เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558
สมัยยังรับราชการอยู่ ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปสัมพันธ์กับองค์การยูเนสโกในเรื่องการจัดการทางวัฒนธรรม ตั้งแต่สมัยการจัดตั้งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกว่ายี่สิบปีมาแล้ว องค์การยูเนสโกได้ส่งนักวิชาการทางด้านพัฒนาศิลปวัฒนธรรมจากชาติต่าง ๆ ให้เข้ามาดูงานและร่วมงานที่ดูเหมือนจะหักเหไปจากการสร้างแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมให้เป็นมรดกโลกเพื่อการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในโลก มาเป็นเพื่อการจัดการแหล่งมรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว ดังแลเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

เมืองหลวงพระบางที่กลายเป็นเมืองมรดกโลก
ข้าพเจ้าได้พบปะกับนักวิชาการชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนองค์การยูเนสโกเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย คน ๆ นี้พยายามจะเสนอให้มีการจัดระเบียบแบบแผนอุทยานเพื่อการท่องเที่ยวให้คล้ายกันกับเมืองโบราณในเม็กซิโก ทำให้นักวิชาการกรมศิลปากรคล้อยตามด้วยพักหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกล้มไป
แต่สิ่งที่กินใจข้าพเจ้ามาจนทุกวันนี้คือ การมองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมว่าเป็น “ทุนวัฒนธรรม” ซึ่งมุ่งให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว โดยใช้วัฒนธรรมเป็นทุน
คำศัพท์ใหม่ที่มองวัฒนธรรมเป็นเรื่องเศรษฐกิจนี้ ติดตามมาด้วยทรัพยากรมนุษย์ที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นแรงงานทางเศรษฐกิจ เฉกเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย และเครื่องจักรยนต์
ปัจจุบันทั้งคำว่า “ทุนทางวัฒนธรรม” และ “ทรัพยากรมนุษย์” นี้ใช้กันอย่างเกลื่อนกลาด พร้อมกันกับเกิดสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนกันเป็นขั้นปริญญาตามมหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาทางวิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่า ๆ ที่เน้นแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมในเรื่องโครงสร้างและหน้าที่ [Structural / Functional] ที่มองโลกและมองมนุษย์ว่า เป็นสัตว์สังคมที่ต้องสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน
วัฒนธรรมไม่ใช่เป็นทุนทางเศรษฐกิจและมนุษย์ก็หาใช่ทรัพยากรไม่ แต่เป็นจุลจักรวาล [Microscopic of universe] การศึกษาทางสังคมและวัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์เพื่อที่มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและเผ่าพันธุ์ในพื้นพิภพนี้ได้เข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข
นักมานุษยวิทยาต้องศึกษาให้รู้จักคำว่าสังคมวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลง การเหมือนกัน และการแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม จึงจะเข้าใจในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะวัฒนธรรมนั้นไม่อาจศึกษาในลักษณะลอยโดดโดยไม่เกี่ยวข้องกับสังคมได้ ต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมอันเป็นบริบท [Social context] จึงจะแลเห็นความแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกันของความเป็นมนุษย์ได้
วัฒนธรรมที่คนที่อยู่ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกันนั้นมีหน้าที่และความหมายสำคัญ ๆ ๔ อย่างคือ
๑. เพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน [Survival]
๒. เพื่อการอบรม [Orientation]
๓. เพื่อการสื่อสารและการสังสรรค์ [Communication]
๔. เพื่อทางบูรณาการ [Integration]
เพราะฉะนั้น ในการรับรู้ของนักมานุษยวิทยาและสังคมวิทยารุ่นก่อน ๆ วัฒนธรรมไม่เคยถูกมองว่าเป็นทุน คงมีแต่นักวิชาการมานุษยวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นพวกหลังสมัยใหม่เท่านั้นที่ไปผสมพันธุ์กับเศรษฐศาสตร์และอีกหลายศาสตร์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เห็นว่าวัฒนธรรมเป็นทุน
เพราะเมื่อเข้าใจและรับรู้ว่าเป็นทุน ก็สามารถนำไปเป็นต้นทุนในการผลิตเพื่อขายได้เลย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทุนนิยม เช่น ประเทศไทยที่หารายได้เข้าประเทศ ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมเพื่อการค้าขาย ซึ่งในที่นี้ขอพูดย่อ ๆ ว่า วัฒนธรรมเพื่อขาย [Culture for sale] หรือการขายวัฒนธรรมนั่นเอง ดูสอดคล้องกันกับการพัฒนาแหล่งมรดกโลกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติขององค์การยูเนสโก ด้วยการสนับสนุนขององค์การยูเนสโกที่กำหนดให้คณะกรรมการมรดกโลกดำเนินการช่วยเหลือในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกโลกในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อการท่องเที่ยวมากกว่าการเรียนรู้ ทำให้เกิดแหล่งมรดกโลกที่รับรองโดยองค์การยูเนสโกขึ้นแทบทุกประเทศที่ขานรับการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ เพิ่มรายได้ต่อหัว [GDP)] ให้แก่ประชาชน
ผลที่ตามมาก็คือ การขายวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่มีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งมรดกโลกเพื่อขายเกิดขึ้นมาเป็นแห่งแรก แล้วต่อมาก็เป็นหลวงพระบางที่ประเทศลาว เมืองฮอยอันในประเทศเวียดนาม ทำให้เกิดความกำหนัดเกิดขึ้นกับรัฐบาลและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่ต่างก็เสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของจังหวัดให้เป็นมรดกโลกกับเขาบ้าง
แหล่งมรดกโลกเพื่อขายที่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายขององค์การยูเนสโกที่ต้องนำมาเสนอให้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในที่นี้ก็คือ “หลวงพระบาง” และ “ปราสาทพระวิหาร” หลวงพระบางคือผลของความชั่วร้ายที่สำเร็จแล้วและกระทำแล้วในขณะที่ปราสาทพระวิหารยังไม่สำเร็จดี

ภูโลง สัญลักษณ์ที่บอกเล่าตำนานบ้านเมืองในภูมิวัฒนธรรมของหลวงพระบางและบ้านเมืองในเขตแม่น้ำโขงภายใน
ความชั่วที่ทำให้สำเร็จแล้วด้วยดี เช่น หลวงพระบาง สุโขทัย และแหล่งอื่น ๆ เช่น อยุธยา และอีกหลายแห่งที่ตามมาก็คือ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของแหล่งวัฒนธรรมที่มาแต่เดิมถูกปรับเปลี่ยนด้วยแผนผังบริเวณใหม่ให้มีถนนหนทางและโครงสร้างทางกายภาพ เช่น ร้านค้า ภัตตาคาร โรงแรม รีสอร์ท แหล่งสันทนาการเข้ามาจัดตั้ง เกิดย่านตลาดนานาชาติเข้ามาแทนที่ อาคารบ้านเรือน
แหล่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองแต่ก่อน ช่นหลวงพระบางที่มีแต่เปลือก คือมีการอนุรักษ์อาคารต่าง ๆ ในรูปแบบของเดิม แต่ผู้คนในสังคมที่เคยอยู่อาศัยเป็นชาวบ้านชาวเมืองแทบไม่เหลืออยู่ ต่างให้เช่าที่หรือขายที่ขายบ้านเรือนให้กับพ่อค้านานาชาติเข้าไปตั้งหลักแหล่งค้าขาย ในขณะที่ครอบครัวของคนหลวงพระบางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ทุกวันนี้ทั้งหลวงพระบางและฮอยอันคือตลาดค้าขายนานาชาติ
ส่วนปราสาทพระวิหารนั้นยังอยู่ในสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ที่สร้างความขัดแย้งกันในเรื่องดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชา จนทำให้เกิดการสู้รบล้มตายกันขึ้น ข้าพเจ้าเคยตั้งคำถามว่าถ้าหากความขัดแย้งในเรื่องดินแดนยุติลง และองค์กรมรดกโลกเข้ามากำหนดและจัดการมรดกโลก ปราสาทพระวิหารที่มีพื้นปริมณฑลทั้งในเขตแดนไทยและกัมพูชาแล้ว คนไทยและคนกัมพูชาจะได้ประโยชน์อันใดจากแหล่งมรดกโลกแห่งนี้
เพราะคำตอบที่เห็นอยู่รำไร ๆ ก็คือ แหล่งมรดกโลกจะกลายเป็นพื้นที่สัมปทานที่นายทุนคนต่างชาติจะแย่งแข่งขันกันเข้ามาจัดการท่องเที่ยว การค้าขายและบริการ เปลี่ยนแปลงโบราณสถานให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เหมือนจริง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสวงหาความเพลิดเพลินมากกว่าการเรียนรู้และรายได้ก็จะไปตกแก่นักการเมืองนายทุนผู้มีอำนาจทั้งข้างชาติและในชาติ ดังเช่นแหล่งมรดกโลกนครวัดนครธมในทุกวันนี้
นอกจากแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นมรดกโลกเพื่อขายดังที่กล่าวมาแล้ว องค์กรมรดกโลกและองค์การยูเนสโกยังทำมากไปกว่านี้ด้วยการเสนอให้มีการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ [Intangible cultural heritage] เพื่อขายแนวคิดแนวทางและวิธีการให้กับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานทางวัฒนธรรมของหลาย ๆ ประเทศไปทั่ว ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วยโดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และมหาวิทยาลัยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์และการจดทะเบียนเพื่อป้องกันการลอกเลียนและการขโมยไปอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้มีการให้ทุนแก่นักวิชาการ นักวิจัย ทำการศึกษาไปทั่ว
แต่เท่าที่ติดตามผลมาก็ยังไม่รู้ว่ามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นคืออะไรกันแน่ คนที่รับกรรมมากที่สุดคือ คนธรรมดาสามัญชนทั่วไปที่เมื่อแลเห็นผลการวิจัยเผยแพร่แล้วคืออะไร และมีความหมายความสำคัญแก่เขาเหล่านั้นอย่างไรบ้าง นับเป็นผลงานที่สื่อไม่ได้แก่คนธรรมดา นอกจากเก็บไว้ตามหลังสมุดและศูนย์วิจัยที่รอเวลาให้บรรดานักวิชาการ นักออกแบบ การทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อการท่องเที่ยว
ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ความหมายของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้คือ ประเพณีวัฒนธรรม เช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีพิธีกรรมในเรื่องอื่น ๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการในการกระทำและเห็นอะไรเป็นรูปธรรม เช่นสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งมีลักษณะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามบริบททางสังคมของท้องถิ่น
นั่นก็หมายความว่ามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้หาได้อยู่ลอย ๆ อย่างจับต้องไม่ได้ ตามคำนิยามขององค์การยูเนสโก บาปกรรมขององค์การยูเนสโกอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่พูดถึงบริบททางสังคม ซึ่งหมายความถึงชุมชนหรือสังคมที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้น
ในแนวคิดทางมานุษยวิทยานั้น อาจแลเห็นความหมายความสำคัญของวัฒนธรรมได้นั้น สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต้องมีบริบททางสังคมจึงจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ในสังคมสร้างขึ้นเพื่อดำรงชีวิตรอดร่วมกัน ผิดไปจากนี้แล้ววัฒนธรรมทั้งที่เป็นศิลปวัตถุและประเพณีวัฒนธรรมก็เป็นแต่เพียงสิ่งของหรือสินค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนกลายเป็น “วัฒนธรรมเพื่อขาย” [Culture for sale] เท่านั้นเอง
แต่ในกระแสของการท่องเที่ยวที่มีการขายประเพณีวัฒนธรรมตามท้องถิ่นต่างนั้น ในที่นี้ข้าพเจ้าจำต้องขยายความหมายถึงวัฒนธรรมและบริบททางสังคมเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นคือ เพื่อทำให้เป็นรูปธรรมขึ้น คำว่า “สังคม” ในที่นี้ก็คือ “ชุมชน” [Community] นั่นเอง
สังคมหมายถึงการอยู่รวมกันของกลุ่มชนอย่างมีโครงสร้าง แต่ชุมชนนั้นหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่เป็นกลุ่มและมีโครงสร้างสัมพันธ์กับพื้นที่ [Space] และเวลา [Time] อย่างที่เรียกสั้น ๆ ตามสำนวนไทยว่า “กาละเทศะ” นั่นเอง เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ก็พอจะเห็นได้ว่า
การเอาวัฒนธรรมลอย ๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัตถุหรือประเพณีวัฒนธรรมมาปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ [Creative economy] เพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่ ททท. หรือทางจังหวัดและอำเภอตามการกำหนดของผู้มีอำนาจของบ้านเมืองนั้น คือการกระทำที่ขายวัฒนธรรม [Commodity action of cultural heritage]

เมืองมรดกโลกที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไร้การสืบทอดความหมายของบ้านเมืองแบบโบราณ
การขายวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชน ก็คือการขายความเป็นมนุษย์กันเอง
ในหลาย ๆ บทความของข้าพเจ้าที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงบรรดาแหล่งมรดกโลกและแหล่งโบราณคดีประวัติศาสตร์หลายแห่งที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อขายศิลปวัฒนธรรมและประเพณีวัฒนธรรมให้แก่การท่องเที่ยว อย่างเช่นการจุดเทียนเผาไฟเพื่อลอยกระทงของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ผ่านมาไม่นานนี้ ที่เป็นการขายวัฒนธรรมก็เพราะ จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์การลอยกระทงเป็นของชุมชนบ้านเมืองในลุ่มน้ำ เช่นอยุธยาและกรุงเทพฯ ที่พอเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นงานนักขัตฤกษ์ให้แก่ผู้คนที่เป็นประชาชนได้รื่นเริงกัน
“.....นักขัตฤกษ์ประชาราษฎร์สโมสร
สว่างไสวไปทั่วทั้งพระนคร
ทิฆัมพรแจ่มแจ้งแสงจันทร์เอย”
แต่สุโขทัยก็ยังเปรียบไม่เท่ากับเทศกาลผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย ที่เปลี่ยนประเพณีศักดิ์สิทธิ์บุญพระเวสของคนในชุมชนและสังคม มาเป็นการเล่นแห่ผีตาโขนที่เป็นของอัปมงคลและสาธารณ์ที่ไม่เคยอยู่ในสารบบการมองโลกในความเป็นมนุษย์ของคนด่านซ้ายแต่ดั้งเดิม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments