เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2554

ในฐานะนักมานุษยวิทยาสังคม (social anthropologist) ข้าพเจ้าคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศครั้งนี้ เกิดภาวะหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมเป็นจำนวนมากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เกิดภาวะสติแตกที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า การขาดสติทางวัฒนธรรม (culture shock) ขึ้น โดยเฉพาะคนกลุ่มใหม่ ยุคใหม่ของสังคมอุตสาหกรรมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องและเข้ามาทำงานในสถานที่ในแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งบริการธุรกิจในเขตเมืองและชานเมือง เช่นคนที่มาอยู่ตามคอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร และแหล่งนิคมอุตสาหกรรม คนเหล่านี้ถูกครอบงำทางความคิด ค่านิยมและโลกทัศน์แบบตะวันตกที่เป็นวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของความรู้ทางเทคนิควิทยาและเทคโนโลยีที่เน้นปัจจุบันและอนาคต แต่ที่สำคัญก็คือถูกอบรมให้อหังการแบบฝรั่งตะวันตกที่เชื่อว่าจักรวาลนี้จะควบคุมได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันแตกต่างไปจากการมองโลกของคนตะวันออกแต่เดิมที่เห็นว่ามนุษย์ต้องอยู่อย่างสยบและกลมกลืนกับจักรวาล เพราะไม่มีพลังอำนาจใด ๆ ที่จะต่อต้านและควบคุมจักรวาลได้ กลุ่มเก่าคือคนที่สยบต่อจักรวาล คือบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมที่เป็นสังคมเกษตรกรรม คนเหล่านี้ไม่กลัวน้ำและไม่หนีน้ำ มีการปรับชีวิตและที่อยู่อาศัยให้ไปกับน้ำได้ และเมื่อเกิดอุทกภัยขึ้นในครั้งนี้ก็ไม่ตระหนกตกใจจนขาดสติ ดังเช่นชาวบ้านชาวเมืองในเขตลุ่มน้ำนครชัยศรีหลายท้องถิ่นที่บอกว่า น้ำมาแล้วก็ไปตามธรรมชาติ เพราะคนเหล่านี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าทางสังคมไม่แปลกแยกเป็นปัจเจก ช่วยเหลือกันในการจัดการที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดน้ำท่วมดูแลความปลอดภัยระหว่างกัน รวมทั้งการจัดหาที่หลบภัยพักพิงชั่วคราวระหว่างกัน หลายคนที่ข้าพเจ้าพูดคุยด้วยเห็นว่าปีต่อๆ ไปน้ำอาจจะมามากกว่านี้และรุนแรงกว่านี้ แต่จะไม่อพยพเคลื่อนย้ายไปไหน แต่จะปรับโครงสร้างท้องถิ่นที่อยู่อาศัยให้ไม่กีดขวางทางน้ำ มีการสร้างบ้านเรือนให้สูงขึ้น ต่อเรือและสร้างแพขึ้นเพื่อการคมนาคมและเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับนิเวศลุ่มน้ำลำคลองขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องพึ่งพิงอาหารอุตสาหกรรมประเภทแดกด่วนหรือสะดวกแดกที่แปะเปื้อนด้วยมลพิษและสารก่อมะเร็ง ชาวบ้านรุ่นใหม่หลายคนคิดไหมว่า การใช้พื้นที่ริมลำน้ำหรือหนองน้ำตามหน้าวัดให้เป็นเขตอภัยทานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาธรรมชาติแทนกระชังของพวกนายทุนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารเคมี และสร้างมลภาวะให้กับพื้นน้ำธรรมชาติ เมื่อปลาโตแพร่พันธุ์และออกไปจากเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านก็จะได้จับไปกินไปขายได้ ข้าพเจ้าแลเห็นสติปัญญาบังเกิดขึ้นกับผู้ประสบอุทกภัยที่มีรากเหง้ารู้จักอดีตและรู้จักตนเองเหล่านี้
ทำนองตรงข้ามบรรดากลุ่มคนที่ถูกครอบงำด้วยความเป็นอยู่สมัยใหม่ในสังคมอุตสาหกรรมที่คิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีกลายเป็นคนสติแตกจากอุทกภัยครั้งนี้ เพราะเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีเทคโนโลยีอันใดที่จะต่อต้านพลังน้ำที่ท่วมบ่ามาอย่างมหาศาลได้ คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ลืมอดีตไม่สนใจอดีต โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแหล่งอุตสาหกรรมและในเมืองสมัยใหม่เหล่านี้ มักเคลื่อนย้ายมาจากท้องถิ่นต่าง ๆ แบบร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใส่ใจและสนใจที่จะรู้ภูมิหลังของถิ่นฐานใหม่นี้อย่างไร อีกทั้งอยู่กันอย่างเป็นปัจเจกไม่เป็นกลุ่มเหล่าทางสังคม (social groups) เป็นชุมชนท้องถิ่นแต่อย่างใด ภาวะดังกล่าวแลเห็นได้จากเมื่อภัยพิบัติมาถึงก็รอแต่พึ่งรัฐและส่วนกลาง หรือไม่ก็หลบหนีเอาตัวรอด เกิดขโมยขโจรลักทรัพย์สิน สร้างความเสียหาย เกิดความอดอยากและถูกทอดทิ้ง ที่น่าสังเวชก็คือบรรดาคนมีเงินมีทองที่อยู่ตามบ้านจัดสรรราคานับหลายล้านและรถราพาหนะล้วนราคาแพงจมน้ำเสียหายหมด หลายแห่งมีการรวมกลุ่มกันป้องกันน้ำไม่ให้เข้าแหล่งที่อยู่อาศัยของตน เลยทำให้น้ำไปท่วมบ้านคนอื่นก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน เกิดมีกลุ่มปรปักษ์ (factions) ขึ้นมากมาย เลยไม่เกิดสำนึกร่วมที่จะรวมพลังกันป้องกันน้ำเพื่อส่วนรวมของท้องถิ่น ปรกกฎการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ต่างคนต่างอยู่กันอย่างไม่มีความเป็นชุมชน (------) เพราะไม่มีโครงสร้างสังคมและสำนึกร่วมแต่อย่างใด การที่จะคิดทำอะไรเพื่อช่วยตัวเองและพึ่งพิงกันก็ไม่มี รอแต่ความช่วยเหลือจากทางรัฐและภายนอกแต่อย่างเดียว คนเหล่านี้คือผู้ขาดสติทางวัฒนธรรมที่คิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดความเสียหายจนอยู่ไมได้แล้ว และอยากที่จะทิ้งถิ่นย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังเช่นในช่วงเวลาวิกฤติพากันหนีน้ำไปเช่าคอนโด หรือโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จัก เช่นที่ปากช่อง หัวหิน ชะอำ พัทยากันอย่างมากมาย บางคนก็พากันไปหาที่ซื้อที่กันตามจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เป็นต้น
ดูเหมือนว่าความตระหนกแตกตื่นดังกล่าวนี้เข้าทางบรรดานักธุรกิจการเมืองที่มีสิทธิเสียงและอำนาจอยู่ในรัฐบาลที่ไปเที่ยวกว้านซื้อที่ในต่างจังหวัดไว้เก็งกำไร แล้วสร้างกระแสความคิดในการย้ายเมืองหลวงขึ้น เพราะเห็นว่ากรุงเทพฯ อยู่ไม่ได้แล้ว โดยเสนอให้ย้ายไปอยู่ที่นครนายกแทน เรื่องความคิดที่จะย้ายกรุงเทพฯ ไปอยู่ที่อื่นนั้น เคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งราว ๑๕-๑๖ ปีมานี้ ที่มีพวกนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจเห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นมหานครที่แออัด จราจรติดขัด เกิดมลภาวะทั้งอากาศและขยะจนเกินแก้ ควรปล่อยให้น่าไปเองโดยการย้ายไปตั้งหลักแหล่งเมืองใหม่ในที่อื่น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นเมืองที่แออัดและยิ่งเน่าเสียกว่าแต่เดิม และกลายเป็นแหล่งสะสมของคนร้อยพ่อพันแม่ในสังคมเมืองแบบอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น คอนโดมีเนียม บ้านจัดสรร ศูนย์การค้าแหล่งเริงรมย์ขึ้นมากมาย คนเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมหลายเท่า เกิดโครงสร้างทางการคมนาคมเพิ่มขึ้น เช่น ทางยกระดับ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ถนนหนทางที่เบื้องหลังคือโครงการที่เกิดจากคอรัปชั่นของนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาลทั้งสิ้น ในทัศนะของข้าพเจ้า กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนจากกรุงเทพมหานครมาเป็นกรุงเทพมหานรกแทน เป็นเมืองที่ห่อหุ้มไปด้วยป่าคอนกรีต อันเป็นที่อยู่ของพวกอนารยชนเมืองที่ไม่มีศีลธรรมและจริยธรรม (Urban barbarian) ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ในสังคมอุตสาหกรรมนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากกรุงเทพฯ ในอดีตที่คนตะวันตกเรียกว่าเมืองลอยน้ำ และเวนิสตะวันออก เพราะไม่ได้เป็นเมืองที่อยู่กับน้ำอีกต่อไป เกิดถนนหนทางขึ้นมากมาย ถมคูคลอง ลำน้ำ ลำราง ที่เคยมีความหมายในการคมนาคม การระบายน้ำและชักน้ำเพื่อเอาพื้นที่สร้างถนน สร้างแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งเศรษฐกิจ แหล่งอุตสาหกรรมกันไปแทนทุกแห่งอย่างไม่มีระเบียบ และไม่มีแบบแผนและโซนนิ่ง ความต่างกันระหว่างกรุงเทพฯ ครั้งยังเป็นเวนิสตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางของสังคมเกษตรกรรมนั้น แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกรับสิ่งเหนือธรรมชาติในการจัดพื้นที่อยู่อาศัยและทำกิน ความเป็นเมืองคลุมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาคือทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ทางสังคม เศรษฐกิจที่ไม่มีทางแยกกันเป็นสองเมือง แต่เวลาเรียนประวัติศาสตร์คนรับรู้แต่เพียงว่ากรุงเทพฯ ธนบุรีเป็นคนละเมืองกัน เพราะไปพิจารณาจากพื้นที่ทางการบริหารและปกครอง ดังเช่นสมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงเพียงย้ายศูนย์อำนาจในการปกครองมาอยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่านั้น คือการย้ายพระราชวังจากเมืองธนบุรีมาสร้างพระบรมมหาราชวังเท่านั้น พร้อมทั้งขุดคูพระนครสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาเพื่อเป้องกันข้าศึกศัตรู และการจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและเพื่อการคมนาคมเป็นสำคัญ อีกทั้งเป็นฐานในการขยายเขตบ้านเมืองที่เป็นพื้นที่ทางสังคม – เศรษฐกิจมาทางฝั่งตะวันตกที่เป็นทีลุ่มต่ำกว่าทางฝั่งธน การสร้างกรุงเทพฯ ขึ้นมาในระยะแรกของรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ การคมนาคมก็ยังคงใช้เส้นทางน้ำที่เป็นแม่น้ำลำคลองอยู่ ยกตัวอย่างเช่นการขยายคูเมืองจากคลองโอ่งอ่างออกไปเป็นคลองผดุงกรุงเกษม การขุดคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญเชื่อมการคมนาคมขนส่งระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมลำน้ำทั้งสองฝั่งน้ำแทบทั้งสิ้น ดังมีรายงานของฝรั่งว่า สมัยรัชกาลที่ ๔ เมืองไทยมีประชากรรวมสี่ล้านหกแสนคน ล้วนอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะคนเมืองทางฝั่งธนบุรีส่วนมากเป็นชาวสวนผลไม้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลำคลองลำน้ำแทบทั้งสิ้น บ้านเมืองหนาแน่นอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นที่ลุ่มต่ำเป็นป่าชายเลน และเป็นท้องทุ่งที่น้ำท่วมถึง มีการขุดคลองเพื่อขยายที่อยู่อาศัยและขุดคลองคมนาคมไปเชื่อมกับแม่น้ำบางปะกงก็เพียงคลองสำโรงที่มีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเท่านั้น เพราะคลองส่วนใหญ่มักเป็นคลองเพื่อขยายแหล่งที่อยู่อาศัย ขุดแยกจากแม่น้ำใหญ่ไปลงทุ่งทางตะวันออก ซึ่งคลองเหล่านี้ยังมีหน้าที่ระบายน้ำที่ไหลลงจากทางเหนือที่มาตามลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อไปออกทะเลตั้งแต่เขตอำเภอบางพลีจนถึงอำเภอบางปะกง อาณาบริเวณดังกล่าวมีรอยลำรางทั้งเก่าและใหม่ที่รับน้ำมาออกทะเลมากมาย โดยเฉพาะคลองบางเหี้ย คลองเทิน เป็นต้น
สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมานั้น อยากเรียกว่าเป็นกรุงเทพฯใหม่ หรือสยามใหม่ เพราะมีการสร้างถนนหนทางและตั้งหลักแหล่งชุมชนเป็นแบบทางตะวันตกเป็นส่วนมาก ซึ่งพิจารณาจากรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เป็นพระราชวัง วังเจ้านาย คฤหาสน์ของขุนนางคหบดี สถานที่ราชการ ร้านค้าและบ้านเรือที่อยู่อาศัยเป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกในยุคอาณานิคมแทบทั้งสิ้น ความเป็นคนกรุงหรือคนกรุงเทพฯที่มีตัวตนที่เหลื่อมล้ำกับคนจากเมืองอื่นเกิดขึ้นแต่ยุคนี้ สังคมไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ แม้ว่ายังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรกรรมก็ตาม แต่หาได้เป็นเกษตรกรรมแบบกสิกร (Farmer) บนฐานเดิมของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา (peasant society) ที่มีมาแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น ลักษณะของการเป็นสังคมเกษตรกรรมกสิกร (farmer) ของสมัยนี้ก็คือ คนมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เกิดคนชั้นกลางและการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจ (cash crops) ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของภูมิวัฒนธรรมให้เกิดเป็นแบบใหม่ขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนป่าให้เป็นนา ปรับที่สูงต่ำให้เป็นท้องนา ทุ่งนา เพื่อปลูกข้าวและมีการขุดคลองชลประทานขึ้น ซึ่งหมายถึงการขุดคลองเพื่อการเกษตรนั่นเอง เพราะการขุดคลองแต่ก่อน ๆ นั้นเป็นเพียงการคมนาคมล้วนๆ การปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกแพร่หลายไปตามที่ราบลุ่มทั่วประเทศ และภูมิวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปก็แลเห็นจากการกระจายของชุมชนหมู่บ้านแบบชาวนา (บ้านและวัดเป็นอันหนึ่งเดียวกัน) ออกจากริมน้ำลำคลองไปกลางทุ่ง ชายทุ่งชายดงมากมาย ทุ่งนาเพื่อปลูกข้าวมีการทดน้ำระบายน้ำมีทั้งนาหว่านและนาดำ และสัญลักษณ์ที่แปลกใหม่ในทางภูมิวัฒนธรรมก็คือโรงสีข้าวที่มีปล่องโรงสีสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐแลเห็นแต่ไกล โรงสีข้าวเป็นนิวาสสถานของคนชั้นกลาง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีนหรือเชื้อสายคนจีนที่รับซื้อข้าว สีข้าวและจำนำข้าว คนจีนกลายเป็นนายทุนและเจ้าของที่ดินในสมัยต่อ ๆ มาหลาย ๆ แห่งกลายเป็นย่านตลาดและศูนย์กลางของตำบลและอำเภอ
สมัยรัชกาลที่ ๕ แหล่งปลูกข้าวขยายตัวทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อยุธยาลงมาถึงกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตั้งแต่เชียงรากน้อยในเขตจังหวัดปทุมธานีลงมา มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยาทางตะวันตก และระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับบางปะกงเพิ่มขึ้น คลองเหล่านี้เป็นคลองแนวนอนที่ใช้ในการคมนาคมด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีคลองในแนวตั้งเหนือลงใต้ตัดผ่านมากมาย เพื่อการกระจายน้ำกระจายแหล่งที่อยู่อาศัยทำกินและระบายน้ำลงสู่ทะเล ความต่างกันระหว่างการขุดคลองชลประทานและการคมนาคมระหว่างซีกตะวันตกกับซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก็คือ ทางซีกตะวันออกมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่า เพราะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำมีแหล่งชุมชนน้อยไม่หนาแน่น คลองเดิมก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ที่สำคัญก็คือคลองรังสิต และคลองแสนแสบขุดแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อเชื่อมต่อกับลำน้ำนครนายก คลองรังสิตมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ในการรบกับเขมรและญวน ในขณะที่คลองแสนแสบที่เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นั้น นอกจากเพื่อการคมนาคมแล้ว ยังเป็นการกระจายการตั้งหลักแหล่งของผู้คนที่มีทั้งกวาดต้อนเข้ามา หรือเคลื่อนย้ายมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และต่างศาสนา เช่นคนมุสลิมจากทางใต้และกลุ่มจามมุสลิมที่เรียกว่าแขกครัว เป็นต้น ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการเพิ่มเติมคลองเหล่านี้ทั้งเพื่อการเกษตรและการคมนาคม เช่นการขุดคลองระพีพัฒน์ทั้งตะวันตกและใต้ คลองนครเที่ยงเขตคลองประเวศบุรีรมย์และคลองในแนวตั้งอีกมากมาย แต่พื้นที่ซึ่งโดดเด่นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ ทุ่งรังสิตเป็นพื้นที่ชลประทานที่ทางรัฐให้กรรมสิทธิ์ที่ดินตอบแทนแก่บรรดาขุนนางเจ้านายและคหบดีที่รับอาสาขุดคลองเพื่อการชลประทาน สิ่งที่มาพร้อมกับโครงการชลประทานสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็คือ การสร้างประตูน้ำปิดเปิดเพื่อการระบายน้ำเพื่อการทดน้ำในการปลูกข้าว การขุดคลองชลประทานและการสร้างประตูระบายน้ำทดน้ำแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ดังกล่าวนี้ต้องถือได้ว่าเป็นโครงการที่เรียกว่า ชลประทานหลวง อย่างแท้จริง และแต่เดิมการชลประทานเพื่อการเกษตรในแทบทุกหนแห่งในเมืองไทย ล้วนเป็นชลประทานราษฎร์ทั้งสิ้น ดังเช่นการทำเหมืองฝายในภาคเหนือเป็นต้น
ถึงแม้ว่าสังคมและบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเมืองการปกครองและเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตาม แต่ในส่วนสังคมความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าเป็นชุมชนท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่เห็นได้จากโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่เห็นได้จากนิเวศวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเห็นได้จากการดำรงอยู่ของวัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมาประกอบพิธีกรรมร่วมกันจนเกิดสำนึกร่วมในหลาย ๆ อย่างที่เป็นอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม คนในชนบทมีชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันในชุมชนบ้านและเมืองแต่ละถิ่น ในขณะที่ในสังคมเมืองผู้คนหลายชาติพันธุ์หลายศาสนาและอาชีพอยู่ร่วมกันในพื้นที่วัฒนธรรมที่เรียกว่า ย่าน คนในย่านแต่ละย่านรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนนอกและคนใน มีกลไกต่าง ๆ ในการสร้างความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่จะนำไปสู่ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมของแต่ละบ้านร่วมกัน ดูแลกันพึ่งพิงกันโดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างใด แต่สังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอย่างสุดโต่งในทุกวันนี้ การอยู่รวมกันของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่ง ไม่มีชุมชนเพราะไม่มีโครงสร้างสังคมที่ทำให้เกิดคนในขึ้นมาได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ดูแลรับผิดชอบตัวเอง แทบจะไม่ได้มีการพึ่งพิงกันแม้แต่น้อย ความเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างแต่ก่อนหมดไป มีแต่หมู่บ้านที่เกิดจากการบริหารของรัฐหลากหลายภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่บ้าน กำนันและ อ.บ.ต. ล้วนในสังคมเมืองนั้นความเป็นย่านกำลังหมดไปมีแต่เขตการปกครองของ อ.บ.ท.เช่นในกรุงเทพมหานครก็เป็นเขตของก,ท,ม.ไป เป็นต้น การปราศจากความเป็นชุมชนและคนในทั้งในพื้นที่ชนบทและพื้นที่เมืองตามที่กล่าวมานี้ ได้ทำให้ผู้คนในแทบทุกท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่แบบนั่งรอมือ รอตีนให้คนนอกโดยเฉพาะทางรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาจัดการให้แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เห็นเป็นประจักษ์จากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ แม้ว่าจะประสบความลำบากยากแค้นอย่างที่แลเห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่คิดทำอะไรในการรวมกลุ่มกัน พึ่งพิงกันและช่วยตัวเองก่อนที่จะให้คนนอกเช่นทางรัฐมาช่วย ซึ่งยิ่งเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ ดังเห็นได้จากการดำเนินงานป้องกันน้ำท่วมครั้งนี้ของทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความช่วยเหลือต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มุ่งแต่จะใช้เพียงเทคโนโลยีและความรู้ทางเทคโนโลยีแต่เดียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะน้ำ แทบไม่นำเอาภูมิปัญญาและความรู้ของท้องถิ่นในอดีตขึ้นมาทบทวนและปรับใช้เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนในแนวคิดและวิธีคิดที่จะควบคุมจักรวาลด้วยเทคโนโลยีแบบคนตะวันตก
ข้าพเจ้าคิดว่าการดำเนินการของรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนที่มีมาแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา ในการจัดการน้ำและการพัฒนากายภาพของบ้านเมืองและผังเมือง คือจุดเริ่มต้นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดสังคมอุตสาหกรรมขึ้นแทนที่สังคมเกษตรกรรมที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ หรือแต่สมัยอยุธยา นับเป็นเวลากึ่งศตวรรษ คือกว่า ๕๐ ปีเข้านี้แล้ว พอที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ รุ่นพ่อแม่และลูกที่มีความรู้สำนึกคิดอย่างทางตะวันตกมากมาย ในขณะนี้หลายคนดัดจริตเรียกว่า สยามใหม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสยามมั่วมากกว่า เหมือนครั้งหนึ่งรัฐบาลก่อนเคยใช้คำว่าคิดใหม่ ทำใหม่ แต่แท้จริงเป็นการคิดใหม่แต่ทำมั่วเช่นกัน เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯครั้งนี้ทั้งรัฐสยามมั่วกับกลุ่มคนสยามมั่วต่างคิดเหมือนกันในทางเทคโนโลยีเพื่อต่อต้านและควบคุมน้ำหรือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ทั้งรัฐบาลและกรุงเทพมหานครก็ทำเหมือนกัน เน้นการสู้น้ำด้วยการสร้างพนังกั้นน้ำให้สูง เช่น ถึงระดับ ๒.๕๐ เมตรเพื่อพื้นที่ ก.ท.ม. ในขณะที่คนทั่วไปเน้นการใช้กระสอบทรายกั้นน้ำไม่ให้ท่วมบ้านเรือน ร้านค้าและแหล่งกิจกรรมของคน พอระดับน้ำสูงก็ใช้เครื่องสูบน้ำ ปั๊มน้ำสูบไล่น้ำออกไป จากถิ่นหนึ่งแต่ไปท่วมถิ่นหนึ่ง หรือจากบ้านหนึ่งไปท่วมบ้านอื่น เมื่อน้ำมาพบถนนที่มีการสร้างทั้งระดับ high way และ local roads มาแทนที่ลำน้ำลำคลองแต่เดิมก็ปะทะวนเวียนจนเกิดพลังและเมื่อทำลายไม่ได้ ออกไม่ได้ก็เลยกลายเป็นน้ำขังเน่าเกิดโรคระบาดขึ้น รัฐมั่วและสังคมสยามมั่งอันเป็นสังคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ยังหาสำนึกในอดีตไม่ หากยังคงขาดสติเดินหน้าแก้ไขตามครรลองที่ทำมา คือตั้งเงินงบประมาณเพื่อแจกประชาชนแบบประชานิยมดังเดิม รวมทั้งสนับสนุนและอุดหนุนในเรื่องการลงทุนทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น นั่นก็คือยังคงคิดที่จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมต่อไป ก็ดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและคนนิยมอุตสาหกรรมต่างโง่อ้างว่าจะแก้ไขเหตุน้ำท่วมตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสิ่งที่อยู่ในพระราชดำริและพระราชดำรัสนั้นมีพื้นฐานมาจากสังคมเกษตรกรรมที่คนต้องอยู่กับน้ำ กับธรรมชาติทั้งสิ้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments