เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2552

จากสภาพสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงเวลากึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นับสองชั่วอายุคนคือคนรุ่นพ่อ–แม่และรุ่นลูกในทุกวันนี้ คนเป็นจำนวนมากขาดการปลูกฝังทางวัฒนธรรมที่ในศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cultivation, Enculturation, Socialization เป็นต้น ซึ่งในสังคมไทยแต่โบราณและสังคมที่เจริญแล้วในที่อื่น ๆ ของโลก ถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ควบคู่ไปกับการศึกษาให้เกิดความรู้ในด้านต่าง ๆ [Learning] โดยมีชุมชน [Community] เป็นฐานรองรับ
เช่นแต่ก่อนการศึกษาของเยาวชนไทยก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ อยู่ในวัดของแต่ละชุมชนบ้าน [Village] วัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมของชุมชนและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเป็นชุมชน ดังเห็นได้จากชื่อของวัดและชุมชนเป็นชื่อเดียวกัน ทั้งชื่อของวัดและชื่อของชุมชนเป็นสิ่งที่คนในชุมชนตั้งขึ้นเป็นที่รับรู้กันจากคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งมักเป็นชื่อที่ตั้งมาจากลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ชุมชนตั้งอยู่
เช่น บ้านม่วงขาวในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบ้านที่อยู่บนบริเวณที่เป็นโคกเนิน แต่มีต้นมะม่วงขาวเกิดขึ้น ดูแตกต่างไปจากต้นมะม่วงอื่น ๆ ชาวบ้านจึงเอาชื่อต้นมะม่วงขาวมาเป็นชื่อบ้าน ให้เห็นต่างไปจากบ้านโคกปีบซึ่งมีต้นปีบขึ้นเป็นดง อันเป็นชื่อตำบล
บ้านม่วงขาวเป็นชุมชนของคนชาติพันธุ์ลาวพวนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่อายุกว่า ๑๕๐ ปี ในทุกวันนี้คนที่เกิดในชุมชนนี้ที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะมาบวชและเรียนหนังสือกับพระและผู้อาวุโสที่วัดม่วงขาวในลักษณะที่เป็นเด็กวัดรับใช้พระและสามเณร ทั้งเด็กวัดและสามเณรก็เรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้จากพระ และฝึกฝนวิชาชีพทางการช่างและการทำมาหากินจากพระและผู้อาวุโสที่พ้นวัยทำมาหากินแล้วมาเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ช่วยกิจกรรมของวัดและพักผ่อนที่ศาลาวัด ทำให้เด็กได้เรียนรู้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมจากวัด
ในส่วนเด็กผู้หญิงไม่ได้เข้าวัด แต่ก็เล่าเรียนอยู่ที่บ้าน ช่วยงานบ้านและฝึกงานฝีมือกับแม่ ตายาย ญาติพี่น้องที่เป็นผู้หญิงในชุมชน งานต่าง ๆ ที่เด็กผู้หญิงเรียนรู้นั้น หาใช่เป็นงานที่ทำให้ได้เงินได้ทองไม่ หากเป็นงานที่จะสร้างความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวเป็นสำคัญ เด็กหญิงแม้จะไม่มีโอกาสเล่าเรียนให้อ่านออกเขียนได้อย่างเด็กผู้ชายที่ไปเล่าเรียนที่วัด แต่ก็ได้รับการถ่ายเทอบรมจากคำบอกเล่าและการปฏิบัติในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลต่าง ๆ ในรอบปี จนกลายเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินผ่านให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อยังอยู่ในวัยเด็กและวัยรุ่นก็เรียนรู้ร่วมไปกับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น หลังแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนสถานภาพมาเป็นเมีย เป็นแม่ กลายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะสืบสานความเป็นอยู่ของครอบครัวและชุมชนต่อไป ผู้หญิงคือเจ้าของชุมชน เพราะส่วนใหญ่ในการแต่งงานนั้น ฝ่ายชายมักเข้ามาอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิงและกลายเป็นคนในชุมชนของฝ่ายหญิง
ชุมชนและท้องถิ่น [Locality] คือโลกของผู้หญิง เป็นโลกภายในที่ผู้หญิงได้รับการปลูกฝังในเรื่องประเพณีวัฒนธรรมและจารีตเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นมนุษย์ในครอบครัวและชุมชน ในขณะที่ผู้ชายให้ความสำคัญกับการเล่าเรียนศึกษาหาความรู้ทางวิชาชีพเพื่อออกไปทำงานข้างนอกมาเลี้ยงดูครอบครัว งานของผู้ชายจึงเป็นเรื่องของเงินทอง นับเป็นการแบ่งงานตามเพศสภาพที่มีดุลยภาพ [Balance] ที่จรรโลงความเป็นมนุษย์ในสังคมชาวนา [Peasant society] มานับพัน ๆ ปี
ปัจจุบันสังคมไทยได้พัฒนาเปลี่ยนผ่านรวม ๔๐ กว่าปีที่ผ่านเข้ามาสู่ภาวะความเป็นสังคมอุตสาหกรรมในยุคโลกภิวัฒน์เป็นที่เรียบร้อย ความเป็นคนไทยแบบสังคมชาวนาที่อยู่กันเป็นครอบครัวเป็นชุมชนในท้องถิ่น ได้ผันแปรขู่ความเป็นคนใหม่ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในครอบครัวและชุมชนในลักษณะเป็นกลุ่มเป็นเหล่าอย่างแต่ก่อน หากมีวิถีชีวิตและความคิดเป็นปัจเจกบุคคลนิยมขึ้นมาแทนที่ เป็นชีวิตวามเป็นอยู่ที่ไม่ต้องการและสนใจการปลูกฝังทางวัฒนธรรมแต่อย่าง เพราะการอยู่ในสถานที่อยู่สมัยใหม่นั้น ไม่ว่าคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านจัดสรร รวมทั้งบรรดาห้องแถวริมถนนล้วนเป็นความเป็นอยู่ของคนที่เป็นปัจเจก หาเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมเป็นครอบครัวและชุมชนอย่างแต่ก่อนไม่
ทั้งรัฐและถิ่นไม่สนใจในการรวมกลุ่มหรือสร้างความเป็นกลุ่มเป็นสังคมท้องถิ่น [Local group] แต่อย่างใด คงมีแต่การรวมกลุ่มแบบหลวม ๆ แบบเฉพะกิจชั่วคราว เช่น กลุ่มอาชีพ กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มทางการเมือง อะไรทำนองนั้น รวมทั้งการรวมกลุ่มของคนรุ่นเด็กและวัยรุ่นที่เป็นแก๊งเป็นก๊วนด้วย หาได้เป็นกลุ่มแนวนอนที่ถาวร มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีมิติทางเวลา ประสบการณ์ร่วมกัน ความทรงจำร่วมกันจนเกิดสำนึกร่วมของการเป็นพวกเดียวกันและสร้างสิ่งที่เป็นจารีตประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันแต่เกิดจนตายอย่างเช่นที่เคยมีมาในสมัยที่อยู่ในสังคมชาวนา
อันการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปัจเจกของคนในสังคมอุตสาหกรรมนั้น ไม่มีทางสร้างสำนึกร่วมได้จากความสัมพันธ์ในทั้งสามมิติ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน เพราะไม่ได้เป็นกลุ่มแบบแต่ก่อนต่างคนต่างอยู่ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติก็แทบไม่มี เพราะต่างคนก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ธรรมชาติ หากเป็นของเทียมหรือสิ่งเสมือนจริงแทบทั้งสิ้น ซึ่งก็เห็นได้จากบรรดาชื่อบ้านชื่อชุมชนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม เช่น บรรดาชุมชนที่เคยมีในสังคมชาวนา เช่น บ้านลาดชะโดที่อุดมไปด้วยปลาชะโดที่สัมพันธ์กับภูมิประเทศที่เป็นลาดต่ำหรือบ้านกระทุ่มแพ้วที่อยู่ในที่ราบแบนและต่ำ น้ำท่วมถึง แต่ในทางตรงข้ามกลับนำเอาชื่อประดิษฐ์ที่ขโมยมาจากที่อื่นโดยเฉพาะจากทางตะวันตกเข้ามา เช่นบ้าน New york ville หรือชื่อประดิษฐ์ตามรสนิยม เช่น Perfect place หรือ Lake View อะไรทำนองนั้น
ส่วนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในมิติทางจิตวิญญาณก็แทบจะไม่มี เพราะบรรดาชุมชนบ้านจัดสรรนั้น ไม่มีวัดหรือแหล่งพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อเป็นศูนย์กลางที่จะสร้างความมั่นคงทางจิตใจที่ควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ทางสังคมและปลูกฝังสำนึกของความเป็นพวกเดียวกัน ชุมชนบ้านจัดสรรไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือทาวน์เฮาส์ที่มีชื่อเป็นภาษาต่างประเทศ ที่ระบาดแพร่หลายเหมือนโรคร้ายอยู่ในขณะนี้ ไม่มีทางทำให้กลายเป็นชุมชนธรรมชาติของมนุษย์ที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมได้เลย เป็นชุมชนที่ไม่มีทางปลูกฝังทางวัฒนธรรม [Cultivation] ได้ นอกจากการขานรับการศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานจากโรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนที่อยู่ห่างจากแหล่งที่อยู่อาศัยแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ที่สำคัญก็คือรัฐเองแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา ซึ่งมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นแทนการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมจากวัด ก็หาได้คำนึงถึงกระบวนการศึกษาที่เป็นการปลูกฝังทางวัฒนธรรมดังกล่าวไม่ เพราะพยายามเอาอย่างการศึกษาแบบเรียนรู้แต่เพียงอย่างเดียวจากทางตะวันตกเข้ามาเป็นแบบอย่าง
นับเป็นการเน้นการศึกษาแบบทางโลกแต่เพียงอย่างเดียว [Secularization] เลยกลายเป็นมรดกแห่งความล้มเหลวทางการศึกษาของชาติที่ส่งอิทธิพลมากระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน การศึกษา [Education] ที่เน้นการเล่าเรียนแต่เพียงอย่างเดียวของกระทรวงศึกษาธิการเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คือ การเน้นในการสร้างคนเรียนเก่ง หรือ “คนเก่ง” อันเป็นเรื่องของปัจเจก ทำให้เกิดการแข่งขันกันของเด็กนักเรียน
นับแต่การรีบเรียนด้วยการกวดวิชาให้เรียนอะไร ๆ แต่อายุน้อย เด็กเรียนเพื่อได้คะแนนดี ๆ รู้อะไรก็เอาแต่เฉพาะตัว ท่องเก่ง จำเก่ง แต่คิดไม่เป็น ขานรับกับความทุเรศในเรื่องความคิดของผู้บริหารการศึกษา รวมทั้งบรรดาครูรุ่นใหม่ ๆ อีกเป็นจำนวนมากที่บ้าในเรื่อง เด็กเป็นศูนย์กลาง [Child centre] อะไรทำนองนั้น ที่ล้วนแต่ไปเสริมความเป็นปัจเจกในเรื่องการเก่งของตนแต่คนเดียว ทำให้ไม่สามารถอบรมการศึกษา ในเก่งรวมกันเป็นกลุ่มได้
เพราะการจะให้เกิดกลุ่มขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องมีกระบวนการอบรมทางสังคมวัฒนธรรมอันเป็นเรื่องของการปลูกฝัง [Cultivation] รวมอยู่ด้วย
ข้าพเจ้าหวนระลึกไปถึงการศึกษาเล่าเรียนที่ควบคู่ไปกับการปลูกฝังของคนในสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ในสังคมท้องถิ่นที่เคยมีมาซึ่งคนในชุมชนได้เรียนรู้ร่วมกันจากวัดและโรงเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน ท้องถิ่นซึ่งคนรู้จักกันเห็นหน้าค่าตากัน มีลัทธิทางศาสนา ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเดียวกัน รวมทั้งการอยู่รวมกันมานานผลให้เกิดสำนึกของความเป็นคนถิ่นเดียวกันขึ้น จึงเป็นการอยู่แบบคนที่มีกลุ่มเหล่า เด็กผู้ชายที่ไปเล่าเรียนอยู่ตามวัดก็มีพระครูบาเป็นอาจารย์สอนให้ทั้งทางโลกและทางธรรม จนกลายเป็นศิษย์ร่วมรุ่นร่วมอาจารย์เดียวกัน มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในเรื่องความรู้ในการทำมาหากินร่วมกัน และทำอะไรเป็นหมู่เป็นคณะอย่างมีคุณธรรม จริยธรรมที่ได้รับการอบรมมาร่วมกัน
การปลูกฝังทางวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมของความเป็นพวกเดียวกันในท้องถิ่นเดียวกันนั้น นอกจากจะได้รับการสั่งสอนและอบรมโดยครูบาอาจารย์แล้ว ยังเกิดจากการที่มางานร่วมกันในพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิต เช่น ประเพณีการเกิด การบวช การแต่งงาน และการตาย กับพิธีกรรมในรอบปีที่เรียกประเพณีสิบสองเดือนที่มักสัมพันธ์กับการเกษตร เช่น การปลูกข้าว การเกี่ยวข้าว และขอฝน พิธีกรรมทางพุทธศาสนา เช่น สงกรานต์ เข้าพรรษา บวชนาค ออกพรรษาอะไรทำนองนั้น รวมทั้งพิธีกรรมเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติในชุมชนด้วย มักเป็นพิธีกรรมที่รักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน (คือการอยู่เป็นครอบครัวและชุมชน) คนกับธรรมชาติและคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่แต่เพียงสร้างสำนึกในการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทรแล้ว ยังเป็นการอบรมบ่มนิสัยให้มีศีลธรรมและจริยธรรมด้วย
ดูเหมือนความล้มเหลวในการศึกษาของชาติที่กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบและแก้ไขอะไรไม่ได้ในขณะนี้นั้น เห็นตัวอย่างได้จากการศึกษาของคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ที่เกิดจากการศึกษาแบบทางโลก [Secularization] ได้ทำลายการปลูกฝังทางวัฒนธรรมที่เคยควบคู่กับการเล่าเรียน [Learning] ที่บรรดาโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนเอกชนของท้องถิ่นที่เคยมีมาแต่เดิม ซึ่งเป็นการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมไปด้วยกัน
การศึกษาจากโรงเรียนปอเนาะนั้น หาได้เน้นในเรื่องความเก่งเป็นเลิศทางความรู้แก่บุคคลในลักษณะที่เป็นปัจเจกแต่อย่างใดไม่ หากเน้นความเป็นคนในสังคมที่ควรมีอะไรร่วมกันอย่างเสมอภาคเป็นสำคัญ การเล่าเรียนความรู้สามัญและวิชาชีพไม่จำเป็นต้องสำคัญเป็นที่สุด หากดูที่ความเหมาะสมในการทำมาหากินกับทรัพยากรและการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เอารัดเอาเปรียบ โดยมีความรู้ทางศาสนาเป็นหลักในการควบคุมศีลธรรมและจริยธรรม
แต่กระทรวงศึกษาธิการนั้นแหละ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กว่าห้าสิบปีที่ผ่านมา คือจุดเริ่มต้นของการทำลายการศึกษาอย่างเป็นมนุษย์ของคนมุสลิมที่คนส่วนใหญ่ได้เรียนศาสนาที่มีความหมายต่อการปลูกฝังทางสังคมและวัฒนธรรมให้กับเยาวชน มาเป็นการบังคับให้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมาเป็นคนไทย รวมทั้งการให้การศึกษาแบบอย่างตามโรงเรียนของทางรัฐบาล ซึ่งแม้ว่าจะถูกต่อต้านเป็นอย่างมากจากปัญญาชนมุสลิม จนถึงขนาดมีการแสดงความรุนแรงด้วยการเผาโรงเรียนและสถานที่ทางการศึกษาบ่อย ๆ ก็ตาม แต่ในที่สุดก็ดูต้านทานไม่อยู่ เพราะปัจจุบันโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามก็ดูอ่อนล้า เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจการศึกษาแบบวัตถุนิยมมากขึ้นทุกที รวมทั้งบรรดาครูบาอาจารย์ก็เปลี่ยนแปลงไป
จนทำให้สังคมท้องถิ่นของคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ในขณะนี้มีปัญหาแตกแยกกันภายในอย่างมากมาย ไม่แต่เพียงเป็นการแบ่งแยกและขัดแย้งกันกับคนไทยพุทธและคนจีนซึ่งแต่ก่อนเคยอยู่รวมกันอย่างสมานฉันท์ในลักษณะที่เป็นสังคมพหุลักษณ์ แต่เป็นการขัดแย้งกันเองภายในทั้งระหว่างคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ คนต่างระดับชั้นกัน และคนที่อยู่ต่างพื้นที่ต่างถิ่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในที่นี้คงไม่อาจตำหนิแต่กระทรวงศึกษาธิการเพียงแห่งเดียวได้ แต่ต้องพาดพิงถึงกระทรวงวัฒนธรรมด้วย เพราะเรื่องการบีบบังคับทางวัฒนธรรมนั้น เริ่มมาแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี ยุคนี้การตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นเป็นกระทรวงที่สร้างวัฒนธรรมไทยให้เป็นเอกลักษณ์ตามกระแสชาตินิยมที่แพร่หลายในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการสร้างวัฒนธรรมเชิงบูรณาการจากข้างบนลงล่าง ที่ได้ทำลายความเป็นสังคมพหุลักษณ์ที่มีผู้คนหลายชาติพันธุ์อยู่รวมกันในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ผิดแผกไปจากการบูรณาการทางวัฒนธรรมสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชที่ใช้ความเป็นคนในแผ่นดินสยามเป็นตัวตั้ง แต่รัฐบาลจอมพล ป. ใช้ความเป็นเชื้อชาติของคนในชาติพันธุ์ไทเป็นตัวตั้ง เห็นได้จากการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทย
การปลูกฝังความเป็นวัฒนธรรมสยามแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ก็หาได้เน้นความสำคัญของวัฒนธรรมส่วนกลาง เช่น จากกรุงเทพฯ เป็นหลักไม่ หากเอื้ออาทรต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และประวัติศาสตร์ด้วย ดังเห็นได้จากการมองคนท้องถิ่นผ่านพื้นที่ซึ่งเป็นบ้านเป็นเมืองแทนการเน้นการบูรณาการด้วยวัฒนธรรมของส่วนกลางที่เรียกว่า วัฒนธรรมไทย ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาจนทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เป็นการเน้นในด้านศิลปวัฒนธรรมในลักษณะที่เป็นอารยธรรมที่เข้าไม่ถึงความเป็นคนและอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์แต่อย่างใด
โดยย่อก็คือ การเน้นแต่วัฒนธรรมหลวงที่เข้าไม่ถึงวัฒนธรรมราษฎร์อันเป็น ชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น
ชีวิตวัฒนธรรมหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สังคม-วัฒนธรรมนั้นคือ วัฒนธรรมที่คนในแทบทุกสังคมในโลกต้องปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ กระทรวงวัฒนธรรมจึงน่าจะทำหน้าที่ให้เต็มที่ในการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ผู้คนในท้องถิ่นได้ใช้ในการปลูกฝังวัฒนธรรมแก่เยาวชนของตน เพื่อแบ่งเบาภาระของกระทรวงศึกษาธิการในการสนับสนุนการศึกษาที่เน้นการเล่าเรียนเป็นสำคัญ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็นับเป็นการสิ้นหวังของคนในสังคมที่จะต้องพึ่งพารัฐบาลและจะนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เพราะความจริงในโลกที่เป็นโลกาภิวัตน์ในทุกวันนี้เป็นโลกของสังคมพหุลักษณ์ที่แทบทุกชาติพันธุ์ต่างเรียกร้องความเป็นตัวตนทางอัตลักษณ์ ท่ามกลางการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและมีเสรีภาพของโลกประชาธิปไตย
แต่ความเป็นประชาธิปไตยของคนไทยนั้น หากการปลูกฝังกันแบบจากข้างบนลงล่างที่อ้างแต่ความเชื่อกัน เกิดจากการลอกเรียนแบบประชาธิปไตยจากทางตะวันตกมาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากการเขียนกฎหมายและข้อบังคับ โดยคนนั้นไม่อาจควบคุมศีลธรรมและจริยธรรมได้
ดังเห็นได้จากผู้มีอำนาจทางการเมือง ละเมิดสิทธิมนุษยชน แก้รัฐธรรมนูญหรือเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของพวกตนเองกันเรื่อยมา ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ต้องอาศัยธรรมาธิปไตย อันมีอยู่ในพระพุทธศาสนาจึงจะรักษาความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนได้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments