เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549

ทุ่งนาและป่าตาลที่บ้านสวนในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี
ทุกวันนี้รัฐไทยและการเมืองไทยบ้าเห่อกันในเรื่องพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจนแลไม่เห็นคน เพราะเวลาพูดกันทีไรก็มักเอาเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง จนทำให้เห็นว่าคนในทุกท้องถิ่นเป็นคนจนไปหมด จึงทำการขึ้นทะเบียนคนจนกันเป็นการใหญ่ ความคิดเช่นนี้และการดำเนินการใด ๆ เช่นนี้ จึงกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงในชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในประเทศ เพราะแม้ว่าขณะนี้ผู้คนพลเมืองจะถึงกว่า ๖๐ ล้านคนแล้วก็ตาม แต่พื้นที่ทำกินและการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยยังมีอยู่เหลือเฟือเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศส่วนใหญ่ในโลก
แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์มีความหลากหลายทางชีวภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณว่า สุวรรณภูมิ ดึงดูดผู้คนมากหลายเผ่าพันธุ์ทั้งใกล้ไกลและโพ้นทะเลเข้ามาตั้งถิ่นฐานเกิดเป็นรัฐเป็นอาณาจักรมานับพันปี แม้กระทั่งปัจจุบันผู้คนในประเทศไทยต่างอยู่ดีกินดี โดยเฉพาะกินนั้นมีอาหารเหลือเฟือ กินกันอย่างไม่มีกาลเทศะเอาทีเดียว
แต่ทุกวันนี้ เมืองไทย ประเทศไทย เกิดภาวะวิบัติ อันเนื่องมาจากคนที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองในประเทศและภัยที่มาจากธรรมชาติ ภูมิภาคที่ยับเยินเสียหายมากที่สุดในขณะนี้คือ ภาคใต้ โดยเฉพาะสามจังหวัดภาคใต้ทางฝั่งอ่าวไทยและจังหวัดทางฝั่งอันดามัน ภัยพิบัติที่มาจากคนที่เป็นอมนุษย์นั้นเหลือหลายและต่อเนื่อง เพราะถูกครอบงำล้างสมองด้วยแนวคิดวัตถุนิยมแบบตะวันตกที่ใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชั่วร้าย ขาดศีลธรรม เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะตัวและพรรคพวก ความชั่วร้ายของเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีนั้น อยู่ที่พยายามสร้างคนให้เป็นปัจเจก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดความเป็นมนุษย์ มีความโลภและแสวงหาความสำเร็จทางวัตถุธรรมอย่างไม่รู้จบและพอเพียง จึงก่อให้เกิดการบุกรุกและยึดครองพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติที่ผู้คนในท้องถิ่นอยู่ร่วมกันอย่างเป็นกลุ่มเหล่าตามธรรมชาติของมนุษย์ในระบบเศรษฐกิจที่มีความพอเพียง
ภัยพิบัตินี้แผ่ไปแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยกระบวนการทำลายทั้งระดับบนและระดับล่าง จากระดับบนก็คือ ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ในรัฐบาลคือนักธุรกิจการเมืองชักจูงคนนอกประเทศมาลงทุนในด้านอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรม จนทำให้แทบทุกภูมิภาคกลายเป็นแหล่งเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมไปทั่ว ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่เคยอุดมสมบูรณ์เลี้ยงผู้คนในท้องถิ่นมาอย่างยั่งยืนและพอเพียงก็หดหาย ถูกคนต่างถิ่นทั้งภายในและภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานและแย่งชิง ผู้คนจากภายนอกแต่ละกลุ่มเหล่าที่เข้ามานี้ มักมาอย่างถูกกฎหมายของบ้านเมือง เข้ามาตั้งตัวเป็นนายทุนเป็นเจ้าพ่อ โดยเฉพาะที่มาจากต่างชาตินั้น อาจพูดได้เลยว่า มาอย่างผู้ชนะ ผู้มาโปรดสัตว์ โดยที่คนในท้องถิ่นกลายเป็นคนงานเป็นทาสติดที่ดินก็ว่าได้
การหลั่งไหลเข้ามาของคนจากภายนอกนั้นอาจพูดได้ว่า ไม่เคยมีการกลั่นกรองและปรับเปลี่ยนให้เข้าใจและเคารพกติกาทางจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นเลย เป็นไปอย่างรวดเร็ว จนพูดอย่างคร่าว ๆ ได้เลยว่า อัตราการเพิ่มประชากรของคนในประเทศไทย จากแต่ก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีราว ๒๐ ล้านคน มาเป็นกว่า ๖๐ ล้านคนนั้น เป็นการเพิ่มจากคนที่มาจากข้างนอกมากกว่าจากอัตราเกิดของผู้คนภายใน
ส่วนในระดับล่างที่เป็นรากหญ้านั้น ระบบเศรษฐกิจการเมืองทุนนิยมเสรีได้อบรมและเปลี่ยนแนวคิดคนรุ่นใหม่หรือคนที่มีหัวก้าวหน้าในท้องถิ่นให้เกิดเป็นนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบบรรดาพี่น้องและเพื่อนร่วมถิ่นร่วมบ้านกันอย่างมโหฬาร คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงอำนาจของรัฐด้วยการสมัครเลือกตั้งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และ อบจ. กันอย่างมากมาย จนทำให้องค์กรท้องถิ่นที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่เคยมีมาแต่เดิมล่มสลายไปหมด
แต่ภาคใต้ก็ได้รับภัยพิบัติจากธรรมชาติซ้ำเติม เช่น เกิดกรณีน้ำท่วม เกิดความเสียหายทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยเฉพาะภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิทางฝั่งอันดามันนั้น ใหญ่หลวง จนเกินกำลังของคนท้องถิ่นจะฟื้นฟูตัวเองได้ เพราะนอกจากเสียชีวิตลูกหลานญาติพี่น้องและมิตรสหายแล้ว ยังสูญเสียบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและเครื่องมือทำกินตลอดจนทรัพย์สินนานาประการ แต่ที่เลวร้ายและโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติของคนไทยก็คือ บรรดานายทุนผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองเหล่านั้นได้ฉวยโอกาสเข้ายึดที่ดินที่เคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของบรรดาชาวบ้านชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นอย่างถูกกฎหมายแต่ไร้ศีลธรรม เพราะอาศัยหลักฐานกรรมสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ของชาวบ้านเป็นเครื่องมือจึงเป็นที่คาดคะเนได้ว่า จะมีผู้คนชุดใหม่รวมทั้งพันธุ์ใหม่เข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนที่คนเก่า ๆ ที่จะกลายเป็นคนยากไร้ขาดที่พึ่งที่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนบรรดาชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือ พวกที่เป็นชาวเล ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานและหากินในทะเลแบบเร่ร่อนตามฤดูกาลเป็นพวกที่มีหลักฐานทางกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่สมบูรณ์ จึงถูกโกงถูกแย่งและขับไล่ แม้แต่ที่ดินแหล่งฝังศพที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชุมชนที่สืบมาช้านานก็ยังถูกแย่งชิง
ยิ่งกว่านี้ บรรดาชาวบ้านต่างถิ่นที่ประสพภัยพิบัติเหล่านี้ยังถูกโกงและถูกแย่งชิงซ้ำสอง โดยบรรดาอมนุษย์อีกประเภทหนึ่งที่หากินกับเงินและสิ่งของบริจาคที่บรรดาผู้มีจิตกุศลทั้งจากในและนอกประเทศช่วยเหลือมาอย่างท่วมท้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าสิ่งของบริจาคเหล่านั้นหาได้ถึงบุคคลที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ไม่ เพราะเป็นสภาพและสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าเห็นมาด้วยตนเอง โดยเฉพาะโครงการช่วยเหลือที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบางกลุ่ม เช่น มูลนิธิชุมชนไท มูลนิธิปูนซีเมนต์ และสยามมิชลิน ที่นอกจากช่วยเหลือในเรื่องเงินทองแล้ว ก็ยังจัดหาเครื่องใช้สิ่งของและวัสดุในการสร้างบ้าน ต่อเรือ ลงไปให้ โดยไม่ให้องค์กรหรือผู้รับเหมาใด ๆ ไปทำให้ หากให้บรรดาชาวบ้านได้ช่วยกันทำเอง ซึ่งนับเป็นการฟื้นฟูชีวิตการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะทางสังคมกลับคืนมา มีการแบ่งงานกันทำ ทั้งบรรดาผู้รู้ที่เป็นผู้อาวุโส คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวและเด็กต่างก็มีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ความรู้ความสามารถภูมิปัญญาเดิมกลับคืนมาเพื่อถ่ายทอดไปให้คนรุ่นหลัง เกิดความมั่นใจและภูมิใจในตนเอง รวมทั้งได้รับผลดีอย่างเต็มที่เพราะสิ่งที่ช่วยกันสร้างและทำขึ้นมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เข้ากันกับความเคยชินและวิถีชีวิตที่มีมาแต่เดิม เกิดสติปัญญาที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาหาสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย อย่างเช่นที่ ชุมชนทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าของคนมอแกน ในเขตอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และ บ้านเกาะปู ของชาวประมงมุสลิมในเขตจังหวัดกระบี่ เป็นต้น

ภูมิทัศน์ของบ้านเกาะปู ในจังหวัดกระบี่
ที่บ้านทับตะวันของคนมอแกนนั้น บ้านเรือนที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนดูโอ่โถง สบายน่าอยู่กว่าบรรดาบ้านชั้นเดียวที่เกิดจากการก่อสร้างของผู้รับเหมาที่เป็นโครงสร้างคอนกรีตติดพื้นดิน ซึ่งอาจถูกรบกวนจากน้ำท่วมเอ่อขังในเวลาฝนตกได้ เป็นบ้านมีใต้ถุน ฝาเป็นฝาขัดแตะใช้ไม้ไผ่ทำเป็นลายสองลายสามแบบเครื่องจักสาน ซึ่งดูสวยงามดี แต่ที่สำคัญก็คือ ทำให้ไม่ร้อนเพราะมีการระบายอยู่ในตัวเอง เกิดกระบวนการเข้าอยู่อาศัยไปในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องรอให้สร้างเสร็จเสียก่อน และในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ต่อเติมหรือเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่กินและอยู่อาศัยภายในครัวเรือน โดยเฉพาะการจัดพื้นที่รอบ ๆ บ้านในเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หรือเพื่อพักผ่อนและทำงานจักสานเครื่องมือในการประมง นับเป็นการฟื้นฟูชีวิตครอบครัวไปในเวลาเดียวกัน
ที่บ้านทุ่งหว้าชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่ายมากมาย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่และนักวิชาการในด้านต่าง ๆ เข้าไปให้คำแนะนำและปรึกษาด้วย ทำให้เกิดการสร้างบ้านเรือนของชุมชนที่มีรูปแบบและแผนผังได้ดีกว่าที่อื่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือในเรื่องไม้และวัสดุที่นำมาก่อสร้าง การที่ทำให้ชาวบ้านเป็นผู้สร้างบ้านเรือนของตนเองนั้น นอกจากจะได้บ้านช่องที่เข้ากันได้กับชีวิตวัฒนธรรมที่สืบเนื่องมาแต่เดิมแล้ว ยังทำให้เกิดภาพพจน์และสำนึกในเรื่องความเสมอภาคของผู้คนในชุมชนอีกด้วย เพราะบ้านแต่ละบ้านมีขนาดและรูปแบบเหมือนกัน ไม่มีใครดี ใหญ่โต หรือมีอะไรพิเศษกว่ากัน ดูแล้วแลเห็นความเป็นหมู่สัตว์สังคมของผู้คน ไม่ใช่การมีรูปแบบและขนาดที่แตกต่างกันอย่างในชุมชนของบ้านเมืองทั่วไปในปัจจุบัน นับได้ว่ามีผลทำให้เกิดสำนึกของชุมชนและสำนึกความเสมอภาคระหว่างกันขึ้น ซึ่งก็จะมีผลนำไปสู่การสร้างกลุ่มและการเชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มในทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งภายในและภายนอกชุมชน
ทั้งบ้านทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าต่างก็เป็นชาวเล หรืออีกนัยหนึ่ง คนมอแกน เหมือนกัน มีความรู้จักมักคุ้นกันในทางสังคมและวัฒนธรรมเพราะเป็นคนในชาติพันธุ์เดียวกัน ที่แล้วมาความเป็นชุมชนท้องถิ่นของคนเหล่านี้อยู่ในขั้นล่มสลายกว่าชุมชนของคนชาติพันธุ์กลุ่มอื่น อันเนื่องมาจากโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดความอ่อนแอท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง
ที่สำคัญก็คือ คนเหล่านี้มีพื้นฐานจากการมีชีวิตที่ร่อนเร่ ย้ายถิ่นฐานไปตามฤดูกาลในการประกอบอาชีพหาปลาและสัตว์น้ำในทะเล ทำให้เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจายกันอยู่ในพื้นที่ชายทะเลที่ห่างกันจนไม่สามารถติดต่อถึงกันได้ในเวลาปรกติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่จังหวัดพังงาไปจนถึงจังหวัดภูเก็ตนั้น รวมแล้วมีคนมอแกนไม่ถึงหมื่นคน บ้างอยู่ชายทะเล บ้างอยู่เกาะ ซึ่งถ้าหากจะมีการพบปะกันก็นาน ๆ ที ในยามงานนักขัตฤกษ์เท่านั้น
จุดอ่อนของคนมอแกนคือ การไม่อยู่ติดที่อย่างถาวรและการมีอาชีพจับปลาที่ทำให้มีวิถีชีวิตกึ่งร่อนเร่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ปรับตัวไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในสังคมใหญ่ที่เป็นสังคมของคนที่อยู่ติดที่ ทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เหตุนี้ภายหลังคลื่นยักษ์สึนามิจึงอยู่ในสภาพที่ถูกแย่งทั้งที่อยู่อาศัย ที่ฝังศพ แหล่งพิธีกรรม รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่เคยจับสัตว์น้ำอย่างเป็นอิสระ
เพราะบัดนี้ ได้มีบริษัทนายทุนเข้าไปรุกล้ำ อ้างเอกสารสิทธิ์ แสดงโฉนดน้ำและสัมปทานพื้นที่ในทะเล จนคนมอแกนไม่อาจเข้าไปจับปลากันได้ เพื่อมองภาพโดยรวมของชีวิตวัฒนธรรมของคนมอแกนแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่อ่อนแอ ไม่มีศักยภาพเพียงพอกับการปรับตัวเข้าสู่ภาวะทางสังคมเศรษฐกิจในยุคใหม่ที่มุ่งหน้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลาอย่างรวดเร็วได้ สังคมแบบเผ่าพันธุ์และกึ่งร่อนเร่เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยาจากบุคคลและองค์กรเพื่อการกุศลจากภายนอก มาช่วยเหลือและประคับประคอง
ตัวอย่างของการที่มีเอกชนและองค์กรจากหลายๆ ฝ่ายเข้าไปช่วยพัฒนาที่อยู่อาศัยที่บ้านทับตะวันและบ้านทุ่งหว้าที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ทั้งในด้านศีลธรรมและฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ของคนมอแกน ในด้านศีลธรรมก็คือเป็นการเข้าไปช่วยเหลือให้ถึงตัวผู้ด้อยโอกาสและยากไร้โดยไม่ยักยอกถ่ายเทเงินทุนหรือสิ่งของช่วยเหลือไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก อย่างที่บุคคลหลายกลุ่มเหล่าที่มือถือสากปากถือศีลทำกันอยู่ทุกวันนี้
ส่วนเรื่องฟื้นฟูความเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การช่วยเหลือให้คนมอแกนได้ร่วมกันสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและเรือจับปลาด้วยตนเอง เพราะจะทำให้ได้สิ่งที่ตนต้องการในชีวิตความเป็นอยู่แบบตนเองอย่างเต็มที่และเกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเองและสิ่งที่ตนได้ทำขึ้นมา แต่ที่สำคัญก็คือ การร่วมแรงร่วมใจกันทำเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ สิ่งเช่นนี้คือ พื้นฐาน [Basic] ที่สำคัญของการเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีศีลธรรม หาใช่สัตว์ปัจเจกที่รอให้คนอื่นทำให้ หรือกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องอย่างผิดศีลธรรม
เหนือขึ้นไปจากนี้นั้น การฟื้นฟูชุมชนที่บ้านทับตะวันและทุ่งหว้า ก็คือการช่วยให้คนมอแกนเปลี่ยนแปลงจากความคิดและประเพณีเดิมแบบกึ่งร่อนเร่มาเป็นสังคมแบบติดพื้นที่ [Sedentary Society] ที่มีขีดความสามารถในการปรับตัวเข้าสู่สังคมเกษตร-อุตสาหกรรมให้ในกระแสโลกาภิวัตน์ได้
ข้าพเจ้าเห็นว่า การทำให้คนได้มาร่วมแรงกันสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยและเครื่องมือทำกินดังกล่าวนี้ คือ พื้นฐาน [Basic] สำคัญของการทำให้เกิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งมนุษย์ทุกชนชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ ได้เคยมีมาโดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ หากได้ถูกทำลายจากการเป็นสัตว์กลุ่มที่ว่านี้โดยกระบวนการการอบรมและชักนำจากภายนอกในเรื่องเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่มักเน้นความสำคัญอยู่ที่การเป็นปัจเจกเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ในที่นี้จึงขอใช้คำอย่างหยาบคายว่า เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เป็นที่ฮือฮาและตามก้นตะวันตกในเมืองไทยขณะนี้คือเศรษฐกิจเดรัจฉาน
ความครอบงำของเศรษฐกิจเดรัจฉาน มักจะมากับการขยายความเป็นเมือง [Urbanization] และการขยายตัวทางอุตสาหกรรม [Industrialization] ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งประเทศ ผลที่ตามมาคือ สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และผู้คนในท้องถิ่นถูกทำลายอย่างยับเยิน การฟื้นฟูนั้นจำเป็นต้องทำพื้นฐาน [Basic] ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์กลุ่มให้คืนมา แต่ทว่าการฟื้นฟูเช่นนี้ไม่ใช่ง่าย เพราะมนุษย์แต่ละกลุ่มเหล่ามีชีวิตวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บางกลุ่มอ่อนแอ บางกลุ่มเข้มแข็ง อย่างเช่น คนมอแกนเป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมที่อ่อนแอ ก็ต้องมีการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องดังเช่นที่บ้านทับตะวันและทุ่งหว้าที่กล่าวมานี้ ในขณะที่คนกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มคนมุสลิมและกลุ่มคนไทย-จีน จะมีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมมากกว่า
กลุ่มคนไทย-จีนจะไม่พูดถึงในที่นี้ เพราะหลายคนหลายกลุ่มปรับตัวเข้ากับสังคมอุตสาหกรรมในระบบทุนนิยมเสรีได้ดีและกำลังกลายพันธุ์ไปเป็นเดรัจฉานที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของคนในกลุ่มอื่น ๆ ในขณะนี้ แต่จะพูดถึงกลุ่มคนมุสลิมที่นับเป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในภาคใต้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน
สังคมมุสลิมเป็นสังคมแบบประเพณีที่มีความเข้มแข็งสูงกว่าคนในหลาย ๆ สังคมทั้งในประเทศไทยและในโลก ความเข้มแข็งอยู่ที่สำนึกและศรัทธาในพระศาสนาที่ทำให้คนต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค ความพอใจในชีวิตแบบเสมอภาคเรียบง่ายตามประเพณีทำให้สังคมมุสลิมมีวิถีทางสังคมเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนมาโดยตลอด จึงทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้น เมื่อมีภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจจากภายนอกที่คุกคามถิ่นกำเนิดของตนให้ปรับเปลี่ยนเป็นเมืองและสังคมอุตสาหกรรม ดังเช่นในบริเวณสามจังหวัดภาคใต้ทางฝั่งอ่าวไทยในขณะนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าตราบใดที่คนในสังคมส่วนใหญ่ของประเทศไทยเอาความคิดและวิถีการพัฒนาในสังคมมนุษย์ในพื้นที่ซึ่งกล่าวมานี้ ไปทำให้เกิดสังคมเมืองและสังคมอุตสาหกรรมแบบตะวันตกเช่นทุกวันนี้ ความขัดแย้งและความรุนแรงก็นับวันแต่จะเพิ่มพูนขึ้น
ทางฝั่งอันดามันข้าพเจ้าแลเห็นความเข้มแข็งของคนมุสลิมในการฟื้นฟูตนเองจากภัยพิบัติสึนามิ ที่บ้านเกาะปู ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสไปเที่ยวที่นั่นกับการจัดการท่องเที่ยวเพื่อทางเลือก ที่จัดการโดยบริษัทสยามมิชลิน ทั้งทางมูลนิธิเครือซีเมนต์ไทยและบริษัทสยามมิชลินได้ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านที่ทั้งหมดเป็นคนมุสลิมที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิ แต่การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์ในการสร้างเรือและต่อเรือให้ชาวบ้านไปทำกันเอง วัสดุที่สำคัญคือ ไม้กระดาน แต่แรงงานและฝีมือเป็นของชาวบ้าน เมื่อได้ไปเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ
บริเวณอู่ต่อเรือที่ชาวบ้านหลายรุ่นอายุมารวมตัวช่วยกันต่อเรือจากภูมิปัญญาของตนเอง
ชุมชนบ้านเกาะปูตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในลำน้ำใหญ่ใกล้ออกทะเล สภาพแวดล้อมธรรมชาติยังดีและสวยงาม มีภูเขาสูงเป็นพื้นหลัง ข้างหน้าเป็นเขาเตี้ยและป่า แล้วจึงมาถึงบริเวณบ้านและสวนของชาวบ้านที่กระจายลงไปสู่ชายน้ำ บ้านเรือนส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้น้ำเพราะคนมีอาชีพทางประมง และแต่ละบ้านก็มีเครื่องจับปลาอยู่ตามใต้ถุนบ้านและบนเรือนรวมทั้งมีเรือใหญ่น้อยที่เป็นพาหนะในการออกไปหาปลาและเดินทางติดต่อคมนาคมจอดกระจายอยู่ทั่วไป ด้านหน้าชุมชนทำท่าจอดเรือยาวยื่นล้ำไปในแม่น้ำ เพื่อให้เรือใหญ่ที่พาคนจากแผ่นดินใหญ่และนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือน ซึ่งก็รวมทั้งการขนถ่ายสินค้าด้วย เพราะได้ทราบว่า ภายในบริเวณเกาะมีรีสอร์ทเพื่อรับนักท่องเที่ยวด้วย แต่ก็อยู่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร จึงทำให้บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ยังคงรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
ชาวบ้านได้จัดพื้นที่ริมน้ำบริเวณชายบ้านให้เป็นโรงต่อเรือและแบ่งงานกันทำ มีผู้อาวุโสที่มีความรู้ความชำนาญในการต่อเรือมาสอนและแนะนำ มีกลุ่มที่เป็นช่างและแรงงานรวมทั้งคนในวัยกลางคนที่มีความรู้ในเรื่องเครื่องจักรเครื่องยนต์นำเครื่องมาประกอบ กระบวนการต่อเรือแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ตามส่วนต่าง ๆ ของเรือ รวมทั้งกลุ่มผู้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ มีพวกรุ่นหนุ่มและวัยรุ่นทำหน้าที่ขนย้ายไม้และวัสดุที่ขนมาทางเรือขึ้นบก ในขณะที่พวกผู้หญิงทำหน้าที่หุงหาอาหารเลี้ยง รวมทั้งจัดการหาสาหร่าย หาปู หอย มาทำเป็นอาหาร และรวมกลุ่มกันเป็นแม่กองในการทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยือน ส่วนเด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายก็เดินป้วนเปี้ยนและเล่นของเล่นอยู่ใกล้กลุ่มแม่ครัวที่ทำอาหาร ภายในโรงต่อเรือมีทั้งการทำงานและพูดคุยกันตลอดเวลา ระคนไปด้วยเสียงเพลงจากวิทยุ แต่ที่สำคัญมีกรงนกโกร่งหัวจุกแขวนไว้เพื่อพักสายตาและฟังเสียงนกขัน บางครั้งก็มีเสียงสวดมนต์ดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงจากมัสยิดในเวลาที่มีการละหมาด นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ เป็นงานทำร่วมกันของคนในกลุ่มอย่างเพลิดเพลินและมีชีวิตชีวา เพราะมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาและงานฝีมืองานเทคนิคจากผู้ที่เป็นคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่
ข้าพเจ้าเห็นว่า นี่คือหัวใจของการฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ ที่นำไปสู่การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียงเผื่อแผ่และยั่งยืน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หัวใจของเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนนั่นเอง
ในการมาเยือนและสังเกตการณ์ของคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือก ชาวบ้านโดยเฉพาะบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย หาอาหารมาเลี้ยงผู้มาเยือนด้วยอาหารแบบชาวบ้าน โดยเฉพาะอาหารที่มาจากธรรมชาติในท้องถิ่น อันได้แก่ ปูม้า ปลาหมึก ปลาทะเล หอยชักตีน และสาหร่าย โดยเฉพาะหอยชักตีนนั้น โอ่ได้เลยว่า แหล่งใหญ่อยู่ในทะเลแหวกใกล้กับเกาะปูนี้เอง รวมทั้งสาหร่ายที่เป็นต้นและกิ่งก้านใสรสอร่อย เค็มปะแล่ม ๆ ที่ต้องกินสด ซึ่งถ้าหากนำไปล้างน้ำแล้วจะละลายทันที ชาวบ้านทั้งชายหญิงต่างภูมิใจในการไปหาสัตว์และพืชเหล่านี้มาก มีการอธิบายถึงการไปจับหอยและเก็บสาหร่ายที่พานักท่องเที่ยวไปชมและพามากินเพื่อให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้แลเห็นทั้งภูมิปัญญาความรู้ ความเพลิดเพลิน และได้รสชาติอาหารใหม่ ๆ แปลก ๆ เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของท้องถิ่น
จุดอ่อนอย่างหนึ่งของชาวบ้านในเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวก็คือ ยังหลงใหลในการชักนำที่ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ที่เกี่ยวกับโฮมสเตย์ ซึ่งจัดแล้วไม่ได้ผลดี ทางคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกจึงเสนอว่า ทำไมไม่จัดการให้เรื่องการพักแรมเป็นเรื่องของฝ่ายรีสอร์ทไป แล้วชาวบ้านก็ทำหน้าที่รับนักท่องเที่ยวไปชมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทะเลและเกาะต่างๆ ดูชีวิตการทำมาหากินรวมทั้งจัดการในด้านอาหารที่มาจากธรรมชาติ เช่น หอยชักตีน ปู ปลา และสาหร่ายทะเล
การจัดการให้เกิดความสัมพันธ์ที่แบ่งเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจแบบพึ่งพิงระหว่างกันเช่นนี้ คือสิ่งที่นำไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนอย่างแท้จริง รวมทั้งสามารถที่จะรักษาสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพด้วย
การมาท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกกับสยามมิชลิน ณ เกาะปูครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ประโยชน์มาก เพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้คิดได้ว่า แท้จริง การฟื้นฟูชีวิตมนุษย์ทางเศรษฐกิจสังคมเพื่อนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง นั่นก็คือ การฟื้นสำนึกของการเป็นกลุ่มของมนุษย์นั่นเอง เพราะเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติของการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ เมื่อฟื้นสำเร็จก็แลเห็นสิ่งที่เป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติที่นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในแบบแผนจารีต ประเพณี และศาสนาที่ยกระดับมนุษย์ให้เป็นสัตว์ศีลธรรม [Moral Being] แทนการเป็นสัตว์เดี่ยวสัตว์เดรัจฉานที่ถูกกระตุ้นและทำลายจากระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมเสรีในโลกปัจจุบัน
การร่วมมือกันทำงานกันอย่างเป็นกลุ่มทางสังคม ณ บ้านเกาะปูนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นหัวใจของกระบวนการฟื้นฟูและกระบวนการเรียนรู้จากภายใน เพราะสิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วในโครงสร้างทางวัฒนธรรมได้ฉายแสงออกมาให้เห็นเป็นภูมิปัญญาที่ผู้รู้ผู้อาวุโสของท้องถิ่นได้เรียนรู้และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังอย่างแท้จริง เลยทำให้อดคิดไปถึงกระบวนการพัฒนาชุมชนและอะไรต่ออะไรในสังคมใหญ่ของเมืองไทยขณะนี้ ซึ่งมักเวียนวนอยู่กับคำว่า ชุมชนและปราชญ์ท้องถิ่น
คำว่าชุมชนนั้นไม่ต้องพูดถึง ต่างคนต่างคิดจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ แต่ปราชญ์ท้องถิ่นนี้ ฉายแล้วฉายเล่า ฉายซ้ำกันมากกว่า ๑๐ ปี ต่างออกงานวิ่งสอนกันไปทั่วประเทศ เสมือนกับว่าคนที่เป็นปราชญ์ท้องถิ่นมีอยู่เพียงแค่นี้ ข้าพเจ้าคิดว่าที่บ้านเกาะปูของคนมุสลิมคงไม่มีปราชญ์ท้องถิ่นอื่นใดที่จะเข้าใจถึงภูมิความรู้ในท้องถิ่นของเขาได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ร่วมกันในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละถิ่น

ความเข้มแข็งเหล่านี้ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทสยามมิชลิน
กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นปราชญ์ของท้องถิ่นจะรู้ว่า อะไรเป็นปัญญาทางเศรษฐกิจสังคม [Knowledge] ที่กินไปถึงว่าจะมีวิธีแก้ไขจัดการอย่างไร [Knowledge How] ได้ดีกว่าบรรดาปราชญ์ข้ามถิ่นและข้ามชาติ ที่ได้แต่พูดและอธิบายแต่เพียงว่า เพราะอะไร [Know Why] เท่านั้น แต่ไม่มีทางที่จะรู้ไปถึง Know How ที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนได้
จากบทคิด บทเรียนที่ได้จากกลุ่มชาวบ้านต่อเรือที่บ้านเกาะปู ทำให้อดคิดถึงปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยไม่ได้ ที่บรรดาผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และนักวิชาการ นักปราชญ์ต่าง ๆ คิดจะฟื้นฟูคนมุสลิมให้มีเศรษฐกิจและรายได้ดีขึ้น โดยการทำให้มีการจ้างงานและทำงานทางด้านอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งนับเป็นความคิดและวิธีคิด วิธีพัฒนาที่มาจากภายนอกแทบทั้งสิ้น ดูเป็นสิ่งที่หยุดอยู่เพียงการอธิบายว่า Know How ที่นำไปสู่การสร้างชีวิตวัฒนธรรมในมิติเศรษฐกิจแบบพอเพียงได้ เพราะไม่เคยมองและวิถีชีวิตกลุ่มและฐานทางเศรษฐกิจที่มีความพอเพียงและสมดุลของท้องถิ่นที่มีอยู่ในธรรมชาติและสภาพแวดล้อมมาช้านาน ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้มีแต่แนะให้คนหนุ่มสาวออกไปทำงานนอกท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นแรงงานตามแหล่งอุตสาหกรรมและงานบริการต่าง ๆ ในเขตเมือง ไม่ว่าภายในหรือภายนอกประเทศ ทำให้เกิดนาร้าง สวนร้าง ไม่มีการทะนุบำรุง แม้แต่อุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การทำน้ำตาลโตนดซึ่งทำมาจากต้นตาล เป็นต้น
แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้าลงไปสามจังหวัดภาคใต้ ก็จะพบเห็นเสมอว่า คนมุสลิม คนจีน และคนไทยพุทธ ต่างอยู่ร่วมกันในนิเวศวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ในอ่าวปัตตานี พื้นที่ราบที่เป็นเรือกสวนไร่นาและพื้นที่ซึ่งเป็นป่าเขาอย่างสงบและมีดุลยภาพ คนจีนที่อยู่ในเมืองและย่านตลาดแม้ว่าจะมีฐานะร่ำรวยแต่ก็เข้ากันได้ดีกับคนอีกสองกลุ่ม ทั้งคนมุสลิมและไทยพุทธที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบท
อ่าวปัตตานีเป็นแหล่งที่หอย ปู ปลา และสัตว์ทะเลอุดมสมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ ตามชายทะเลฝั่งอ่าวไทยทั้งสิ้น แต่คนมุสลิมและคนไทยพุทธที่มีอาชีพหาปลาจับปลาต่างก็ประกอบอาชีพแบบพอเพียงไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยเรือกอและ อันเป็นเรือจับปลาขนาดเล็ก ปลาที่จับมาได้นั้นทั้งกินในครอบครัวและขายไปสู่ตลาดให้กับทางคนจีนและคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า อย่างเช่นที่ตลาดสดเมืองยะลาและตลาดตามย่านเมืองทั่วไปล้วนมีปลามากมายหลายชนิด
ในขณะที่พื้นที่ย่านเรือกสวนไร่นาและป่าเขาก็เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีความหลากหลายของพืชพันธุ์ไม้หลายชนิด ปลูกปะปนกันเป็นแบบสวนสมรม ระคนไปด้วยพื้นที่ทำนานิด พื้นที่ทำไร่และป่าหน่อย สลับกันไป บ้านเรือนต่างอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีพื้นที่ว่างระหว่างกัน ส่วนพื้นที่ป่าเขาก็ยังเป็นป่าและต้นไม้นานาชนิดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น
การมีบ้านเรือนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งอยู่ห่างกันเช่นนี้เป็นสิ่งที่พบน้อยมากในสังคมเกษตรกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ดังนั้น พื้นฐานทางสังคมเศรษฐกิจแบบพอเพียงในบริบททางวัฒนธรรมของคนในสามจังหวัดภาคใต้ จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจนทำให้เกิดนิเวศวัฒนธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันในเศรษฐกิจแบบเผื่อแผ่พอเพียงและยั่งยืน
ดังนั้น การจะฟื้นฟูอะไรจำเป็นต้องคำนึงถึงพื้นฐานทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเหล่านี้ หัวใจอยู่ที่การนำการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มกลับคืนกลับมา แล้วทบทวนการอยู่รวมกันด้วยการทำมาหากินที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ซึ่งควบคุมได้ด้วยภูมิปัญญา วิธีการและเทคโนโลยีที่มีมาแต่เดิมถ่ายทอดมาจากผู้รู้ผู้อาวุโสจนถึงคนรุ่นใหม่
เมื่อข้าพเจ้าร่วมกับกรรมการสมานฉันท์ไปที่วัดพรหมประสิทธิ์ อำเภอปะนาเระ และเดินทางผ่านบ้านสวนในเขตอำเภอมายอและอำเภอยะรังไปยังจังหวัดยะลา ข้าพเจ้าแลเห็นความสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สวนบ้านนาป่าเล็กๆ พื้นที่เลี้ยงสัตว์และต้นตาลที่มีขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น นับเป็นบริเวณที่มีความสมบูรณ์ของธรรมชาติและความสมดุลในระบบนิเวศวัฒนธรรมที่ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยอีกมาก แต่ไฉนกลายเป็นพื้นที่ซึ่งเกิดความรุนแรง ฆ่าฟันระหว่างกันของผู้คนในท้องถิ่น ในขณะเดียวกันเมื่อไปเดินถามชาวบ้านเพื่อขอความรู้ทางสังคม ก็มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งเป็นคนพุทธคนมุสลิม ในบ้านของคนพุทธเด็กมีน้อยเพราะออกไปทำงานหางานที่อื่น แต่บ้านคนมุสลิมยังมีเด็กอยู่มากเพราะเรียนน้อย ส่วนใหญ่เรียนจากปอเนาะ แต่เด็กพุทธไปเรียนในเมืองมีความรู้และโอกาสดีกว่า ปัจจุบันเด็กก็ไม่สนใจการทำมาหากินแบบเดิม เช่น ทำนา ทำสวนและทำน้ำตาลโตนด แต่มุ่งออกไปหางานที่มีเงิน มีรายได้เป็นเดือนแทน เช่น เด็กมุสลิมก็ทำงานในลักษณะเป็นแรงงานจ้างไปสำหรับกิจกรรมในท้องถิ่น การทำสวนแบบเดิมและการทำน้ำตาลจึงเกือบจะหมดไป ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ทำไมไม่ลองกระตุ้นในคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนมุสลิมหันมาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มช่วยกันทำสวน ทำตาลโตนดกับเด็ก แล้วพัฒนาผลผลิตให้มีรายได้แบบพอเพียงร่วมกัน โดยส่งเสริมผลผลิตการเกษตรท้องถิ่นให้มีคุณค่าที่คนในท้องถิ่นเกิดความภูมิใจและมีศักดิ์ศรี
สิ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการฟื้นฟูเศรษฐกิจพื้นฐานโดยอาศัยฐานทางสังคมเช่นนี้ ก็ปรากฏให้เห็นในกลุ่มสตรีมุสลิมที่บ้านดาโต๊ะที่ร่วมมือกันทำข้าวเกรียบปลาขาย จนมีรายได้จุนเจือครอบครัวอยู่ในขณะนี้ เป็นต้น
ข้าพเจ้าคิดว่าเศรษฐกิจแบบพอเพียงที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานการทำงานร่วมกันของคนในชุมชนนั้น นอกจากจะทำให้มีชีวิตรอดร่วมกันแล้ว ยังเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงทางสังคมวัฒนธรรมที่นำไปสู่การมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกัน เพราะสามารถอยู่ได้อย่างมีอิสระ ยั่งยืน ไม่ต้องเป็นทาสเวลาและทาสเงินทองของพวกนายทุน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments