top of page

กลุ่มเตาเครื่องปั้นดินเผาลุ่มน้ำสงคราม

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2539


เริ่มมีการสำรวจพบและรายงานเป็นครั้งแรก โดยผู้ช่วยศาสตาจารย์สำรวจ อินแบน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในโครงการวิจัยเรื่อง การสำรวจสภาวะทางเทคโนโลยีเซรามิคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบเตาเผาโบราณจำนวน ๑๗ เตา บริเวณที่เรียกว่า หนองกุดโง้ง ใกล้บ้านดงสาร เขตตำบลนาฮี อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร


แผนที่แสดงกลุ่มเตาแม่น้ำสงครามและ ทรากเตาแบบประทุนริมตลิ่ง ซึ่งจะพบเห็นได้เฉพาะช่วงหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำสงครามแห้งลงแม่น้ำโขงแล้ว ในภาพคือกลุ่มเตาปากซาง

ในเขตอำเภอเซา จังหวัดหนองคาย


ต่อมาผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรัตน์ วรางครัตน์ หัวหน้าศูนย์วัฒนธรรมสหวิทยาลัยอีสานเหนือ จังหวัดสกลนคร และอาจารย์นิรสัย หินสอ อาจารย์ประจำศูนย์วัฒนธรรมไทยโย้ย โรงเรียนอากาศอำนวยศึกษา อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ได้สำรวจ กลุ่มเตาบริเวณบ้านท่าแร่ ตำบลโพนงาม อำเภออากาศอำนวย และเก็บรักษาเครื่องปั้นดินเผาจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม ซึ่งรับมอบจากชาวบ้านไว้ที่โรงเรียนอากาศอำนวยศึกษา


พ.ศ.๒๕๓๔ - ๒๕๓๗ ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี กรมศิลปากร สำรวจแหล่งโบราณคดีกลุ่มเตาในลุ่มน้ำสงคราม และทำการขุดค้นเตาเผา ๑ เตา ซึ่งอยู่ริมฝั่งน้ำสงครามบริเวณบ้านท่าแร่ และได้เผยแพร่ผลการขุดค้นและการสำรวจกลุ่มเครื่องปั้นดินเผาลุ่มน้ำสงครามอย่างเป็นทางการ


โครงการศึกษาผลกระทบด้านโบราณคดีและศิลปวัฒนธรรม โครงการน้ำสงคราม ได้ทำการสำรวจกลุ่มเตาเหล่านี้เพิ่มเติมโดยละเอียด พบจำนวนกลุ่มเตาเพิ่มขึ้น และทำการวิเคราะห์เบื้องต้น ดังรายงานต่อไปนี้


ลักษณะโดยทั่วไปของแม่น้ำสงคราม ประกอบไปด้วยภูมิประเทศที่แตกต่างกันตลอดความยาวของลำน้ำกว่า ๔๒๐ กิโลเมตร ในส่วนแม่น้ำสงครามตอนล่าง ซึ่งมีลักษณะคดเคี้ยวไปมาบ่งชี้ถึง การเป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ที่ระดับตลิ่งของแม่น้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับน้ำท่วมถึง ในฤดูฝนเกือบทุกปีจึงมีเขตบริเวณที่น้ำท่วมกว้างอยู่เสมอ


ดินบริเวณแม่น้ำสงคราม เป็นดินที่พัฒนามาจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นตะกอนน้ำพา (Alluvial Sediments) ซึ่งกำเนิดจากหินตะกอนที่อยู่ในกลุ่มหินโคราช ที่เป็นหินเนื้อทรายและทรายแป้ง อีกทั้งบางแห่งยังเป็นหมวดหินที่มีเกลือปนอยู่ด้วย ดังนั้น ตะกอนในลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดจากการสลายตัวผุพังของหินต้นกำเนิดเหล่านี้ ซึ่งเป็นพื้นดินบริเวณริมแม่น้ำสงครามจึงเป็นพวกดินทรายและทรายแป้งอย่างเห็นได้ชัด และดินลักษณะนี้ มีความเหมาะสมที่จะนำมาทำเป็นภาชนะดินเผา


กลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม


เตาเครื่องปั้นดินเผาลุ่มน้ำสงคราม มักตั้งอยู่ริมตลิ่ง หันปากเตาสู่แม่น้ำ เมื่อเวลาผ่านไปการขึ้นลงของน้ำในแม่น้ำ กัดเซาะกลุ่มเตาจนเหลือแต่โครงผนังดินส่วนหลังคาหรือส่วนพื้นเตา มีจำนวนไม่น้อยที่แทบไม่เหลือร่องรอยปรากฏให้เห็น


เตาส่วนมากที่สำรวจพบเนื่องมาจากชายตลิ่งถูกกัดเซาะ จนทำให้เห็นรูปทรงของเตาซึ่งถูกกัดเซาะไปด้วยเช่นกัน ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงกลุ่มเตาบางแห่ง กล่าวว่า เตาเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ พบเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะชายตลิ่งถูกกัดเซาะไปในช่วงน้ำท่วม


กลุ่มเตาเครื่องปั้นดินเผา กระจากตัวอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำสงคราม ทั้งสองฟาก เป็นระยะทางกว่า ๙๐ กิโลเมตร (เท่าที่สำรวจพบ) ตั้งอยู่ระหว่างพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ ๑๐๓ องศา ๕๙ ลิปดา ตะวันออก และ ๑๗ องศา ๔๖ ลิปดา ๘ พิลิปดา เหนือ จนถึง ๑๐๔ องศา ๑๗ ลิปดา ๑๗ พิลิปดา ตะวันออก และ ๑๗ องศา ๔๐ ลิปดา ๑๗ พิลิปดา เหนือ บางแห่งหลงเหลือเพียงไม่กี่เตา บางแห่งหลงเหลือเป็นจำนวนมาก มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้


. กลุ่มเตาหนองกุดโง้ง ใกล้บ้านดงสาร ตำบลนาฮี อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร

พบเตาเครื่องปั้นดินเผาจำนวน ๑๗ เตา บริเวณที่เรียกว่า หนองกุดโง้ง ห่างจากบ้านดงสารราว ๒.๕ กิโลเมตร


สภาพเตา เป็นเตาทรงประทุน (คล้ายเรือประทุน) หันปากเตาสู่แม่น้ำ ขุดลึกเข้าไปในตลิ่ง พื้นปูด้วยหินกรวดแม่น้ำจับตัวกับพื้นทราย และพังทลายเนื่องจากถูกน้ำกัดเซาะชายฝั่ง เท่าที่พบส่วนท้ายของเตา มีขนาดตัดขวางราว ๒.๕ เมตร


เศษภาชนะที่พบ คือภาชนะเนื้อแกร่งใช้ความร้อนในการเผาสูง ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุนเคลือบด้วยตะกรันเหล็กซึ่งให้สีน้ำตาล เป็นภาชนะประเภทไหขอบปากสูง มีทั้งเคลือบและไม่เคลือบ ลวดลายที่พบเป็นลายขูดขีดด้วยหวีไม้,ลายปั้นแปะเป็นรูปขด หรือสัญลักษณ์ของหูไห, ลายนูนเป็นเส้นพันรอบไหล่


นอกจากนี้ จากการสำรวจของ ผศ.สำรวจ อินแบน ในโครงการวิจัยเรื่อง “การสำรวจสภาวะทางเทคโนโลยีเซรามิคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” พบว่า มีภาชนะซึ่งมีรูปแบบและเทคนิควิธีการผลิตภาชนะเช่นนี้ แพร่หลายอยู่ในแถบจังหวัดสกลนคร, หนองคาย, นครพนม, อุดรธานี, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ยโสธร และอุบลราชธานี นับเป็นข้อสังเกตประการหนึ่งในการหาขอบเขตการแพร่กระจายของภาชนะจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม


. กลุ่มเตาบ้านท่าแร่ ตำบลโพนงาม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร

เตาเครื่องปั้นดินเผาตั้งอยู่ริมตลิ่งใกล้บ้านท่าแร่ สำรวจพบจำนวน ๑๑ เตา เป็นเตาที่ขุดเข้าไปในตลิ่ง และมีสภาพพังทลายจนมองเห็นรูปร่างได้ยาก นอกจากพื้นและผนังเตาซึ่งหักพังกระจัดกระจาย ในบริเวณนี้กรมศิลปากรได้ทำการขุดทดสอบดูรูปแบบของเตาจำนวน ๑ เตา พบว่าเป็นเตารูปประทุน หันปากเตาลงสู่แม่น้ำ มีขนาดประมาณ ๒.๕ x ๕ เมตร ผนังเตาทำจากดินเผาไฟแกร่งหนาประมาณ ๑๐ เซนติเมตร พื้นเตาปูด้วยหินกรวดแม่น้ำผสมกับทรายเป็นพื้นแข็ง เศษภาชนะที่พบมีทั้งแบบภาชนะเนื้อแกร่งสีเทาไม่เคลือบ, เคลือบสีน้ำตาล และภาชนะประเภทเนื้อดินสีส้ม รูปทรงของภาชนะที่พบ คือ ไหขอบปากสูงขนาดใหญ่, ไหหล่อน้ำ, ชามและถ้วย ลวดลายที่พบคือลวดลายขูดขีดด้วยซี่หวี,ลายปั้นแปะรูปขด และลายนูนเป็นเส้นคาดรอบไหล่


. กลุ่มเตาฝั่งตรงข้ามบ้านท่าแร่ ใกล้บ้านนาทม ตำบลนาทม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม

พบเตาอยู่บริเวณฝั่งน้ำและอยู่ลึกเข้าไปจากชายฝั่งราว ๕๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ พบปล่องเตาอยู่บนยอดเนิน ๒ ปล่อง น่าจะเป็นกลุ่มเตาที่มีสภาพสมบูรณ์จำนวน ๒ เตา สภาพของเนินดินยังไม่ถูกทำลายเพราะอยู่ห่างชายตลิ่ง พ้นจากการถูกน้ำกัดเซาะ และมีวัชพืชปกคลุมเนินดินอยู่ เศษภาชนะที่พบมีลักษณะและลวดลายคล้ายกับที่พบในกลุ่มเตาที่กล่าวมาแล้ว


. ดงเตาไห ใกล้กลุ่มเตาหนองอ้อ ตำบลนาทม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม

ชาวบ้านเรียกเนินดินขนาดใหญ่,ขนาดเล็ก จำนวนหลายสิบเนินนี้ว่า ดงเตาไห อยู่บนชายตลิ่ง ปกคลุมไปด้วยวัชพืชและกอไผ่ บริเวณเนินดินพบเศษภาชนะดินเผาจำนวนน้อยมาก แต่ในระยะที่ห่างออกไปพบเศษภาชนะดินเผาในปริมาณที่มากกว่า


. กลุ่มเตาหนองอ้อ ใกล้บ้านท่าพันโฮง ตำบลนาทม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม

พบร่องรอยของกลุ่มเตาเรียงรายอยู่ตามริมตลิ่งจำนวน ๒๘ เตา เป็นเตาทรงประทุนที่ขุดลึกเข้าไปในตลิ่ง และถูกน้ำกัดเซาะจนพังทลาย แต่ยังคงมีร่องรอยลักษณะของเตาอย่างชัดเจน พบว่า มีก้อนศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมวางตั้ง ๒ ข้างของปากเตาคล้ายเป็นช่องใส่ไฟและกันความร้อน พื้นเอียงลาดขึ้นเล็กน้อย ผนังส่วนบนของเตาถูกน้ำกัดเซาะจนปรากฏรูปทรงเตาเป็นรูปกลม ทำให้ไม่แน่ใจว่าเรื่องรูปทรงของเตาในแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง บริเวณชายตลิ่ง บริเวณนี้ถูกน้ำกัดเซาะจนมีลักษณะชันหน้าตัด ไม่มีชายหาด ชาวบ้านกล่าวว่า กลุ่มเตาเหล่านี้เพิ่งมีการสังเกตุเห็นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากน้ำพัดเอาดินชายตลิ่งหายไปเรื่อย ๆ กลุ่มเตาจึงปรากฏขึ้น เศษภาชนะดินเผาที่พบ ส่วนมากมีขนาดใหญ่ รูปทรงน่าจะเป็นพวกไหขอบปากสูง และไม่พบเศษภาชนะขนาดเล็ก เศษภาชนะเป็นพวกภาชนะเนื้อแกร่งสีเทาไม่เคลือบและเคลือบสีน้ำตาล รวมถึงภาชนะเนื้อดิน ลวดลายมีลักษณะเดียวกับภาชนะในกลุ่มเตาอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังพบก้อนดินรูปลิ่ม ขนาดต่าง ๆ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น “กี๋” ที่ใช้รองภาชนะในเตาไม่ให้เอียงตามความลาดของพื้นเตาในขณะที่กำลังเผา


. กลุ่มเตาบุ่งอีซา ใกล้บ้านท่าพันโฮง ตำบลนาทม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม

เป็นกลุ่มเตาที่พบเนื่องจากการทำทางขึ้นลงของรถบรรทุก เพื่อลงไปที่ชายหาด ทำให้เตาจำนวน ๔ เตาถูกไถจนเหนือแต่ร่องรอยของพื้นเตาและผนังเตาบางส่วน เศษภาชนะที่พบเป็นจำพวก ภาชนะเนื้อแกร่งสีเทาไม่เคลือบและเคลือบสีน้ำตาล รวมถึงภาชนะเนื้อดิน


. กลุ่มเตาปากซาง เลยปากน้ำห้วยฮีจนเกือบถึงปากน้ำห้วยซาง ตำบลซาง อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย

พบร่องรอยของกลุ่มเตาจำนวน ๑๓ เตา สภาพน้ำกัดเซาะชายตลิ่งจนพัง ทำให้เห็นร่องรอยของเตาได้ เตาบางแห่งพังทลายจนเกือบหมด หลงเหลือเพียงเศษผนังเตาที่ไหลลงสู่พื้นลำน้ำ เศษภาชนะที่พบ เป็นจำพวกภาชนะเนื้อแกร่งสีเทาไม่เคลือบ, เคลือบสีน้ำตาลและภาชนะเนื้อดิน


. กลุ่มเตาปากบ่อควน ใกล้บ้านนาหวายและบ้านดงเสียว ตำบลท่าก้อน อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ถ้าทวนน้ำขึ้นมาตามแม่น้ำสงครามจากบ้านท่าพันโฮงเป็นระยะทางน้ำราว ๕ กิโลเมตร บริเวณที่พบกลุ่มเตามีลักษณะเป็นเกาะ มีลำห้วยล้อมรอบ เนินขนาดใหญ่รอบ ๆ เป็นเนินใช้ปลูกสับประรดเป็นไร่ใหญ่ และถูกปรับไถพื้นที่แล้ว ชาวบ้านเล่าว่า มีกลุ่มเตาบางส่วนที่ถูกปรับไถจนไม่เหลือร่องรอยซึ่งอยู่ทางชายตลิ่งถัดมา ส่วนกลุ่มเตาส่วนที่เหลือที่ไม่ถูกทำลาย ก็เพราะอยู่บนเกาะขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นเนิน การปรับไถคงเป็นไปได้ยาก พบจำนวนร่องรอยกลุ่มเตาจำนวน ๑๖ เตา มีสภาพหักพัง ผนังเตากระจายหล่นลงสู่พื้นแม่น้ำ ลักษณะเป็นรูปทรงประทุน แบบเดียวกับที่พบในแหล่งเตากลุ่มอื่น ๆ ภาชนะที่พบ ส่วนใหญ่เป็นภาชนะเนื้อแกร่งขนาดใหญ่, เคลือบสีน้ำตาลและไม่เคลือบ มีเขม่าไฟสีดำจับอยู่ที่เศษภาชนะและตัวเตาทั่วไป รวมทั้งพบ กี๋ ขนาดต่าง ๆ ด้วย


. กลุ่มเตาบ้านหาดแพง บริเวณขุมข้าว ตำบลหาดแพง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม

อยู่ห่างจากลุ่มเตาที่กล่าวมาทั้งหมดค่อนข้างไกล เลยอำเภอศรีสงครามไปจนถึงบ้านหาดแพงกลุ่มเตาที่พบ อยู่บริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า “ขุมข้าว” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ริมฝั่งแม่น้ำสงคราม ลักษณะของเตาเผาถูกปกคลุมด้วยรากไม้และวัชพืชคลุม จนแทบไม่เห็นร่องรอยของเตา เท่าที่สำรวจ พบจำนวน ๒ เตา ซึ่งน่าจะมีมากกว่านี้ เนื่องจากยังสำรวจไม่ได้ตลอดแนวชายตลิ่ง ร่องรอยของเตามีเหลือไม่มากนัก พบเพียง เศษพื้นเตา, ก้อนแลง, ผนังเตา เศษภาชนะประเภทเนื้อแกร่งทั้งเคลือบและไม่เคลือบ ลักษณะของเตาน่าจะเป็นลักษณะเดียวกับกลุ่มเตาที่สำรวจมาแล้ว

ส่วนกลุ่มเตาวัดดงเจ้าจันทร์ ที่กล่าวถึงใน “แหล่งเตาลุ่มน้ำสงคราม” (รักชนก โตสุพันธุ์: ศิลปากร,ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๓) เมื่อสำรวจอีกครั้งโดยการสอบถามชาวบ้านและสำรวจบริเวณชายตลิ่ง ไม่พบว่า มีเตาภาชนะดินเผาหรือเศษภาชนะแต่อย่างใด คงพบเพียงเตาเผาถ่านรูปทรงกลมบนตลิ่งที่เก่าร้างมานานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ในสำนักสงฆ์ดงเจ้าจันทร์ ได้เก็บเศษภาชนะดินเผาและภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งทั้งเคลือบและไม่เคลือบชิ้นใหญ่ ๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งบอกเล่าว่า พบแถบชายตลิ่ง จึงอาจเป็นไปได้ที่มีเตาเผาภาชนะในบริเวณใกล้เคียง แต่ยังสำรวจไม่พบ


ภาชนะรูปแบบไหเคลือบสีน้ำตาล เนื้อแกร่งแบบ stoneware พบเป็นจำนวนมากที่สุด ถือเป็นลักษณะเด่นของภาชนะในกลุ่มเตาแม่น้ำสงคราม ซึ่งใช้กี๋แบบรูปลิ่ม ซึ่งพบว่าเป็นอัตลักษณ์เด่นของกลุ่มเตาแม่น้ำสงครามและกลุ่มเตาในเวียงจันทน์


กลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม เท่าที่พบในปัจจุบัน มีไม่น้อยกว่า ๙๐ เตา สำรวจพบตั้งแต่บริเวณบ้านหาดแพง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ไปจนถึงบ้านนาหวาย อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร เป็นระยะทางตามลำน้ำที่คดโค้งไปมาราว ๙๐ กิโลเมตร แบ่งเป็นกลุ่มเตากลุ่มใหญ่บริเวณ หนองกุดโง้ง-ท่าแร่-หนองอ้อ-ปากซาง เลยไปราว ๕ กิโลเมตร จากระยะทางน้ำ คือกลุ่มปากบ่อควน และ กลุ่มที่อยู่ไกลออกไปทางปากแม่น้ำสงคราม คือ กลุ่มบ้านหาดแพง


กลุ่มเตาตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ที่สำรวจพบเพราะเป็นเตาที่ขุดเข้าไปในตลิ่ง เมื่อมีการกัดเซาะจากน้ำ ทำให้พบเห็นร่องรอยของเตาที่พังลงสู่แม่น้ำ ดังนั้น จึงเป็นข้อสังเกตประการหนึ่งว่า อาจจะมีกลุ่มเตาตามชายฝั่งที่ยังไม่ถูกกัดเซาะตลิ่ง และมีพืชปกคลุม รวมถึงห่างไกลชุมชน (ชุมชนริมแม่น้ำสงคราม มีการอยู่อาศัยไม่หนาแน่น) ทำให้เป็นแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่มีการค้นพบ และเชื่อว่าน่าจะมีกลุ่มเตาภาชนะดินเผา กระจายอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำสงครามมากกว่าที่สำรวจในปัจจุบันนี้


รูปแบบของการทำภาชนะแบบลุ่มน้ำสงคราม มีความคล้ายคลึงและเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มเตาในแถบนี้ คือการทำภาชนะเนื้อแกร่งขนาดใหญ่ เช่น ไห รูปทรงต่าง ๆ เป็นหลัก และตกแต่งลวดลายเพียงไม่กี่แบบ รวมถึงการเคลือบน้ำเคลือบสีน้ำตาล ที่อาจมีโทนสีต่างกันไปบ้างในแต่ละแห่ง


การทำภาชนะเนื้อดิน (Earthen Ware) น่าจะเกิดจากการวางภาชนะไว้ในที่ซึ่งห่างไกลความร้อนขณะกำลังเผา ความร้อนที่แตกต่างกันในการเผาคราวเดียวกัน ทำให้ได้ภาชนะที่มีความแกร่งแตกต่างกัน มากกว่าที่จะมีการตั้งใจผลิตเฉพาะภาชนะเนื้อดินเพียงอย่างเดียว โดยดูจากปริมาณภาชนะเนื้อดินที่มีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับภาชนะเนื้อแกร่ง


รูปทรงของภาชนะจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม


จากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของภาชนะดินเผาที่เก็บรักษาไว้ที่ศูนย์วัฒนธรรมไทยโย้ย โรงเรียนอากาศอำนวยศึกษา และเศษภาชนะดินเผาที่เก็บตัวอย่างจากบริเวณกลุ่มเตา พบว่ามีรูปทรงลักษณะดังนี้


. ไห เป็นภาชนะขนาดใหญ่ทรงสูง มีส่วคอแคบ ส่วนลำตัวป่องออก แล้วเรียวลงสู่ฐานที่แคบและไม่มีเชิง มีทั้งรูปทรงที่ส่วนคอสั้น และส่วนคอจนถึงขอบปาก สูง รัศมีขอบปากมีทั้งที่แคบกว่าและใกล้เคียงเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวของภาชนะเคลือบน้ำเคลือบสีน้ำตาลและไม่เคลือบเนื้อสีเทา มีการตกแต่งบริเวณไหล่ ด้วยหูหลอก หรือที่เรียกว่า “จีบแปะ”, ลวดลายขด, ลวดลายต่าง ๆ ด้วยเทคนิคอื่น ๆ อีกหลายแบบ


. ไหน้ำหล่อ เป็นไหที่มีขอบปากสองชั้น ที่พบเป็นจำนวนภาชนะเนื้อแกร่งไม่เคลือบ พบจำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาชนะประเภทไหอื่น ๆ


. ถ้วย-ชาม ขอบปากของภาชนะประเภทนี้ มีทั้งที่เป็นแบบโค้งออกและแบบโค้งเข้า มีทั้งประเภทที่เคลือบและไม่เคลือบ ส่วนที่เคลือบก็มีทั้งแบบที่เคลือบเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง และเคลือบทั้งสองด้าน ขนาดของภาชนะเหล่านี้โดยประมาณคือ ชาม-เส้นผ่าศูนย์กลางปาก ๒๑ - ๒๑ เซนติเมตร,เส้นผ่าศูนย์กลางของก้น ๑๐ เซนติเมตร ถ้วย-เส้นผ่าศูนย์กลางของปาก ๑๐ เซนติเมตร, เส้นผ่าศูนย์กลางของก้น ๗ เซนติเมตร


. กระปุก เป็นผลิตภัณฑ์ทรงกระปุกขนาดใหญ่ ลำตัวอ้วนป่อง ส่วนคอแคบเล็ก ก้นตัด ปากผายออกเล็กน้อย ภาชนะประเภทนี้ มักจะเป็นภาชนะเนื้อแกร่ง ไม่เคลือ และไม่มีการประดับลวดลาย ผลิตภัณฑ์จากเตาภาชนะดินเผาลุ่มน้ำสงครามส่วนใหญ่ คือไหขอบปากสูง (หรือบางแห่งเรียกว่าไหปากแตร) เนื้อแกร่งมากและมีขนาดใหญ่ แหล่งเตาบางแห่งไม่พบภาชนะขนาดเล็กเลย นอกจากกลุ่มเตาบ้านท่าแร่ ซึ่งพบภาชนะแบบกระปุก, ชามและถ้วย


กล่าวโดยทั่วไป ลักษณะเด่นของภาชนะแบบลุ่มน้ำสงคราม คือ ภาชนะขนาดใหญ่, เนื้อแกร่งมาก มีทั้งเคลือบสีน้ำตาล และไม่เคลือบเนื้อสีเทา ส่วนมากที่พบคือ ไหขอบปากสูง ส่วนภาชนะแบบอื่น ๆ เป็นผลิตภัณฑ์อันดับรองลงมา


การตกแต่งผิวภาชนะและลวดลายที่พบ


. การตกแต่งผิวภาชนะด้วยการเคลือบผิว

สีของน้ำเคลือบภาชนะจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม พบเพียงสีเดียวคือ สีน้ำตาล ในแต่ละกุล่มเตามีลักษณะเฉพาะของสีน้ำเคลือบต่างกันไป เช่น สีน้ำตาลอ่อน, สีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลไหม้, สีน้ำตาลอมแดง, สีน้ำตาลอมเขียว การทำเคลือบสีน้ำตาล น่าจะเป็นเพราะ การใช้สารประกอบออกไซด์ของเหล็กหรือตะกรันเหล็กหาได้ง่าย และเทคนิควิธีการเคลือบไม่ยุ่งยากซับซ้อน เหมาะที่จะใช้สำหรับภาชนะขนาดใหญ่ การเคลือบไห มักจะเคลือบเฉพาะด้านนอกจนถึงขอบปากด้านใน น้ำเคลือบไหลหยดเป็นทางและเกาะตัวกับผิวภาชนะได้ไม่ดี, ส่วนชามจะเคลือบเฉพาะด้านใน


. การตกแต่งผิวภาชนะด้วยลวดลายประดับ มีหลายวิธี คือ

- การใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นซี่หวี ขุดหรือขูดขีด ให้เป็นรูปเส้นขนาน หรือลายลูกคลื่น การตกแต่งประเภทนี้ จะพบบริเวณ ไหล่และลำตัว ของภาชนะทรงไห

- การทำเส้นนูนคาดโดยรอบ บริเวณไหล่ และส่วนลำตัวของภาชนะทรงไห,กระปุก

- การทำลายปั้นแปะ ติดที่ภาชนะ ลักษณะเด่นของภาชนะดินเผาจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม คือมักจะมีการปั้นแปะ ด้วยลายรูปขด หรือลายตัว S ในแนวนอน (ภาพลายเส้นที่ ) ประดับไว้ที่ไหล่ภาชนะทรงไห และลายปั้นแปะที่เรียกว่า “หูหลอก” หรือ “ลายจีบแปะ” มีลักษณะเป็นหูขนาดเล็กจิ๋ว ใช้ประดับ (ภาพลายเส้นที่)


ลักษณะเนื้อดินของภาชนะลุ่มน้ำสงคราม


จากการวิเคราะห์เนื้อเซรามิค จากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม พบว่า เนื้อดินที่นำมาปั้นเป็นภาชนะดินเผา มีแร่เหล็กเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง เนื้อดินมีความละเอียด การเรียงตัวของเม็ดแร่อยู่ในเกณฑ์ดี แสดงถึงกระบวนการในการนวดผสมเนื้อดินปั้น ให้เข้ากันได้ดี


เนื้อดินที่นำมาปั้น น่าจะมีการเตรียมดินและใช้ดินในละแวกชายฝั่งแม่น้ำสงคราม, แร่เหล็กจำพวกเเฮมาไทด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมหนึ่งในเนื้อดิน น่าจะมีการนำมาจากบริเวณใกล้เคียง เช่น จากภูลังกา(ยังไม่มีการสำรวจหาแหล่งแร่เหล็กในบริเวณนี้อย่างละเอียด) ออกไซด์ของเหล็ก เช่นศิลาแลง เป็นส่วนหนึ่งของชั้นตะกอนที่ครอบคลุมบริเวณสองฝั่งลำน้ำสงคราม เป็นบริเวณกว้างโดยเฉพาะพื้นที่ราบขั้นบันไดแม่น้ำระดับสูง (High Terrace) และระดับกลาง (Middel Terrace) จะมีชั้นศิลาแลงหนาระหว่าง ๑ - ๐.๕ เมตรอยู่ด้วยเสมอ จึงไม่เป็นการยากที่จะหาศิลาแลงบริเวณนี้ และเนื้อดินที่มีปริมาณของซิลิเกตหรือทรายสูง บริเวณริมแม่น้ำสงครามจึงเป็นสถานที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเตรียมวัตถุดิบในการผลิตภาชนะดินเผผาเนื้อแกร่ง คุณภาพดี


เทคนิควิธีการผลิตภาชนะ


นอกจากการเตรียมดินที่ดี ได้ภาชนะเนื้อแกร่งแล้ว เทคนิควิธีการทำภาชนะเท่าที่สำรวจพบ ภาชนะส่วนมากคือไห มีการขึ้นรูปทรงโดยใช้แป้นหมุน ความหนาของภาชนะโดยเฉลี่ย ๐.๗ - ๑.๒ เซนติเมตร มีขนาดสม่ำเสมอ ใช้เส้นลวดตัดตรงส่วนก้นของภาชนะออกมา และรูปทรงงดงามดี แสดงถึงความชำนาญในด้านรูปทรงเฉพาะ


หลังจากนั้น จึงทำการตกแต่งลวดลาย บริเวณไล่ เช่นลายขูดขีด, ลายปั้นแปะ, ลายเส้นคาด ส่วนภาชนะที่เคลือบ จะนำไปเคลือบในน้ำเคลือบที่ได้จ่าย สารประกอบของซิลิเกตผสมกับสารประกอบที่ช่วยทำให้หลอมละลายและออกไซด์ของเหล็ก เมื่อเผาแล้ว น้ำเคลือบจะรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ให้สีน้ำตาลทึบแสงฉาบอยู่ที่ผิว

ลักษณะของเตาภาชนะดินเผาลุ่มน้ำสงคราม


ลักษณะของเตาบริเวณลุ่มน้ำสงคราม คือ เตาที่ขุดเข้าไปในตลิ่ง (Inground Bank Kiln) ซึ่งเป็นเตาทรงประทุนที่มีรูปทรงยาวขนานกับฟื้น หลังคาโค้งตลอดจนถึงปล่องไฟ ส่วนเตาที่ไม่ได้ขุดเข้าไปในชายตลิ่ง เท่าที่พบขณะนี้คือ กลุ่มเตาตรงข้ามบ้านท่าแร่ และกลุ่มดงเตาไห ซึ่งยังไม่ทราบว่า มีเทคนิควิธีการสร้างเตาเช่นไร


ลักษณะของเตาภาชนะดินเผาแบบโบราณ มีรายละเอียดต่าง ๆ ตามลักษณะภูมิประเทศ, เทคนิควิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป


จากการขุดค้นของกองโบราณคดี กรมศิลปากร บริเวณกลุ่มเตาบ้านท่าแร่ พบว่า “เตาเป็นรูปทรงประทุน ก่อด้วยดิน แล้วเผาไฟจนเนื้อแกร่ง ปล่องไฟเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมบน หันปากเตาลงสู่แม่น้ำ เตามีขนาดโดยประมาณ ๒.๕ x ๕.๐ เมตร ผนังเตาหนาประมาณ ๑๐ เซนติเมตร พื้นปูลาดด้วยหินกรวดแม่น้ำ ผสมกับเนื้อดินทรงจนพื้นแข็ง พบก้อนศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่ตรงที่เป็นปากเตาทั้งสองข้าง” น่าจะเป็นส่วนที่เป็นช่องใส่ไฟและกันไฟ จากการขุดค้นและการสำรวจไม่แน่ใจว่า จะมีส่วนของห้องไฟและคันกันไฟ ที่ลดระดับจากส่วนที่วางภาชนะ เช่นเดียวกับเตาทรงประทุนอื่น ๆ หรือไม่ เพราะส่วนนี้มักถูกทำลายจากการถูกน้ำกัดเซาะ และต้องอาศัยการขุดตรวจที่ละเอียดถี่ถ้วนอีกมาก ส่วนของหลังคาหักพังยุบลงไปที่พื้นเตา และสำรวจพบว่า เตาบางแห่งมีการสร้างทับซ้อนของเดิมด้วย


พื้นเตาน่าจะมีความลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อการกระจายความร้อนที่เหมาะสม และปูด้วยหินกรวดแม่น้ำ เพื่อเพิ่มความขรุขระ ป้องกันไม่ให้ภาชนะเลื่อนไหล นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “กี๋” สำหรับช่วยรองก้นภาชนะให้อยู่ในแนวระนาบ มีลักษณะเป็นก้อนดินรูปลิ่ม ขนาดเล็ก-ใช้รองภาชนะในจุดที่พื้นลาดเอียงเล็กน้อย (ใกล้บริเวณปล่องไฟ) และขนาดใหญ่-ใช้รองภาชนะในจุดที่พื้นลาดเอียงมาก (ใกล้บริเวณปากเตา) นอกจากนี้ ขนาดของกี๋ ยังน่าจะขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะอีกด้วย


การใช้กี๋รูปลิ่ม นับว่าเหมาะสมสำหรับการวางภาชนะขนาดใหญ่ ซึ่งไม่น่าจะมีการวางซ้อนกันในเตาเผาที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก และไม่พบว่ามีการใช้กี๋รูปลิ่มเช่นนี้ ในเตาภาชนะดินเผาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย, ในล้านนา, ในภาคอีสาน, หรือในภาคกลาง แต่พบในกลุ่มเตาที่เวียงจันทน์ กลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม จึงน่าจะสัมพันธ์กับกลุ่มเตาที่เวียงจันทน์ทางใดทางหนึ่ง


ลักษณะของเตาลุ่มน้ำสงคราม มีลักษณะเด่นคือ เป็นกลุ่มเตาที่ใช้วิธีการขุดเข้าไปในตลิ่ง,มีขนาดใกล้เคียงกันแทบทุกเตา, พื้นปูด้วยหินกรวดแม่น้ำเหมือน ๆ กัน,มีช่องใส่ไฟทำด้วยศิลาแลงเช่นเดียวกัน, ใช้กี๋รูปลิ่มเหมือนกันและผลิตภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ไห รูปทรงต่าง ๆ เป็นผลิตภัณฑ์หลัก


การสร้างเตาที่ขุดลึกเข้าไปในชายตลิ่ง เป็นเทคนิควิธีการที่พบเห็นได้จากหลายแห่ง เช่น ในกลุ่มเตารุ่นแรก ๆ ที่ศรีสัชนาลัยและในกลุ่มเตาล้านนา เนื่องจาก ไม่ต้องอาศัยเนินดิน ซึ่งต้องขุดเจาะเข้าไปให้เข้ากับรูปทรงของเตา แต่ใช้ความลาดเอียงของชายตลิ่งแทน ในขณะที่เตาซึ่งห่างไกลเส้นทางน้ำ ใช้เนินดินธรรมชาติและเนินดินที่สร้างขึ้นเองจากการถมดิน


นอกจากนี้ การใช้วิธีการสร้างเตาโดยการขุดลึกเข้าไปในชายตลิ่ง ยังเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการลำเลียงสินค้าทางน้ำ กรณีของแม่น้ำสงครามนั้น จากการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ชุมชน พบว่า การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการเดินทางทางน้ำ โดยเฉพาะจากบ้านท่ากกแดง อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย ไปจนถึงปากน้ำสงครามและแม่น้ำโขง เป็นเส้นทางติดต่อ,ขนส่งสินค้าในอดีตที่สะดวกที่สุด การติดต่อขนส่งทางบกในสภาพภูมิประเทศแถบนี้เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง


ความสะดวกในการขนส่งทางน้ำ จึงควรเป็นสาเหตุหนึ่งในการสร้างเตา บริเวณชายตลิ่งดังกล่าวด้วย

แม้ว่าสภาพทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำสงคราม จะมีน้ำท่วมอยู่เสมือในฤดูน้ำหลาก และท่วมตลิ่งในปีที่ฝนตกหนัก ความสะดวกในการหาวัตถุดิบและการขนส่งน่าจะทำให้ผู้ผลิตยังคงใช้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำสงครามทำภาชนะต่อไป โดยที่ทำการเผาภาชนะเป็นช่วง ๆ หยุดพักในฤดูน้ำหลาก และทำการเผาภาชนะในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งน้ำในแม่น้ำสงครามมักจะลดลงจนเกือบถึงพื้นท้องน้ำ ดังนั้น เตาภาชนะดินเผาริมฝั่งน้ำสงคราม จึงต้องมีวิธีการเก็บรักษาให้พ้นจากความเสียหายที่อาจเกิดจากภาวะน้ำท่วมอีกด้วย


ส่วนในรายละเอียด เช่นวิธีการขุดอุโมงค์, การทำผนังเตาที่มีความแกร่งมาก, ชื้อเพลิงที่ใช้ในการให้ความร้อนสูงมากกว่า ๑๓๐๐ องศา ขึ้นไป, การควบคุมความร้อนและระยะเวลาที่ใช้ในการเผาแต่ละครั้ง รวมถึงวิธีการนำภาชนะเข้าและออกจากเตาเผา ซึ่งมีขนาดเล็กจนไม่น่าสะดวกที่คนจะมุดเข้าไป(ในกลุ่มเตาล้านนาที่มีเตาขนาดใกล้เคียงกัน มีการสันนิษฐานว่า ต้องพังผนังเตาบางส่วนออก หรือเจาะช่องสี่เหลี่ยมที่ส่วนหลังคา เพื่อนำภาชนะไปวางและนำภาชนะออกมา)


จากลักษณะรูปแบบเตา,เทคนิควิธีการผลิตภาชนะดินเผา รวมถึงหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ นำมาใช้ศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อประมาณอายุของแหล่งผลิตนี้ได้ว่าควรอยู่ในช่วงใด ขนาดรูปทรงของเตา และการสร้างเตาที่ขุดเข้าไปในชายตลิ่ง เป็นเทคนิควิธีการผลิตที่มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มเตาลักษณะเดียวกัน ในศรีสัชนาลัยและกลุ่มเตาบางแห่งในล้านนา ซึ่งมีอายุโดยประมาณราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒


ในขณะที่อุปกรณ์เช่น “กี๋” มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับกลุ่มเตาที่เวียงจันทน์ ซึ่งมีการกำหนดอายุโดยประมาณราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐


แหล่งโบราณคดีบริเวณใกล้เคียง ริมแม่น้ำสงครามและที่อยู่ลึกเข้าไป เช่น บ้านเสาสัด, บ้านบะมะเกลือ พบเศษภาชนะดินเผาจากกลุ่มเตาล้านนาและเครื่องถ้วยจีนปะปนอยู่ไม่น้อย


บ้านยางงอยพบเศษภาชนะจากกลุ่มเตาล้านนาและเศษเครื่องถ้วยจีน จำนวนหนึ่ง

การขุดค้นที่บ้านท่าบ่อ พบเศษเครื่องถ้วยจีน ที่ประมาณอายุไว้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาล้านนา จำนวนหนึ่ง


และแหล่งโบราณคดีบริเวณใกล้เคียงกลุ่มเตาศรีสัตตนาคในเวียงจันทน์ พบเศษภาชนะดินเผาจากกลุ่มเตาในล้านนา และเศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง


อายุของแหล่งเตาล้านนา โดยทั่วไปประมาณไว้ราว พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒

กลุ่มเตาในลุ่มน้ำสงครามจึงควรร่วมสมัยกับกลุ่มเตาในล้านนาและมีความสัมพันธ์กับกลุ่มเตาในเวียงจันทน์ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน


โดยที่ไม่มีความต่อเนื่องหรือสัมพันธ์กับกลุ่มเตาที่บุรีรัมย์ ตามที่เคยมีความสับสนสำหรับเศษภาชนะเคลือบสีน้ำตาล และภาชนะทรงไห เคลือบสีน้ำตาล ซึ่งพบในแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ


การผลิตภาชนะดินเผาขนาดอุตสาหกรรมระดับนี้ ควรจะอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองในลุ่มน้ำโขงแถบนี้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งควรอยู่ในรัชกาล พระเจ้าไชยเชษฐา (พ.ศ.๒๐๙๑ - พ.ศ.๒๑๑๕) จนถึงรัชกาลพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราช (พ.ศ.๒๑๘๑-๒๒๓๘)


อายุสมัยที่สามารถประเมินจากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว กลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม ควรมีอายุอยู่ระหว่าง พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑


ซึ่งเป็นช่วงเวลาร่วมสมัยกับอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาในสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย, ล้านนา และเวียงจันทน์

สรุป


กลุ่มเตาสุ่มน้ำสงคราม มีลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์ คือ การทำภาชนะเนื้อแกร่ง ประเภทไห ขอบปากสูงและเคลือบสีน้ำตาล ซึ่งไหลักษณะนี้ มีการสำรวจพบเป็นจำนวนมา ในชุมชนโบราณต่าง ๆ ในแอ่งสกลนคร ที่ระบุว่าเป็นชุมชนลาว (Laotian Site) ซึ่งใช้เป็นไหใส่กระดูกมนุษย์ ที่นำไปฝังในท้องไร่ท้องนาบ้าง ชายเนินดินที่เป็นชุมชนบ้าง ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนว่า มีการฝังบริเวณใด ไหเหล่านี้ มักจะถูกขุดพบโดยบังเอิญ โดยชาวบ้านที่ทำการขุดดินเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ขอบปากส่วนมากแตกหักเสียหาย


นอกจากจะพบไหลักษณะนี้บริเวณชุมชนเก่าริมน้ำสงคราม และชุมชนในแอ่งสกลนครแล้ว ยังมีรายงานว่าพบแพร่หลายในแถบจังหวัดร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ยโสธรและอุบลราชธานี ซึ่งเป็นส่วนตะวันออกของอีสาน ตั้งแต่แม่น้ำสงคราม, น้ำชีและน้ำมูลตอนล่าง


จึงอาจกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์จากแม่น้ำสงคราม ส่วนใหญ่ ทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย เป็นภาชนะที่มีค่า สำหรับใส่กระดูกแล้วฝัง ในชุมชนที่พบภาชนะใส่กระดูกลักษณะนี้ จึงเป็นชุมชนที่ร่วมสมัยกับระยะที่อาณาจักรลาวเข้มแข็ง ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ ซึ่งสามารถดูการกระจายตัวของชุมชนในระยะนี้ได้จาก การกระจายตัวของวัฒนธรรมไหใส่กระดูก ที่เป็นผลิตภัณฑ่าจากเตาลุ่มน้ำสงคราม และที่ทำให้แน่ใจว่า ภาชนะเนื้อแกร่งจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม เป็นภาชนะที่มีค่า เพราะ การขุดค้นที่วัดศรีสงคราม บ้านท่าบ่อ ทำให้ทราบว่า ภาชนะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ภาชนะดินเผาเนื้อดิน (Earthen Ware) คุณภาพต่ำ ซึ่งผลิตขึ้นได้เองในชุมชน


เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเตาที่พบในเวียงจันทน์ ซึ่งมีลักษณะและรูปแบบของเตาที่แตกต่างกัน และภาชนะที่ผลิตส่วนใหญ่ คือ ภาชนะเนื้อแกร่งไม่เคลือบ และภาชนะเคลือบสีเขียวขนาดเล็ก จำพวก ถ้วย-ชาม , กล้องยาสูบดินเผา, ตุ้มถ่วงแห ฯลฯ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นกลุ่มเตาที่มีหน้าที่การผลิต ที่แตกต่างจากกลุ่มเตาลุ่มน้ำสงครามอย่างชัดเจน


ความแตกต่างของลักษณะการผลิตเหล่านี้ ทำให้เห็นว่ามีการเลือกสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมในการผลิตแต่ละแห่ง ในขณะที่กลุ่มเตาเวียงจันทน์ ผลิตภาชนะที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก กลุ่มเตาในลุ่มน้ำสงคราม ผลิตภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมเนื่องในการตายเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มเตาทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กับความรุ่งเรืองของอาณาจักรลาว ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ อย่างแน่นอน

 

Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page