ สังคมไทยเคยมีมาแล้วในอดีตแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ลงมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และยังดำรงอยู่เรื่อยมาจน พ.ศ. ๒๕๐๐ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นยุคที่เสริมสร้างงานทางศิลปวัฒนธรรมระดับชาติมาก จนถึงมีการตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมาดูแลและจัดการกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม


สังคมไทยทั่วไปยังเป็นสังคมกสิกรรมที่ต่อยอดมาจากพื้นฐานของสังคมชาวนา ประชาชนมีราว ๑๗-๑๘ ล้านคน ยังอยู่กินแบบเป็นบ้านเมืองท้องถิ่นที่มีสภาพแวดล้อมธรรมชาติ แต่ละท้องถิ่นมีระยะห่างกันจนแลเห็นทั้งความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละถิ่น ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ไม่เดือดร้อนในเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน วัดยังดำรงอยู่ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรม คงเป็นเช่นนี้กระมังที่รัฐบาลคิดเรื่องวัฒนธรรมเป็นแต่ศิลปวัฒนธรรม จึงได้ตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมา


ครั้นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บ้านเมืองเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ท้องถิ่นต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงกันด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม [Industrialization] และการทำให้เป็นเมือง [Urbanization] ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปตั้งถิ่นฐาน ไปเป็นแรงงาน เกิดเมืองและย่านที่อยู่อาศัยที่มีผู้คนอยู่กันหลายพวกเหล่า ที่เน้นแต่เรื่องการทำมาหากินและการหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตนและกลุ่มเหล่า


ส่วนการพัฒนาบ้านเมืองทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลก็มีแต่มิติเศรษฐกิจการเมือง มากกว่ามิติทางสังคมวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ ขาดมิติทางจิตวิญญาณและความเชื่อทางศาสนาอันเป็นเหตุให้เกิดแปรปรวนขึ้นในระบบศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมทางสังคมของบ้านเมือง


รัฐไม่สนใจเรื่องศีลธรรมและความมั่นคง ความสุขทางจิตใจ มุ่งทำอยู่แต่การให้ความสุขทางวัตถุ ในทางปัจเจกแก่ผู้คนแต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการมีรายได้ต่อหัวของประชาชาติ [GDP] ซึ่งก็มักสะท้อนออกมาให้เห็นจากการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในเรื่องการผลิตและส่งออกแทบทุกรัฐบาล


การทำกสิกรรมที่สืบเนื่องมาจากการเป็นสังคมชาวนากำลังถูกแทนที่ด้วยเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศของเรา


ผลที่ตามมาในทุกวันนี้ก็คือ ที่ไหนเป็นเมืองใหญ่ อำเภอ และตำบลใหญ่ ๆ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม คนอยู่กันอย่างแออัดแทบไม่มีร่องรอยของชุมชนบ้าน [Village] และเมือง [Small town] แบบที่เคยมีอีกเลย ทั้งยังถูกคุกคามด้วยการไล่รื้อชุมชนเก่าเพื่อสร้างบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมขึ้นมาแทนที่ จนไม่สามารถบูรณาการให้เป็นชุมชนมนุษย์ได้


ความต้องการของชุมชนโดยเฉพาะนายทุน ข้าราชการ และชนชั้นแรงงานที่โยกย้ายถิ่นฐาน ดูไม่สนใจกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเข้ากับธรรมชาติที่ระคนด้วยความสุขสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณ กลับเห็นแต่การทำงานเพื่อเงิน เพื่อรายได้ เพื่อนำไปหาความสุขทางวัตถุเฉพาะตน เฉพาะครอบครัวและพวกพ้อง แตกแยกและแย่งผลประโยชน์จากฐานทรัพยากร แยกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า [Factions]


การแตกแยกและความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวนี้ ทำให้ไม่สามารถสร้างกลไกใด ๆ เพื่อการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้ผู้คนในชุมชนเกิดสำนึกร่วม [Sense of belonging] ถึงการเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกันในชุมชนได้


ในทุกวันนี้ กระบวนการทำบ้านให้เป็นเมือง [Urbanization] และชนบทให้เป็นบ้านและนิคมอุตสาหกรรม [Industrialization] ได้แผ่ขยายกระจายไปแทบทุกท้องถิ่นในทุกภูมิภาค เกิดพื้นที่อยู่อาศัยและแหล่งทำกินใหม่ที่ไม่เป็นชุมชน [Community] ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เคยดำรงอยู่อย่างมีดุลยภาพในสังคมเกษตรกรรมแบบเดิม คือ การล่มสลาย การรุกล้ำของแหล่งอุตสาหกรรม การสร้างพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรม เช่น เขื่อนพลังงานไฟฟ้าและเขื่อนชลประทานเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม รวมทั้งการสร้างถนนหนทางเพื่อการคมนาคมขนส่ง คือ เหตุใหญ่ที่ทำลายสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] ของบ้านเมืองที่เคยมีมาในอดีตให้เสื่อมหาย และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัตินานาชนิดขึ้นในทุกวันนี้ ในทุกมิติ เช่น อากาศเสีย น้ำสกปรกเป็นพิษ เกิดอุทกภัยที่ไม่อาจคาดฝันหรือจัดการได้ และการล่มสลายของชุมชน


โดยเฉพาะการล่มสลายของชุมชนนั้น เห็นชัดจากการรุกล้ำของการใช้ที่ดินสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ทับลงไปในพื้นที่ชุมชนเดิม เกิดการเพิ่มของคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาอยู่อาศัยโดยที่ชุมชนเดิมไม่สามารถบูรณาการให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม จนเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนในชุมชนเดียวกันได้ ผู้นำของชุมชนและคนสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้านที่มีการเลือกตั้งจากคนในชุมชน ผู้อาวุโส พระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระอุปัชฌา เจ้าอาวาส แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่เรียกว่า นักเลงโต [Big man] ที่มีความรักท้องถิ่นก็ถูกแทนที่โดยคนที่มาจากภายนอก หรือเป็น “คนนอก” ไปเกือบหมด


คนเหล่านี้ได้โอกาสจากกฎหมายของบ้านเมืองในรัฐรวมศูนย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และจากการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงขายเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง และบริหารการปกครองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากสภาวะการตามไม่ทันของคนในท้องถิ่น [Culture lag] เข้ามาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ดังเช่นผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ เจ้าหน้าที่อบต. ที่ได้รับอำนาจการบริหารจัดการมาจากรัฐในส่วนกลาง ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนทั้งในชาติและต่างชาติเข้ามายึดครองที่ดินและทรัพยากรท้องถิ่น โดยผ่านการรับรู้และช่วยเหลือของผู้ที่เป็นคนบริหารท้องถิ่นที่รับอำนาจจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือ อบจ. เป็นต้น


ในลักษณะนี้การเติบโตแบบทำลายจากนิเวศการเมืองเศรษฐกิจที่มาจากรัฐและจากกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังคุกคามทำลายร้างภูมินิเวศทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนตามชุมชนที่มีมาแต่เดิมอย่างน่ากลัวและรุนแรง การเพิ่มพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจแบบส่งออก การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบดูแต่ตัวเลขจากรายได้ล้วนมีประโยชน์แก่บรรดานายทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศเพื่อเพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP] รวมทั้งการขยายพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรมที่ทำให้คนท้องถิ่นที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมจำนวน ๙๐ เปอร์เซนต์ มีที่ดินให้ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซนต์ เท่านั้น ความวิบัติกำลังมาเยือนสังคมไทยทั้งประเทศ ปรากฏการณ์ของความรุนแรงในหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ไม่ว่าเป็นเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ล้วนมีที่มาจากความล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ และบรรดานายทุนทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งปรากฏการณ์ของการใช้อาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นปืนและระเบิดทำลายชีวิตผู้คนอย่างขาดความเป็นมนุษย์ [Dehumanization]


ปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ ในความคิดและประสบการณ์ของข้าพเจ้าเชื่อว่าคนในรัฐบาล นายทุน และนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ไม่เคยมีความสำนึก ดังเห็นจากแทบทุกภาคส่วนยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกเพื่อเพิ่ม GDP อยู่นั่นเอง


ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีและเจ้ากระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่ทางเศรษฐกิจจากคนเดิม กลุ่มเดิมมาเป็นกลุ่มใหม่ ช่างดูไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทั้งคนใหม่และคนเก่าก็ยังยึดถือในเรื่องของ GDP ที่จะมาจากการส่งออกอยู่นั่นเอง นี่คือจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ที่ข้าพเจ้าให้ความนิยมชมชอบมากกว่ารัฐบาลใด ๆ ที่แล้วมาทั้งในอดีต และปัจจุบัน


รัฐบาลเผด็จการ คสช. ทำดีแล้ว ชอบแล้ว ในเรื่องยกเลิกรัฐบาลประชาธิปไตยทุนนิยมที่เป็นขี้ข้าอเมริกาและตะวันตก ได้คืนความสงบสุขและผาสุกแก่คนส่วนใหญ่ที่เป็นรากหญ้าของประเทศ ด้วยการปราบปรามคนรุนแรง ไร้ศีลธรรม และปราบปรามคนคอรัปชั่นโกงกินประเทศให้ถึงที่สุด


บ้านเมืองจะดีได้ก็เพราะสิ่งเช่นนี้คือพื้นฐาน แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีผู้ประสงค์ดี และประสงค์ร้ายที่ออกมาตำหนิว่า เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเดือดร้อนอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งนักการเมือง นายทุน และนักวิชาการที่ตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่เน้นแต่การส่งออกและ GDP คนเหล่านี้คือคนส่วนบน แต่ไม่เคยเข้าใจในชีวิตวัฒนธรรมของคนส่วนล่างตามท้องถิ่นแม้แต่น้อย


การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากจากข้างบนและจากภายนอกในกระแสโลกาภิวัตน์เพื่อ GDP นั่นคือความฉิบหายขายตัวในระยะยาว แต่ในประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ทำงานทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นกับบรรดาผู้คนในชุมชนข้างล่าง กลับได้เห็นและสัมผัสว่า ท่ามกลางการคุกคามของทุนนิยมที่มาจากโลกาภิวัตน์นั้น คนรากหญ้าในชุมชนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิม กลับมีชีวิตที่พอเพียงเหมาะสมกับอัตภาพ ที่ไม่ต้องขวนขวายทำงานเพื่อหาเงินอย่างตัวเป็นเกลียวเพื่อให้มี GDP เพิ่ม จนไม่มีเวลาผ่อนคลาย


แต่มี GNH แทน อันเป็นความสุขมวลรวมของผู้คนในชุมชนที่สะท้อนให้เห็นจากชีวิตความเป็นอยู่ในครัวเรือนที่มีคนอย่างน้อยสามรุ่นอยู่ด้วยกัน คือ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูก และหลาน โดยเฉพาะในเวลาไปวัดทำบุญไหว้พระ หรือไหว้ศาลเจ้า ศาลผี มีงานเลี้ยงฉลองจะพากันเดินจูงกันไปทั้งครอบครัว ต่างคนต่างพาครอบครัวไปทำบุญ ไปกินเลี้ยงในงานประเพณี พิธีกรรม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของความผ่อนคลาย และความสุขตามกาลเทศะในชีวิตร่วมกันในชุมชน


สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากการมีชีวิตร่วมกันของคนในชุมชนก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับความเชื่อ และอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีอยู่อย่างสืบเนื่องของวัดและศาลผี เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดไม่ได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และอพาร์ทเม้นท์


อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวัดกับศาลผีในโลกของวัตถุนิยมปัจจุบัน วัดมีอาการและสภาพเปลี่ยนไปเป็นอันมาก อันเนื่องจากพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป พระชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยมีพฤติกรรมเป็นอลัชชี อาศัยความเป็นพระในคราบผ้าเหลือง ไม่ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรม ออกไปท่องเที่ยวมั่วสีกา เสพเมถุน ขายเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะพระที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ ๆ ที่มีข่าวในขณะนี้ รื้อโบราณสถาน ไล่รื้อบ้านเรือนของผู้คนในชุมชนที่อยู่กับวัดมาเป็นเวลาร้อย ๆ ปี


งานเลี้ยงผีประจำปี การแสดงขับลำที่ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม


อันเป็นเพราะรัฐฆารวาสและรัฐสงฆ์ได้ให้อำนาจกฎหมายแก่พระเทวทัตเหล่านั้น ปฏิบัติการรื้อชุมชนเอาที่ไปขาย หรือไปให้นายทุนก่อสร้างสถานที่ทางธุรกิจและอาคารพานิชยสถาน


เท่าที่ข้าพเจ้าไปสัมผัสมาพบว่า คนไทยที่เป็นชาวบ้านเป็นปัญญาชน ผู้มีความสุขมวลชนนั้น มีแนวโน้มที่จะนับถือพระพุทธศาสนาแค่เพียงพระพุทธ พระธรรมเท่านั้น พระสงฆ์หายไปมาก แต่มีการกราบไหว้นับถือที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจและสมานความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนแทน


“ผี” ดูพึ่งได้ในโลกนี้ แต่พุทธเป็นเรื่องของตามบุญตามกรรมในโลกหน้า ชีวิตในชุมชน ถ้าหากขาดพระพุทธ พระธรรม และผีแล้ว คงหาความสุขมวลรวมได้ยาก


ทุกวันนี้ที่ใดมีวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีชื่อวัดและบ้านเป็นชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่วัดไหนที่กลายเป็นวัดใหญ่โตสร้างด้วยอิฐด้วยหินในรูปแบบสถาปัตยกรรมที่อลังการเกินฐานะของผู้คนในชุมชนแล้ว ก็มีอคติไว้ก่อนได้เลยว่า วัดนั้นไม่เป็นวัดของชุมชน หากเป็นอาศรมของพระดัง ๆ ที่มีนายทุนและผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองมาช่วยสร้างและสนับสนุน ต่างกับศาลผีที่ดำรงอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองอย่างยั่งยืน


ในที่สุดก็อยากแสดงความเห็นว่า GDP นั้น เป็นเรื่องของปัจเจก โดยเฉพาะในหมู่คนที่เน้นวัตถุมากกว่าความสุขทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ GNH คือความสุขมวลรวมของคนในชุมชนที่สืบมาแต่สังคมชาวนา


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Commenti


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page