เผยแพร่ครั้งแรก 1 เมษายน 2546
จากผลการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่คุณสุกัญญา เบาเนิด นักโบราณคดีจากกรมศิลปากรได้ศึกษาไว้ ทำให้เห็นลักษณะเด่นของวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ได้ชัดเจน นั่นคือ ประเพณีเกี่ยวกับการตายของผู้คนในเขตนี้สัมพันธ์กับ “การฝังศพครั้งที่สอง” ซึ่งเป็นวิธีการจัดการกับศพและความเชื่อหลังความตายของมนุษย์อันมีลักษณะเป็นสากล

เก็บกระดูกใส่โกศ พิธีกรรมเก่าแก่มีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
การฝังศพครั้งที่สองคืออะไร
วัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] คือพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายของมนุษย์ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเกี่ยวกับร่างกายจากวิธีขุดหลุมฝังร่าง แล้วอุทิศสิ่งของเพื่อชีวิตภายหลังความตายในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน มาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น นั่นคือ เมื่อฝังศพครั้งแรกมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็จะมีการขุดร่างกายนั้นขึ้นมาใหม่ เลือกโครงกระดูกซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดใส่ลงในภาชนะใบใหญ่ ซึ่งมีสิ่งของเครื่องใช้ ภาชนะใส่ข้าวปลาอาหาร หรือของมีค่าต่าง ๆ อุทิศแก่ผู้ตายฝังรวมไปด้วย ในบริเวณซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสุสานของตระกูลหรือของชุมชนซึ่งอาจจะเป็นสถานที่แห่งใหม่ ตอกย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญแก่กลุ่มเครือญาติหรือสายตระกูลและการเน้นลักษณะร่วมในความเป็นคนในชุมชนเดียวกันมากขึ้น
ประเพณีการทำศพเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อาจมีอยู่บ้างเป็นส่วนน้อยที่วิธีการปลงศพแตกต่างไป เช่น การปล่อยให้แร้งกัดกิน (เช่น เผ่า nandi ในเคนยา) แต่ก็เป็นข้อยกเว้นที่ปรากฏอยู่ไม่มากนัก
ในระยะต่อมาการเผาศพ [cremation] กลายวิธีที่แพร่หลายมากกว่า ในประเทศไทยมักจะกำหนดว่าเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลทางความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้ว เถ้าหรือกระดูกก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ลูกหลานเก็บรักษาไว้ในโกศ ซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หม้อดินเผาธรรมดาจนกระทั่งถึงโกศทองเหลืองที่เราคุ้นเคยเห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน คนในอดีตมักฝังเก็บไว้รอบฐานเจดีย์บ้าง โคนต้นไม้ใหญ่บ้าง บางแห่งนิยมสร้างเป็นโกศเจดีย์ขนาดใหญ่ หรือกระทั่งที่นิยมทำกันในปัจจุบันคือช่องตามกำแพงแก้วและรอบรั้ววัด
แต่สิ่งที่เหมือนกันอันเป็นวิธีคิดที่ไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ โกศกระดูก [urn] ในปัจจุบันมีหน้าที่เช่นเดียวกับภาชนะใส่กระดูก [jar burial] ในอดีต และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการเก็บกระดูกในวัดก็มีหน้าที่เช่นเดียวกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเนินสุสานของชุมชน ในการฝังศพครั้งที่สองช่วงก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน
จากการศึกษาเปรียบเทียบประเพณีการฝังศพครั้งที่สองเมื่อไม่นานมานี้ นักมานุษยวิทยาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพิธีกรรมการตายในชุมชนชาวจีนที่เกาะไหหลำ และเป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏทั่วไปในเขตจีนตอนใต้ ครอบครัวจะฝังศพผู้ตายราวสามสี่ปีในที่แห่งหนึ่ง ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่จะทำให้ศพนั้นเน่าเปื่อย เมื่อถึงเวลาลูกหลานและผู้ชำนาญในการทำพิธีจะเชิญวิญญาณและขุดศพขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดเอาเนื้อออกจากกระดูกตั้งแต่หัวจรดเท้า ชำระล้าง แล้วเอากระดูกใส่ในโกศหรือภาชนะนำไปฝังในฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอีกครั้งหนึ่ง

การศึกษาทางโบราณคดีทั่วโลกลงความเห็นว่า การฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] หรือการฝังภาชนะบรรจุกระดูกน่าจะเกิดขึ้นในช่วง megalithic แหล่งที่พบมากที่สุดคือยุโรปตอนเหนือ (ยุโรปเหนือแห่งเดียวมีแหล่งที่อยู่ในยุค megalithic ถึง ๔๐,๐๐๐ แห่ง) การฝังศพครั้งที่สองในยุคนี้จะสัมพันธ์กับการตั้งหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเนิน ซึ่งอาจจะเป็นห้องเก็บกระดูกของหัวหน้าหรือชนชั้นนำ บางแห่งสันนิษฐานว่าเก่าไปถึง ๑,๕๐๐ BC. ทีเดียว แต่การศึกษาในยุโรปปัจจุบันมีผู้เปลี่ยนแนวคิดใหม่โดยเสนอจากข้อมูลการขุดค้นว่า การฝังศพครั้งที่สองเกิดขึ้นภายหลังจากมีหลุมฝังศพในวัฒนธรรมแบบ megalith แล้ว แต่เป็นเพียงการใช้สถานที่เดิมซึ่งเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอาจรับรู้เรื่องราวโดยผ่านการบอกเล่า [oral tradition] ดังนั้น การฝังศพครั้งที่สองจึงไม่น่าเริ่มต้นในยุค megalithic
วิธีคิดของมนุษย์เพื่อพิธีกรรมในการฝังศพครั้งที่สองในสถานที่ซึ่งมีความสำคัญหรือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนปรากฏพบทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก นักโบราณคดีในอินเดียพบแหล่งฝังศพครั้งที่สองมากกว่า ๗๕ แห่ง ในเขตรัฐทามิลนาดูซึ่งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตอนใต้ใกล้กับเกาะลังกา และยังคงกำหนดชื่อว่าอยู่ในสมัย megalithic ภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองขนาดสูงกว่า ๑ เมตร ภายในบรรจุภาชนะขนาดเล็กกว่าใส่สิ่งของเครื่องใช้เครื่องประดับและเมล็ดพืชที่อุทิศแก่ผู้ตาย โดยกำหนดอายุอย่างกว้างๆ อยู่ในราว ๑๐๐ BC.- AD.๑๐๐
สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตหมู่เกาะนักวิชาการบางคนกำหนดว่าวัฒนธรรม megalith อยู่ในช่วงยุคหินใหม่ แต่บางพื้นที่ เช่น เกาะสุมาตรา เกาะเบอร์เนียว และเกาะสุลาเวสี พบหลักฐาน เช่น เครื่องประดับที่ได้รับจากวัฒนธรรมดองซอน แต่บนพื้นแผ่นดินใหญ่การมีอยู่ของวัฒนธรรมแบบ megalith ไม่พบอย่างชัดเจน นอกจากการศึกษาที่ทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ในประเทศลาว ซึ่ง แมดเดอลีน โคลานี [Madeleine Colani] นักโบราณคดีหญิงชาวฝรั่งเศสทำการขุดค้นและศึกษาไว้เมื่อราว ๗๐ กว่าปีก่อน โดยเสนอข้อมูลว่าเป็นวัฒนธรรมแบบ megalith ที่เกี่ยวข้องกับการฝังศพครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะต่อมาเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางอื่น ไหหินในลาวไม่น่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมหินตั้ง หรือ megalith ที่แสดงออกอย่างมั่นคงในยุโรป แต่มีลักษณะร่วมสมัยกับวัฒนธรรมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่จะได้กล่าวต่อไป
ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการศึกษาเปรียบเทียบ
ศาสตราจารย์เออิจิ นิตต้า [Prof.Eiji Nitta] นักโบราณคดีด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากมหาวิทยาลัยคาโกชิมา เป็นผู้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการฝังศพครั้งที่สองหรือประเพณีการฝังไหใส่กระดูกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย เวียดนามและลาว โดยเป็นผู้ขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญในบริเวณรอบทุ่งกุลาร้องไห้ เช่นที่ โนนยาง บ้านเขวาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และบ้านดงพลอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งยังได้ขุดตรวจแหล่งโบราณคดีในบริเวณทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ซึ่งหลังจากการทำงานของโคลานีเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดขุดค้นในบริเวณนี้แต่อย่างใด รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาวัฒนธรรมซาหวิ่นในเวียดนามโดยการสนับสนุนของมูลนิธิโตโยต้าในเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย
จากงานของศาสตราจารย์นิตต้าที่ชี้ว่า ในเขตเวียดนามตอนกลางซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมซาหวิ่น [Sa Huynh] อันเป็นวัฒนธรรมที่มีประเพณีการฝังภาชนะใส่กระดูก ข้อมูลที่ได้จากเมืองฮอยอันซึ่งอยู่ในเวียดนามตอนกลาง และโฮจิมินซิตี้ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ พบการฝังภาชนะใส่กระดูกขนาดสูงใหญ่ทรงกระบอกก้นกลมและมีฝาปิด ในพื้นที่ซึ่งเป็นเนินทราย [sand dune] ใกล้ชายฝั่งทะเล มีการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีหัวซาและอันบาง [Hua Za, An Bang] ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองฮอยอัน แต่ไม่พบกระดูกมนุษย์ในภาชนะเหล่านี้ แต่พบภาชนะขนาดเล็ก เช่น หม้อที่มีลายขูดขีดเคลือบสีแดง เครื่องมือเหล็ก เช่น มีด ขวาน ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินคาร์นีเลียน พบอยู่ภายในและรอบ ๆ ไห ลูกปัดทองคำและต่างหูแบบเขาสองหน้า [bicefalous pendant] อันเป็นเครื่องประดับชิ้นเด่นในวัฒนธรรมซาหวิ่น
เครื่องมือเหล็กหลากหลายชนิดเช่นนี้นับเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการเกษตร การขุดหรือแกะไม้ ขวานรูปแบบต่าง ๆ แบบมีบ้องและแบบแบน มีดมีห่วงที่เลียนแบบศิลปะในแบบราชวงศ์ฮั่น ขวาน ko-dagger ซึ่งรูปแบบเช่นนี้คล้ายกับสิ่งของที่อุทิศให้ศพจากบ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น อายุของแหล่งนี้จึงพิสูจน์จากการเปรียบเทียบมีดแบบราชวงศ์ฮั่นว่าอยู่ในช่วงก่อนและหลังคริสตกาลไม่มากนัก [๒๐๖ BC.-AD.๒๒๐]
แต่ค่าอายุจากแหล่งอันบางอยู่ ๓๘๐+-๙๐ BC. ซึ่งค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบรูปแบบภาชนะในฝังศพครั้งที่สองจากฮอยอันที่มีอายุอยู่ในช่วง AD.๑๐๐
ที่แหล่ง Giong Ca Vo และ Giong Phet ใกล้กับเมืองโฮจิมินซิตี้ เวียดนามทางตอนใต้ ซึ่งเป็นแหล่งฝังศพครั้งที่สองที่สำคัญในเวียดนาม พบภาชนะค่อนข้างหนาแน่น ที่แหล่ง Giong Ca Vo เป็นแหล่งแรกในเวียดนามที่พบกระดูกมนุษย์ในภาชนะด้วย ส่วนใหญ่อยู่ในท่านั่ง ซึ่งคนขุดเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการฝังครั้งแรกหรือครั้งที่สอง มีการฝังสิ่งของร่วมไปด้วยกับโครงกระดูก ค่าอายุทางการอยู่ที่ ๕๓๐+-๕๐ BC. ภาชนะที่นี่เป็นรูปทรงกลม ก้นกลม ประดับด้วยลายเชือกทาบ ซึ่งแตกต่างไปจากภาชนะในวัฒนธรรมซาหวิ่น สิ่งของที่พบได้แก่ เครื่องมือทำจากกระดูก ภาชนะดินเผา สำริด เหล็ก และทองคำ ทั้งเครื่องมือและเครื่องประดับจำนวนมาก รวมถึงแก้ว หยก [jade] ต่างหูเขาสองหน้า [bicefalous pendant] แบบวัฒนธรรมซาหวิ่น ค่าอายุทางการค่อนข้าง แต่จากการศึกษาเปรียบเทียบ [typology] น่าจะมีอายุในช่วง AD.๑๐๐ และภาชนะทรงกลมแบบนี้คล้ายกับภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองซึ่งพบที่บ้านก้านเหลือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
การฝังศพครั้งที่สองที่บ้านก้านเหลือง ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตปลายลำน้ำมูน พบว่ามีการฝังศพสืบเนื่องต่อกันเป็นเวลานาน ภาชนะบางใบพบกระดูกมนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นการฝังศพครั้งที่สองอย่างชัดเจน
ที่บ้านก้านเหลืองน่าจะเป็นตัวอย่างของการศึกษาเปรียบเทียบการฝังศพครั้งที่สองในดินแดนไทยกับเวียดนามได้ดี ลักษณะของสุสานเป็นเนินดินใหญ่ ภาชนะที่พบเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑-๑.๒ เมตร สูงราว ๗๕-๘๐ เซนติเมตร บรรจุกระดูกและโบราณวัตถุรวมกันและมีภาชนะขนาดเล็กอยู่ภายใน บางใบพบแกลบข้าวอยู่จำนวนมาก
ลักษณะของภาชนะเป็นแบบใบบนเล็กใบล่างใหญ่ปิดกันสนิทพอดี ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองแบบบ้านก้านเหลือง บางใบใส่กระดูก บางใบใส่สิ่งของอุทิศให้แก่ผู้ตาย เช่น เครื่องมือเหล็ก สำริด ภาชนะขนาดเล็ก ลูกปัดแก้ว เครื่องมือหิน เครื่องมือเหล็กส่วนมากเป็นพวกขวานและเครื่องมือใช้ขุด สำริดเป็นพวกเครื่องประดับ เช่น กำไล ก้องแขนคือ กำไลแขนทรงกระบอกขนาดยาว ซึ่งมักพบในวัฒนธรรมดองซอน (และเคยพบที่บ้านเชียง และโนนนกทาด้วย) ใบหอกสำริดรูปแบบปลายเงี่ยงโค้งคล้ายหัวลูกศร ซึ่งเคยพบที่โคกพลับ อำเภอบางแพ ราชบุรี ซึ่งเป็นเขตที่พบวัตถุที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมโกมึน [Ko Mun] หัวขวานสำริด ขวานแบบรูปรองเท้าบู้ท [assymmetrical yue-axe] ขวานสำริดแบบโค้งแหลมพบที่ดองนาย [Dong Nai] ขวานแบบนี้พบที่ตามลุ่มน้ำโขงทั่วไปและในไทยพบหลายแห่ง
การฝังศพที่บ้านก้านเหลืองมีการฝังทับซ้อนกันหลายสมัย อยู่ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน อายุของวัฒนธรรมที่บ้านก้านเหลืองน่าจะอยู่ร่วมสมัยกับช่วงสุดท้ายของวัฒนธรรมบ้านเชียง ช่วงเดียวกับบ้านดงพลอง และวัฒนธรรมโลหะยุคแรกของเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เราไม่พบการฝังศพครั้งที่สองที่บ้านดงพลอง เพราะที่นั่นเป็นการฝังเหยียดยาวและในโลงไม้ การกำหนดอายุที่บ้านดงพลองอยู่ในราว ๒๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. ซึ่งกำหนดจากการถลุงเหล็กซึ่งอยู่ด้านบนแหล่งฝังศพ
ดังนั้น การฝังศพที่บ้านก้านเหลืองก็น่าจะอยู่ในช่วง ๒๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. หรือหลังจากนั้น ส่วนที่โนนยาง บ้านเขาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยบนเนินดินขนาดใหญ่ ส่วนที่ฝังศพอยู่ชายเนินด้านหนึ่ง ภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สองกระจายอยู่ตั้งแต่ชั้นดินบนสุดถึงล่างสุด ชั้นล่างสุดขนาดของภาชนะใส่ได้เพียงกะโหลกซึ่งไม่ได้ถูกเผาไฟ กำหนดอายุได้ราว ๔๐๐ BC. ชั้นต่อมาพบภาชนะขนาดใหญ่ มีภาชนะรูปทรงกลมคล้ายหมวกเป็นฝาปิด กำหนดอายุราว ๒๐๐ BC. ส่วนชั้นดินด้านบนพบว่ามีภาชนะขนาดเล็กที่ใส่ได้เพียงหัวกะโหลกทั้งภาชนะและฝาปิดเป็นแบบเดียวกันคือคล้ายชามทรงกลมมีส่วนโค้งคล้ายหมวก ชั้นดินนี้กำหนดอายุในราว AD.๑๐๐ หรือหลังจากนั้น ส่วนชั้นดินด้านบนสุด ซึ่งพบโบราณวัตถุหลายชิ้นรวมทั้งภาชนะใส่กระดูก บางใบพบเพียงส่วนกะโหลก บางใบพบชิ้นส่วนของกระดูกอื่น ๆ ด้วย อายุของชั้นดินนี้ก็น่าจะหลัง AD.๑๐๐ แล้ว และกระดูกที่พบทั้งหมดไม่ใช่ทารก
คนที่โนนยางรักษาวัฒนธรรมในเรื่องการฝังศพครั้งที่สองไว้ตั้งแต่การอยู่อาศัยแรกเริ่มเมื่อ ๔๐๐ BC. จนถึงยุคหลังสุดเมื่อหลังคริสตศตวรรษ วิธีปฎิบัติคือ น่าจะมีพิธีกรรมการฝังศพทั้งร่างก่อน และส่วนใหญ่จะเอาแต่กะโหลกศีรษะมาฝังครั้งที่สองอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่มีการใส่สิ่งของลงในภาชนะใส่กระดูก
ที่น่าสนใจคือที่บ้านดงพลองซึ่งตั้งอยู่ห่างไป ๕๐ กิโลเมตร นับเป็นอาณาบริเวณใกล้เคียงกัน การฝังศพเหยียดยาวที่นี่ ทำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับศีรษะของผู้ตาย บางโครงหัวหายไป ส่วนบางโครงมีหัวอยู่ฝังในโลงไม้ซึ่งมีโคลนทับหน้า และมีเศษภาชนะขนาดใหญ่ปิดหน้าอีกที ซึ่งเป็นการฝังศพครั้งแรก แต่การขุดค้นที่ดงพลองเป็นการขุดเพื่อศึกษาแหล่งถลุงเหล็กจึงไม่พบฝังศพครั้งที่สองในชุมชนนี้ โดยกำหนอายุการถลุงเหล็กอยู่ในช่วง ๓๐๐ BC. - ๒๐๐ BC. ส่วนการฝังศพแบบเหยียดยาวน่าจะมีอายุมากกว่านั้น
แต่การพบลักษณะเด่น ในการนำเฉพาะกะโหลกใส่ในภาชนะการฝังศพครั้งที่สองที่โนนยาง และการให้ความสำคัญแก่ศีรษะการฝังศพแบบเหยียดยาวที่บ้านดงพลอง ซึ่งทั้งสองแหล่งมีอายุใกล้เคียงกัน ก็น่าจะเห็นความสัมพันธ์และลักษณะของการฝังศพครั้งที่สองจากแหล่งโบราณคดีทั้งสองแห่งที่อยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกันได้
สำหรับแอ่งสกลนคร พบภาชนะใส่กระดูกเฉพาะเด็ก เช่น บ้านเชียงยุคแรก ๆ นอกนั้นก็ไม่พบอีก ส่วนที่บ้านนาดีพบภาชนะพร้อมฝาปิดในการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งกำหนดอายุไว้ ๒๐๐ AD. หรือหลังจากนั้น ซึ่งดูเหมือนกับภาชนะในชีวิตประจำวัน จำนวน ๔ ใน ๕ ใส่ศพเด็ก ซึ่งมีพวกเครื่องประดับ เครื่องมือเหล็กอุทิศไว้ด้วย กรณีนี้ไม่ใช่การฝังศพครั้งที่สอง แต่เป็นการฝังศพเด็กในภาชนะครั้งแรก
สำหรับการกำหนดอายุของวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในแอ่งโคราช ในยุคเริ่มแรกน่าจะมีอายุไปถึง ๓๐๐ BC. ได้อย่างแน่นอน
ศาสตาจารย์นิตต้าขุดที่ทุ่งไหหิน ประเทศลาว เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นการขุดหลุมทดสอบรอบไหหินสองแห่ง มีภาพรูปมนุษย์แกะสลักอยู่ที่ไหหินใบหนึ่ง ชูมือขึ้นทั้งสองแขน ซึ่งเพิ่งพบนอกจากนี้มีภาพสัตว์ที่แกะบนแผ่นหินหรือฝาปิด บริเวณพื้นดินรอบ ๆ ไหหินพบหลุม ๗ หลุมขนาดราว ๆ ๒๐ เซนติเมตร มีแผ่นหินแบน ๆ ปิดอยู่ ภายในมีชิ้นส่วนกระดูกและฟันมนุษย์ซึ่งไม่ได้โดนเผาไหม้ หมายถึงเป็นการฝังศพครั้งที่สอง
ส่วนในอีกหลุมหนึ่งลึกจากผิวดินประมาณ ๕๐ เซนติเมตร มีแผ่นหินปิดหลุมกว้างราว ๓๖ เซนติเมตรและลึก ๖๐ เซนติเมตร พบภาชนะเนื้อดินขนาดใหญ่และสูงพร้อมฝาปิด ภาชนะปากกว้าง ๒๕ เซนติเมตร สูง ๖๐ เซนติเมตร ก้นแบน ตกแต่งผิวด้วยลายขีดเป็นรูปคดโค้ง เคลือบมันสีน้ำตาลเหมือนแลคเกอร์ พบชิ้นส่วนกระดูกอยู่ภายใน เป็นโครงกระดูกเพศหญิง ซึ่งไม่ร่องรอยการเผาไหม้ สภาพกระดูกในภาชนะดีมากทั้งที่อยู่ในสภาพดินที่เป็นกรด รวมทั้งพบมีดเหล็กและลูกปัดแก้วด้วย
ชั้นล่างสุดของไหหินนี้อยู่บนชั้นดินที่เป็นผิวของหลุมที่พบ หมายถึงไหหินนี้ร่วมสมัยกับหลุมการฝังศพครั้งที่สองหรือหลังจากนั้น นอกจากนี้ ยังพบเศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบและเครื่องประดับต่างหูดินเผาจากชั้นดินที่ต่ำกว่าชั้นการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งแสดงถึงทุ่งไหหินนี้เคยเป็นพื้นที่ในการอยู่อาศัยมาก่อนที่จะกลายเป็นสุสานหรือแหล่งฝังศพ
ที่ทุ่งไหหินนี้เป็นสุสานสำหรับการฝังศพครั้งแรกและการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังศพครั้งแรก การฝังศพครั้งที่สอง การฝังภาชนะหรือการขุดหลุมเกิดขึ้นรอบ ๆ ไหหิน ทุ่งไหหินนี้น่าจะใช้สำหรับเป็นสัญลักษณ์ของอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับพิธีศพของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่กล่าวมาแล้ว และมีความสืบเนื่องของการฝังศพครั้งที่สองในระยะต่อมา แต่ศาสตราจารย์นิตต้ากำหนดอายุการฝังศพครั้งที่สองและโบราณวัตถุที่พบ ว่าค่อนข้างต่างจากวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองจากเวียดนามและไทย ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงหลังมาก ๆ อาจจะล่วงเข้าจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๐ อย่างไรก็ตาม การขุดค้นครั้งนี้ไม่มีการกำหนดค่าอายุจากค่า C14
ซึ่งแตกต่างอย่างยิ่งจากการศึกษาของนักโบราณคดีฝรั่งเศส แมดเดอลีน โคลานี [Madeleine Colani] ที่สรุปว่า ไหหินเหล่านี้ทำขึ้นในยุคสำริด ในช่วงที่เธอศึกษาเมื่อราว ๗๐ ปีที่แล้ว ได้บรรยายถึงไหหินที่บ้านอัง [Ban Ang] มีอยู่ ๒๕๐ ใบ ประมาณ ๕๐ ใบ น่าจะเป็นส่วนของกลุ่มผู้นำเพราะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งอยู่ทางขอบด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกลุ่ม และส่วนที่เป็นฝาพบน้อยมาก ไหหินส่วนใหญ่ทำพอดีกับฝาปิด ส่วน Henri Parmentier อ้างถึงข้อมูลจากเอกสารของ Vinet เมื่อ ค.ศ.๑๙๐๙ ว่า การทำเพาะปลูกที่ทุ่งไหหิน “พวกคนโต ๆ ก็มองหาลูกปัดคาร์นีเลียน ซึ่งเอาไปขายได้ ส่วนเด็ก ๆ ก็หาพวกของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ” และสันนิษฐานถึงบางอย่างที่ใส่ในไหหินว่า ภาชนะสีดำ ขวาน เครื่องมือเหล็ก ลูกปัดแก้ว และลูกปัดคาร์นีเลียน ต่างหู กระดิ่งสำริด และชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ แต่การขุดค้นรอบ ๆ ไหหินของ Colani ไม่พบอะไรสำคัญแม้แต่เครื่องมือสำริดและเหล็กที่ใช้ในการแกะไหหินแกรไนต์เหล่านั้น พบเพียงต่างหูดินเผาทาสีเข้มรูปเรขาคณิต หอยเบี้ย เครื่องประดับสำริดและระฆัง ซึ่งก็สันนิษฐานเช่นเดียวกับ Parmentier ว่าใช้เพื่อการอุทิศให้ศพ
นอกจากนี้ Colani ยังเสนอข้อมูลที่น่าสนใจว่า ไหหินที่ทุ่งไหหินนี้น่าจะสัมพันธ์กับไหหินที่มีรูปแบบเดียวกันที่อินเดียเหนือซึ่งได้พบการใส่กระดูกมนุษย์ด้วย อีกทั้ง Colani ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมซาหวิ่น เพราะสิ่งของที่ฝังไว้เหมือนกับที่พบในทุ่งไหหิน และตามที่เธอคิดบริเวณทุ่งไหหินอยู่ในเส้นทางค้าเกลือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากซาหวิ่นชายฝั่งเวียดนามตอนกลางเข้าสู่หลวงพระบาง
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อมูลที่ขัดแย้งในเรื่องการกำหนดอายุ สิ่งที่ปรากฏในงาน Colani และศาสตราจารย์นิตต้า ไม่ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงรูปแบบสิ่งของวัตถุที่ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในเวียดนามและไทย แต่การฝังศพครั้งที่สองในไหหินอาจเกิดขึ้นในยุคเดียวกันก็เป็นได้แต่มีลักษณะล้าหลังกว่าในเขตที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่เช่นในแอ่งโคราชหรือบริเวณชายฝั่งเวียดนาม แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนกว่าก็คือ ผู้คนในระยะต่อมามองทุ่งไหหินนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จนทำให้เกิดความสืบเนื่องในการฝังศพครั้งที่สองสืบต่อมาในระยะหลังมาก ๆ จากการกำหนดอายุของศาสตราจารย์นิตต้าซึ่งเห็นว่าล่วงเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ทีเดียว
ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในเขตภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้หายไปจนไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด แต่ถูกปรับเปลี่ยนหลังจากเริ่มมีการรับวัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดียเข้าสู่ยุคสมัยประวัติศาสตร์ และนิยมการเผาศพ [cremation] เพื่อนำเพียงเถ้าหรือกระดูกใส่ในภาชนะรูปแบบต่าง ๆ ฝังไว้ตามฐานศาสนสถานแทนที่จะเป็นสุสานหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนดังแต่ก่อน นับเป็นการผสมผสานพิธีกรรมความเชื่อที่เข้ามาใหม่กับประเพณีรูปแบบเดิมที่ยังคงอยู่ เพราะวิธีคิดและโลกทัศน์ในการปฏิบัติระหว่าง การฝังศพ [burial] และ การเผาศพ [cremation] มีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิธีการเลือกรูปแบบของสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับชีวิตหลังความตาย แต่ขั้นตอนสุดท้ายในการฝังศพครั้งที่สองคือ การบรรจุกระดูกในภาชนะแล้วเก็บรักษาไว้ยังคงมีอยู่ ซึ่งวิธีปฏิบัติเช่นนี้พบทั่วไปในวัฒนธรรมแบบทวารวดีในไทย วัฒนธรรมของพวกพยูสมัยก่อนพุกามในพม่า และวัฒนธรรมของพวกจามในจามปาและฟูนันในเวียดนาม ในขณะที่วัฒนธรรมการฝังศพและการฝังศพครั้งที่สอง โดยเฉพาะในจีนตอนใต้ยังคงถือปฏิบัติและส่งผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ในพม่า ศรีเกษตร [Srikshetra] เป็นเมืองสำคัญของพวกพยู อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๕ – ๙ ตั้งอยู่ริมฝังแม่น้ำ อิรวดี ภายในเมืองมีการพบภาชนะใส่เถ้าและกระดูกหลายรูปแบบหลายขนาดตามเนินดินต่าง ๆ รวมทั้งพบภาชนะที่ทำจากทองแดงหรือหินอยู่บ้างแต่ไม่มากนักน่าจะใช้สำหรับพิธีศพของพวกชนชั้นนำ ซึ่งเห็นแน่ชัดจากไหหินสี่ใบที่พบใกล้กับเจดีย์ Payagy แต่ละใบมีจารึกสั้น ๆ เล่าเรื่องราชวงศ์เหล่านั้นและการตายอยู่ด้วย
ในวัฒนธรรมทวารวดี เราพบภาชนะบรรจุเถ้าหรือกระดูกที่โดนเผาไหม้อยู่ตามฐานสถูปหรืออาคารสำคัญทางพุทธศาสนา ในชุมชนโบราณที่สืบเนื่องจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์และเริ่มรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาในลุ่มน้ำมูน-ชีหลายแห่ง เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองนครจำปาศรี จังหวัดมหาสารคาม
การพบไหหินขนาดใหญ่ ฐานมีการแกะสลักลวดลายรูปกลีบบัวเพื่อบรรจุกระดูกจากเมืองนครปฐมโบราณ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงและร่วมสมัยกับภาชนะบรรจุกระดูกจากเมืองศรีเกษตรของพม่า และน่าจะเป็นของชนชั้นนำในสังคมเช่นเดียวกัน
ประเพณีการบรรจุภาชนะใส่กระดูกในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเทียบได้กับการฝังศพครั้งที่สองนี้ กระจายทั่วไปในวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเนื่องเรื่อยมาและพบเห็นได้จนถึงปัจจุบัน

การฝังศพครั้งที่สองที่ทุ่งกุลาร้องไห้
นอกจากการขุดค้นของ ดร.พรชัย สุจิตต์ และ ศ.นิตต้าที่โนนยาง บ้านเขวาโค้ง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และ ศ.นิตต้าที่แหล่งถลุงเหล็กขนาดอุตสาหกรรมบ้านดงพลอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งห่างโนนยางไปราว ๕๐ กิโลเมตร แต่อยู่ในเขตติดต่อกับทุ่งกุลา รวมทั้งการขุดค้นที่โนนเดื่อ บ่อพันขัน จังหวัดร้อยเอ็ดของ ศ.ไฮแอม ทำให้เห็นลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมของผู้คนในลุ่มน้ำมูน-ชีตอนกลาง นอกเหนือไปจากการสำรวจโบราณวัตถุที่พบบนผิวดิน เช่น งานของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดมและคณะ ในการสำรวจวิเคราะห์วัฒนธรรมลุ่มน้ำมูน-ชีตอนล่าง ดังนั้น การขุดค้นที่บ้านเมืองบัวของคุณสุกัญญา เบาเนิด ในทุ่งกุลาร้องไห้ครั้งนี้ นับว่าเพิ่มเติมความชัดเจนในเรื่องของวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการตายของผู้คนในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลที่เผยแพร่แล้ว ในการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านเมืองบัว คุณสุกัญญาสรุปว่ามีทั้งการฝังแบบเดิม [primary burial] คือฝังทั้งร่างกายและอุทิศสิ่งของให้ผู้ตาย แต่ก็ไม่พบส่วนแขน มือ และกะโหลก และสันนิษฐานว่าถูกทำลายไปแล้ว (โดยไม่ระบุชัดเจนสาเหตุที่ถูกทำลาย) โดยกำหนดอายุว่าอยู่ในช่วง ๑,๒๖๐+ -๕๒๐ BC.
และการฝังศพครั้งที่สอง [secondary burial] มีการนำโครงกระดูกมากกว่า ๑ โครงฝังรวมกัน เช่น โครงกระดูก ๓ โครงฝังทับซ้อนกัน ยกเว้นกะโหลกศีรษะที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และมีการอุทิศสิ่งของใส่ภาชนะรูปแบบต่าง ๆ แก่ผู้ตาย ส่วนบางโครงมีการครอบภาชนะทับศีรษะไว้ และบางส่วนหลุมพบเพียงชิ้นส่วนที่ปะปนกันไม่มีรูปร่างโครงกระดูกทั้งร่าง ซึ่งกำหนดอายุว่าอยู่ในช่วง ๖๐+-๒๖๐ BC.
ที่น่าสนใจคือ การพบภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สองจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงกัน เป็นภาชนะรูปทรงยาวก้นกลมวางในแนวนอน มีฝาปิดรูปทรงถาดและภาชนะทรงหม้อก้นกลมปิดที่ก้นด้วย บางกลุ่มมีการเรียงต่อกันของภาชนะขนาดยาวนี้หลายใบ ซึ่งน่าจะมีความหมายบางอย่าง ภาชนะบรรจุกระดูกที่ขุดพบนี้มีรูปแบบหลากหลาย และมักมีการวางภาชนะขนาดเล็กในบริเวณใกล้เคียงอาจใส่สิ่งของที่อุทิศให้กับผู้ตาย
แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการเสนอของคุณสุกัญญา เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ โดยยังไม่มีการตรวจสอบภายในภาชนะ หรือวิเคราะห์แสดงให้เห็นรูปแบบและองค์ประกอบของการวางของภาชนะอันหลากหลายนั้นอย่างเด่นชัด จนแม้กระทั่ง การเสนอความแตกต่างในวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในแต่ละชั้นวัฒนธรรม ซึ่งเห็นได้จากหลุมขุดค้นที่แสดงออกอย่างชัดเจนในปัจจุบัน
ในท้ายที่สุด ข้อเสนอของคุณสุกัญญาเห็นว่า ภาชนะขนาดใหญ่รูปทรงยาวเช่นที่เรียกกันทั่วไปว่า “แบบแคปซูล” ทั้งขนาดและรูปทรง “น่าจะสามารถบรรจุกระดูกได้ทั้งโครงโดยไม่ต้องชำแหละออกเป็นส่วน ๆ” ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเป็นการฝังแบบครั้งที่สอง [secondary burial] เสมอไป และภาชนะแบบแคปซูลนี้ จึงมีหน้าที่ใช้งานแทนโลงศพ [coffin]
การสรุปเช่นนี้อาจจะเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม สามารถเปลี่ยนแปลงแนวความคิดใหม่ได้ หากพิจารณาโดยลักษณะของการศึกษาเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำมูนตอนปลาย หรือแม้แต่วัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่ได้ยกตัวอย่างข้างต้น
สิ่งที่อยากจะเสนอจากการพิจารณาหลักฐานที่ปรากฏในหลุมขุดค้นของคุณสุกัญญาก็คือ
๑. ตั้งแต่ชั้นดินเริ่มแรกของแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวเป็นการฝังศพครั้งที่สองแล้ว ในการพบโครงกระดูกที่ฝังแบบเหยียดยาว แต่แขน ข้อมือ และกะโหลกศีรษะหายไป แสดงให้เห็นการฝังศพครั้งแรกที่มีการรอมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วขุดเพื่อนำชิ้นส่วนกระดูกจากหลุมฝังศพนั้นมาทำการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งคล้ายคลึงกับโครงกระดูกที่มีการฝังร่างทับซ้อนกัน แต่เน้นในการเรียงศีรษะอย่างเป็นระเบียบ หรือบางโครงที่มีการใช้ภาชนะคุลมหน้าเอาไว้ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับข้อสังเกตจากศ.นิตต้า ซึ่งขุดค้นที่โนนยางและดงพลองที่อยู่ไม่ไกลไปนักว่า มีการให้ความสำคัญกับศีรษะเป็นพิเศษ และพบเพียงกะโหลกในภาชนะใส่กระดูกในการฝังศพครั้งที่สอง
ค่าอายุแรกอาจจะมากเกินไป แต่ค่าอายุในช่วง ๖๐ BC.+-๒๖๐ ก็สามารถยอมรับได้เพราะเป็นอายุที่ใกล้เคียงหรือร่วมสมัยกับวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งเทียบกับค่าอายุที่บ้านดงพลอง โนนยาง บ้านก้านเหลือง หรือแม้แต่ชุมชนในวัฒนธรรมซาหวิ่นทางตอนกลางและตอนใต้ของเวียดนาม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมในยุคเหล็กหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
๒. การฝังศพซึ่งผู้ขุดค้นเข้าใจว่า อาจจะบรรจุร่างกายที่สิ้นชีวิตของมนุษย์ทั้งร่างในภาชนะทรงแคปซูลหลายใบต่อกัน เป็นสิ่งที่ผิดวิสัยของประเพณีการฝังศพในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะการฝังศพครั้งแรกในภาชนะพบเพียงการฝังศพทารกเท่านั้น เช่น ที่บ้านนาดีหรือบ้านเชียง และแม้ภาชนะจะมีความหนามาก แต่คงไม่สามารถทนกับร่างกายมนุษย์ที่เริ่มอืดบวมและกำลังเน่าเปื่อย ของเหลวในร่างกายจำนวนมากจะระบายออกจากรูที่พบในภาชนะได้หมดหรือไม่ และหากเป็นจริงไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาชนะนั้นจะมีสภาพปริพังหรือเปื่อยยุ่ยเพียงใด ส่วนการชำแหละศพเป็นชิ้นส่วนเพื่อใส่ในภาชนะการฝังศพครั้งที่สองนั้นก็ไม่จำเป็น เพราะจากการศึกษาเปรียบในวัฒนธรรมของชาวจีนที่ยังคงฝังศพครั้งที่สองกันอยู่ ต้องใช้เวลาราว ๓-๔ ปี ในการกลับไปขุดหลุมศพนั้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด โดยที่เนื้อตัวของผู้ตายยังอาจจะไม่ย่อยเปื่อยทั้งหมด ดังนั้น การเสนอว่าเป็นการฝังศพครั้งแรกในภาชนะขนาดใหญ่ ก็เป็นเรื่องที่กระโดดไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก โดยไม่อาจหาบริบทใดมารองรับ
๓. ชั้นวัฒนธรรมที่เห็นปรากฏชัดเจนว่ามีรูปแบบของภาชนะในประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ๒ ระยะ และมีรูปแบบภาชนะที่ต่างกัน ชั้นแรก คือการฝังภาชนะทรงกลมก้นกลม มีฝาปิดเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมฝังในแนวตั้ง ระดับต่ำกว่าการฝังภาชนะในชั้นต่อมาค่อนข้างมาก หลังจากนั้นพบความหลากหลายของภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองมากมาย และเปลี่ยนรูปแบบของภาชนะไปอย่างสิ้นเชิง แต่ลักษณะเด่นคือภาชนะรูปทรงรียาวขนาดใหญ่ปากกว้างเหมือนที่เรียกกันทั่วไปว่า แบบแคปซูล การฝังก็วางนอนขนานกับพื้นดินเพราะคงไม่สามารถตั้งขึ้นได้เนื่องจากก้นรีมน ส่วนใหญ่ต่อกันราว ๒ ใบหรือมากกว่า และมีฝาปิดคล้ายภาชนะรูปอ่างครึ่งวงกลมและเป็นภาชนะรูปหม้อทรงกลม ซึ่งน่าแปลกที่ใช้ปิดทั้งหัวและท้าย วิธีการปฏิบัติและรูปแบบภาชนะในการฝังศพครั้งที่สองเช่นนี้ในระดับชั้นวัฒนธรรมนี้ ไม่เคยพบจากการขุดค้นที่ใดมาก่อน แม้ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งบ้านก้านเหลืองที่อยู่ปลายลำน้ำมูน หรือที่โนนยางซึ่งก็อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก น่าสนใจที่จะถอดรหัสแปลความหมายจากการปฏิบัติเช่นนี้อย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีภาชนะที่ฝังในแนวตั้งรูปทรงกระบอกขนาดใหญ่ ปากกว้างกระจายแทรกอยู่ในชั้นวัฒนธรรมนี้ด้วย
และจากการข้อมูลของคุณสุกัญญา ซึ่งสำรวจแหล่งโบราณคดีทั้งหมดในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ พบภาชนะเช่นนี้อยู่หลายแห่ง ทั้งพบรูปแบบภาชนะอื่น ๆ รูปแบบฝาปิดอื่น ๆ เช่น แบบฝาแบนขนาดใหญ่มีหูจับด้านบน แบบฝาเป็นรูปคล้ายหมวกกะโล่ จึงน่าจะยอมรับได้ว่า นี่เป็นวัฒนธรรมเด่นของพิธีกรรมการฝังศพเฉพาะในเขตทุ่งกุลา
แม้ประเพณีเกี่ยวกับความตายที่เป็นการฝังศพครั้งที่สองในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ จะเป็นวัฒนธรรมเด่นของผู้คนในแถบนี้ก็ตาม แต่รายละเอียดรวมถึงรูปแบบและลักษณะของภาชนะกลับแตกต่างและมีความหลากหลาย แสดงถึงรูปแบบที่เปลี่ยนแปร [variation] ของการใช้รูปแบบภาชนะในทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งแม้จะอยู่ในภูมิประเทศและและพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกันและมีลักษณะเฉพาะของชุมชนที่อาจแสดงถึงความเป็นคนกลุ่มเดียวกันอยู่มาก แต่ก็ยังเห็นถึงความหลากหลายในการเลือกใช้รูปแบบภาชนะในพิธีการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งยังต้องค้นคว้ากันอีกมากว่า ความหลากหลายนี้เป็นอย่างไร
ส่วนชั้นดินที่ไม่ถูกพูดถึงเลยคือ ชั้นดินด้านบนสุดซึ่งไม่ห่างจากชั้นดินในวัฒนธรรมการฝังศพครั้งที่สองในภาชนะแบบแคปซูล ซึ่งเป็นชั้นดินที่พบเศษภาชนะดินเผาแบบทุ่งกุลาหรือที่เรียกว่าแบบร้อยเอ็ดที่มีสีขาวนวลเนื้อดินสีขาวบางแกร่ง ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบส่วนมากเขียนขอบปากสีแดงเป็นลวดลายเรขาคณิต อันเป็นภาชนะแบบพิเศษที่พบเฉพาะในบริเวณทุ่งกุลา ปะปนกับเศษภาชนะเนื้อแกร่งเคลือบน้ำตาลในวัฒนธรรมลพบุรี ที่สัมพันธ์กับกู่เมืองบัวหรือศาสนาสถานเนื่องในวัฒนธรรมขอมที่ตั้งไม่ห่างนัก
๔. จากหลุมขุดค้นไม่พบโบราณวัตถุอื่น ๆ และไม่มีการเสนอข้อมูลโบราณวัตถุที่ชาวบ้านพบหรือพบบนผิวดินเท่าใดนัก ทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาเปรียบเทียบ [typology] วัตถุทางวัฒนธรรมได้ดี สิ่งที่น่าสังเกต คือ มีการทำกำไลดินเผาที่เลียนแบบกำไลสำริด คล้ายที่พบที่บ้านก้านเหลืองและลูกปัดกลมทำด้วยดินเผาจำนวนมาก พบเครื่องมือเหล็ก ขวานสำริด และเครื่องประดับสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินคาร์นีเลียนและอาเกตเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชุมชนนอกเขตทุ่งกุลาอื่น ๆ ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในทุ่งกุลาร้องไห้คงไม่ใช่พื้นที่ซึ่งร่ำรวยแต่อย่างใด และไม่ใช่ชุมชนเนื่องในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเกลือและเหล็กซึ่งเกิดขึ้นอย่างมากมายในระยะนี้ จึงไม่มีวัตถุทางวัฒนธรรมเหมือนกับชุมชนเช่นบ้านก้านเหลืองที่อยู่ในเขตปลายลำน้ำมูนและอยู่ในระหว่างเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อชุมชนภายนอกใกล้เขตชายทะเล [hinterland] กับชุมชนภาคพื้นภายใน [inland]
ชุมชนในท้องทุ่งกุลาร้องไห้ จึงเป็นเขตล้าหลังทางวัตถุวัฒนธรรม ไม่มีสิ่งของมีค่าจากแดนไกล ไม่สามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้โลหะได้มากมาย แต่กลับมีความหลากหลายและมีสีสันของความเคลื่อนไหวทางประเพณีพิธีกรรม ที่เห็นได้จากประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนชุมชนอื่น ๆ นอกทุ่งกุลาออกไป
และสิ่งเหล่านี้คือตัวตนของวัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในทุ่งกุลา
สรุป
ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองในแหล่งวัฒนธรรมสำคัญของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีช่วงอายุใกล้เคียงกัน และมีความสัมพันธ์ในรูปแบบทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน โดยมีการติดต่อกันในเส้นทางเดินทางที่สำคัญจากชายฝั่งทะเลสู่ภายในแผ่นดิน
เส้นทางสันนิษฐานหลักคือ การเดินทางตามแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม เส้นทางบกที่ตัดตรงออกไปสู่ชายฝั่งทะเลในเวียดนามตอนกลางน่าจะสะดวกกว่า อาจเป็นเส้นทางติดต่อระหว่างชุมชนในวัฒนธรรมซาหวิ่น วัฒนธรรมดองซอน กับเขตแอ่งโคราช โดยเฉพาะจากลุ่มน้ำมูนตอนปลายเข้าสู่เขตอีสานใต้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของการทำพิธีประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง
ส่วนในภาคกลางฟากตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พบวัตถุทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม โกมึน ฟุงเหวียน ดองซอน และซาหวิ่น จากเวียดนาม น่าจะมีการติดต่อระหว่างนักเดินทางทางทะเลเลียบชายฝั่งกับชุมชนที่อยู่ภายในแผ่นดิน แต่บริเวณนี้ เราไม่พบการฝังศพครั้งที่สองในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายแต่อย่างใด
สำหรับพื้นที่ในการฝังศพครั้งที่สอง ที่พบการใช้พื้นที่เดิมในเนินดินเดิม มักจะอยู่ในเขตเฉพาะส่วนส่วนใดส่วนหนึ่งของชุมชน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีของทุ่งไหหินที่ยังคงมีการฝังศพครั้งที่สองเรื่อยมารอบ ๆ ไหหินเหล่านั้นจนเข้าสู่ช่วงสมัยประวัติศาสตร์แล้ว ส่วนในเขตแอ่งโคราชหรือในเขตทุ่งกุลา การฝังศพครั้งที่สองพบตั้งแต่ชั้นดินแรกเริ่มในการตั้งถิ่นฐานและยังคงสืบเนื่องเรื่อยมาอีกหลายระยะ การใช้พื้นที่เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นความเชื่อในพลังของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนในสังคมให้ความนับถือร่วมกัน และตอกย้ำว่าพวกเขาเคยเป็นใครมาก่อน โดยการอ้างอิงหลุมฝังศพเดิม ๆ ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความต่อเนื่องทางและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อาจเป็นการบอกเล่าเรื่องราวแบบมุขปาฐะ [oral tradition] ที่ส่งผ่านสืบต่อกันมา
วิธีการฝังศพครั้งที่สอง ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการโลกทัศน์และการให้ความสำคัญแก่กลุ่มเครือญาติหรือกลุ่มคนที่เป็นสายตระกูลเดียวกัน เพราะคงต้องมีการรวมญาติเพื่อที่จะมีการขุดหลุมศพผู้ตายนำไปประกอบพิธีกรรมอย่างประณีต โดยคัดเลือกทำความสะอาดกระดูก บรรจุไว้ในภาชนะที่มีรูปแบบเฉพาะกลุ่ม พร้อมทั้งสิ่งของมีค่า เครื่องประดับ ข้าวปลาอาหาร เพื่อให้วิญญาณผู้ตายได้เดินทางไปสู่โลกหลังความตายอย่างสมบูรณ์ และอาจวิเคราะห์ได้อีกว่า เป็นการประกาศถึงตัวตนของผู้ที่ยังอยู่ว่าตนมีเถือกเถาเหล่ากออย่างไร เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในสายตระกูลใด ซึ่งถือเป็นการประกาศสิทธิอำนาจและทรัพย์สินที่สืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษให้กับสมาชิกในสังคมได้รับรู้ และยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเป็นท้องถิ่นหรือความเป็นชุมชนร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างพลังในการบูรณาการให้เกิดขึ้นแก่สังคมอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเห็นตัวอย่างได้ชัดในสังคมจีน ที่ประเพณีการฝังศพครั้งที่สองเป็นสิ่งสำคัญของสังคมแบบวงศ์ตระกูล [clan society] ดังนั้น สังคมที่มีประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง จึงมีความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมอยู่มาก
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร. โบราณคดีเขื่อนปากมูล บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด กรุงเทพฯ ๒๕๓๕
สุกัญญา เบาเนิด. วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้ ทุ่งกุลา อาณาจักรเกลือ ๒,๕๐๐ ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลัง ถึงยุคมั่งคั่ง ข้าวหอม สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพฯ, ๒๕๔๖
_______. ความตาย/ความเชื่อ/พิธีกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้จากหลักฐาน ทางโบราณคดีกุลาร้องไห้ ทุ่งกุลา อาณาจักรเกลือ ๒,๕๐๐ ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลัง ถึงยุคมั่งคั่งข้าวหอม สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพฯ, ๒๕๔๖
Eiji Nitta. Comparative Study on the Jar burial tradition in Vietnam, Thailand and Loas Historical Science Reports of Kagoshima University Vol.43, July 1996.
Russell Ciochon and Jamie James. Laos Keeps its Urns http: // www.uiowa.edu/ ~bioanth /laoskeep.html, 3/2/2003
コメント