เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2548

มัสยิดกรือเซะมองจากศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเมื่อราว ๒๐ ปีมาแล้ว
มัสยิดร้างที่บ้านกรือเซะ ปัตตานี ถูกประกาศให้เป็นโบราณสถานมานานแล้วบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองปัตตานีเก่า ก่อนที่จะถูกเผา ทิ้งร้าง และย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่ปากน้ำปัตตานีในปัจจุบัน
แล้วโบราณสถานร้างก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตำนานท้องถิ่นที่แสดงถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมและคนจีนโพ้นทะเลถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งหนึ่งความรักของรายาแห่งปัตตานีกับหนุ่มจีนผู้สร้างปืนใหญ่คือบูรณาการทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม แต่เมื่อน้องสาวผู้ติดตามหาพี่ชายด้วยความเสียสละจนยอมตายกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภักดีและซื่อสัตย์ และเมื่อย้ายสุสานมาไว้ด้านหลังมัสยิด จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทั้งสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและมัสยิดกรือเซะได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อม ๆ กับคำสาปของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ไม่ยอมให้มัสยิดสร้างจนสำเร็จถูกบอกเล่าต่อ ๆ มา เท่า ๆ กับศรัทธาต่อความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่โดยเฉพาะในหมู่คนจีนและคนไทยพุทธจากที่ไกล ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประจักษ์พยานสำคัญที่ยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ตั้งอยู่ตรงหน้า ก็คือ โบราณสถานเปลือยเปล่าที่ไร้โครงหลังคาอันเคยเป็นมัสยิดแห่งกรือเซะนั่นเอง

มัสยิดกรือเซะหลังเหตุการณ์ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ไม่นาน
ในขณะที่ความเป็นจริงแบบตำนานประวัติศาสตร์ยังโลดแล่นในลมหายใจเข้าออกของผู้คนที่ยังมีความรู้สึกรัก ชอบ เกลียดชังมัสยิดที่ถูกบอกเล่าว่า ถูกคำสาบให้สร้างไม่เสร็จกลายเป็นประเด็นที่ผูกเข้ากับความรู้สึกของชาวมุสลิมยุคใหม่ในพื้นที่อย่างมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัญหาทางศาสนาและชาติพันธุ์ สะท้อนให้เห็นจากการเรียกร้องให้มัสยิดกรือเซะนั้นเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงโบราณสถานที่ใครต่อใครก็สามารถก้าวเข้าไปได้โดยปราศจากความเคารพหรือสำรวมตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม
ปฏิกิริยาจากผู้ดูแลโบราณสถาน คือ กรมศิลปากรและคนทั้งประเทศที่มองมัสยิดกรือเซะเป็นเพียงโบราณสถานหมดสภาพจากสมัยอยุธยา ไม่มากไปกว่านั้น อีกทั้งแนวคิดที่ว่าโบราณสถานไม่ใช่สถานที่ที่จะถูกบูรณะหรือสร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้งานสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นมุมมองแบบหยุดนิ่งอยู่เพียงมิติเดียว คือ ชีวิตคนกับโบราณสถานไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
หลักการกับความเป็นจริงมักสวนทางกัน เริ่มมีชาวบ้านบางกลุ่มบางคนใช้มัสยิดกรือเซะสำหรับทำละหมาด และโบราณสถานแห่งนี้ถูกให้ความหมายใหม่อย่างเงียบๆ จนคนในสังคมไทยส่วนใหญ่ก็ลืมที่จะนึกถึง

มัสยิดกรือเซะเมื่อบูรณะแล้ว พฤษภาคม ๒๕๔๘
เมื่อความขัดแย้งทางความคิดเดินทางมาจนถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ มัสยิดกรือเซะถูกประกาศความหมายใหม่ นั่นคือ สถานที่พลีชีพที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมกลุ่มหนึ่งต่อรัฐไทย ตัดขาดความหมายเดิมที่อิงอยู่กับตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวอย่างสิ้นเชิง การถล่มมัสยิดกรือเซะวันนั้นช่วยสร้างความหมายใหม่ให้แก่โบราณสถานแห่งนี้โดยยากที่จะลบเลือนในชั่วข้ามคืน
ร่องรอยกระสุนบนแผ่นหินอ่อนปูพื้นถูกกวาดออกมากองอยู่ข้าง ๆ รอคนงานมาเก็บไปทิ้ง รอยอิฐหักพังถูกบูรณะจนแทบไร้ร่องรอย และมัสยิดกรือเซะกำลังมีโครงหลังคา คือ มัสยิดกรือเซะที่สร้างเสร็จแล้ว ภายในโบราณสถานแห่งนั้นกำลังกลายเป็นมัสยิดไปจริง ๆ ตามการบูรณะของกรมศิลปากร คงคาดเดากันได้ มัสยิดกรือเซะถูกช่วงชิงและแปรเปลี่ยนความหมายไปหมดแล้ว ตำนานที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ถูกใช้โดยคนท้องถิ่นอีกต่อไป แต่ตำนานและระบบสัญลักษณ์นี้กำลังถูกใช้โดยคนทั่วโลก

ภายในมัสยิดกรือเซะที่มีหลังคาและจัดเป็นสถานที่ละหมาดในปัจจุบัน
วันที่ไปเยือนมัสยิดกรือเซะ เพื่อนผู้พี่ชาวบ้านมุสลิมแถวนั้นเอ่ยปากด้วยความรู้สึกเศร้าในน้ำเสียงอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ “ถ้าวันนั้นไม่มีเหตุการณ์ที่กรือเซะ ทุกวันนี้เราคงไม่ต้องทนเรื่องหนักขนาดนี้นะ”
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments