เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2527
พัฒนาการของสังคมมนุษย์ในอดีต จากการเป็นชุมชนที่อยู่ติดที่ เป็นหมู่บ้านที่อาศัยการเพาะปลูกเป็นหลัก จนถึงมีการขยายตัวเป็นเมืองเป็นรัฐขึ้นมานั้น หาได้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายในสังคม เช่น การมีแหล่งทำมาหากินที่สามารถผลิตอาหารเลี้ยงคนเป็นจำนวนมากแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากต้องอาศัยปัจจัยจากภายนอกโดยเฉพาะการค้าขายติดต่อกับสังคมอื่นที่อยู่ใกล้และไกลมากกระตุ้นให้สังคมมีโครงสร้างสลับซับซ้อน มีการรับศิลปะวิทยา ศาสนา อักษรศาสตร์ วรรณคดี และขนบประเพณีจากภายนอกเข้ามาปรุงแต่ง ทำให้เกิดความเจริญในชั้นที่เรียกว่า “อารยธรรม” ขึ้น

เมื่อเกิดแหล่งที่เป็นศูนย์กลางอารยธรรมขึ้น เมื่อเกิดแหล่งที่เป็นศูนย์กลางอารยธรรมขึ้น ณ แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วก็มักมีการสร้างหรือแผ่ขยายเครือข่ายทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไปยังแหล่งอื่นๆ ทำให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน และร่วมสมัยเกิดขึ้นระหว่างบรรดาเมืองหรือรัฐที่มีความสัมพันธ์กันเหล่านั้น
พัฒนาการของบ้านเมืองและรัฐในประเทศไทย เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์กับการค้าขายเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเป็นประเทศที่มีแหล่งทำกันที่อุดมสมบูรณ์กว้างขวาง แต่มีประชากรน้อย คนจึงพร้อมที่จะแยกตัวไปตั้งแหล่งทำมาหากินหรือแหล่งชุมชนอิสระได้ง่ายๆ ถ้าหากได้รับความกดดันทางเศรษฐกิจและการเมือง
ยิ่งกว่านั้น การที่เป็นดินแดนในเขตลมมรสุมซึ่งพัดพาฝนมาตกเป็นประจำทุกฤดูกาล ก็ยิ่งทำให้การปลูกข้าวซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาหารหลักของประชาชนเป็นสิ่งที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์การชลประทานให้มีผลิตผลอย่างมาก ถึงปีก็ปลูกกันทีหนึ่งให้พอกินได้ครบปี พอปีหน้า ฝนมาก็ปลูกกันใหม่
จากการที่ไม่มีอุปสรรคดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้คนแยกกันตั้งแหล่งชุมชนไปตามท้องถิ่นต่างๆ ในลักษณะที่กระจายอยู่ในรูปของชุมชนเล็กๆ บ้านเมืองเล็กๆ การรวมตัวทางการเมืองการปกครองขึ้นเป็นรัฐจึงมีลักษณะเป็นรัฐอิสระเล็กๆ หรือนครรัฐอยู่ทั่วไป สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของรัฐหรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การค้าขายกับภายนอกนั่นเอง
ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรทางธรรมชาตินั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดการค้าขายซึ่งมีผลไปถึงพัฒนาการของเมืองและรัฐเป็นอย่างมาก ในเรื่องตำแหน่งทางภูมิศาสตร์นั้นเห็นได้ว่า ประเทศไทยตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่และคาบสมุทรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงอยู่บนเส้นการค้าขายทางทะเลระหว่างตะวันตก (อินเดีย) กับตะวันออก (จีน)
การค้าขายไปมาระหว่าง ๒ ดินแดนดังกล่าวนี้ ย่อมผ่านและจอดแวะประเทศไทยก่อนเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนทรัพยากรธรรมชาตินั้น ได้แก่บรรดาของป่าต่างๆ เช่น หนังสัตว์ ไม้หอม และแร่ธาตุ ซึ่งมีอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่บ้านเมืองภายนอกต้องการ เพราะฉะนั้น การเดินทางมาค้าขายของชาวต่างประเทศ จึงไม่จำกัดเฉพาะมาแวะจอดพักเพื่อจะผ่านไปยังที่อื่นเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายปลายทางในการซื้อหาของป่าอีกด้วย
การค้าขายของป่ากับต่างประเทศเป็นผลให้เกิดการสังสรรค์กันขึ้นระหว่างบ้านเมืองที่อยู่ในเขตชายทะเลซึ่งทำหน้าที่ขายของให้กับพ่อค้าชาวต่างประเทศที่มาซื้อกับชุมชนที่อยู่ภายใน ซึ่งจะส่งสินค้าป่าลงมาให้กับบ้านเมืองที่อยู่ชายทะเล
ผลของการสังสรรค์ดังกล่าวทำให้เกิดเส้นทางการค้าทางบกจากบ้านเมืองแถวชายทะเลหรือปากแม่น้ำไปยังภายใน ณ บนเส้นทางการค้านี้เอง ที่ชุมชนภายในอันประกอบด้วยกลุ่มชนที่มีเผ่าพันธุ์ต่างๆ เคลื่อนย้ายมารวมตัวเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น บางแห่งก็กลายเป็นรัฐอิสระ แต่บางแห่งก็กลายเป็นหัวเมืองของรัฐที่อยู่ชายทะเลซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วย
โดยทั่วไปแล้วบ้านเมืองทางชายทะเลมักเกิดขึ้นเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมก่อน คือเป็นฝ่ายที่รับสินค้าจากภายในไปขายออกสู่ภายนอก ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่กระจายสินค้าฟุ่มเฟือย และวัฒนธรรมของตนมายังบ้านเมืองภายใน
ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ได้คลี่คลายไปเป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย กล่าวคือ การเกิดของเมืองหรือรัฐภายในนั้นมักได้รับการผลักดันหรือการสนับสนุนจากรัฐที่เป็นศูนย์กลางที่อยู่ชายทะเลหรือปากแม่น้ำ ในชั้นแรกก็คงพยายามให้เป็นหัวเมืองที่อยู่ในเครือข่ายทางเศรษฐกิจและการเมืองของตน แต่ในชั้นหลังหัวเมืองภายในนี้อาจสร้างตัวเองเข้มแข็งขึ้นเป็นรัฐอิสระและสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัฐอื่นๆ ทั้งที่อยู่ภายในด้วยกันกับบรรดาที่อยู่ใกล้ทะเลหรือปากแม่น้ำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามการคลี่คลายของสังคมและวัฒนธรรมตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าถึงแม้การค้าขายจะสร้างความมั่งคั่งแก่ชุมชนจนเกิดเป็นเมืองเป็นรัฐขึ้นมาในลักษณะที่เป็นทางบวกก็ตาม แต่ก็มีสิ่งที่เป็นทางลบ นั่นก็คือการสร้างให้เกิดการแข่งขันและแก่งแย่งทางเศรษฐกิจการเมืองขึ้นทั้งภายในสังคมเองและกับบ้านเมืองหรือรัฐอื่นๆ ภายนอก การรบพุ่งระหว่างรัฐต่อรัฐ เช่น ระหว่างนครศรีธรรมราชกับเพชรบุรีในสมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยาก็ดี การสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าก็ดี หรือการขัดแย้งระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฮอลันดาก็ดี ล้วนแต่มีความสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งมาจากการแข่งขันกันในการค้าขายทั้งสิ้น
ภายในแต่ละรัฐเองการแข่งขันชิงดีกันในการค้า ทำให้เกิดการขัดแย้งอำนาจกันระหว่างขุนนางเจ้านายและพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเสมอ จนกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเสียพระนครศรีอยุธยาให้แก่พม่าครั้งที่สองใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ทีเดียว
บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๑๐ ฉ. ๒ (เมษายน-พฤษภาคม ๒๕๒๗)
Kommentarer