top of page

การศึกษาท้องถิ่นกับสงครามกองโจร

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2547



สามจังหวัดภาคใต้วันนี้กำลังก้าวเข้าสู่สงครามการสู้รบแบบกองโจร [Guerrilla warfare] หลังจากโครงการวิจัยทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และชาติพันธุ์ ได้เริ่มต้นเมื่อกลางปี ๒๕๔๖ ทั้งนักวิชาการจากภาคกลางและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้านในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ได้ข้อมูลทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนที่เป็นตัวแทนในจุดเล็ก ๆ จนพอเข้าใจสังคมมุสลิมท้องถิ่นสำหรับคนต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมอยู่บ้าง ก็เกิดเหตุการณ์ที่ดูเหมือนคล้ายคลึงในสิ่งที่กังวล


สังคมมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้นั้นห่างไกลจากการรับรู้หรือเรียนรู้ของสังคมไทยพุทธจนเกิดเป็นช่องว่างมหาศาล มีความซับซ้อนในความต่างทางวัฒนธรรมที่ “คนไทย” สมัยนี้คงจะมีโอกาสคิดหรือทำความเข้าอกเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ได้ยากเต็มที


เมื่อแรกเข้าไปในหมู่บ้าน รับรู้ได้ว่ามีความคุกรุ่นของความขัดแย้งสะสมและตกตะกอนมาอย่างยาวนานและรู้สึกหวั่นไหวไปกับความอ่อนไหวของสถานการณ์ที่ส่อเค้าว่าอาจเกิดเหตุร้ายในเร็ววัน ปัญหาที่หนักหนาสาหัสคือ การแย่งชิงทรัพยากรจากขบวนการทุนนิยมที่รัฐเอื้อเฟื้อและสนับสนุนให้เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะสามารถทำลายล้างสังคมมุสลิมที่ยังอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ย่อยยับไปถึงระดับครอบครัวที่เป็นรากฐานแห่งชีวิตทีเดียว


ในขณะที่วัฒนธรรมของชาวมุสลิมในท้องถิ่นสามจังหวัดภาคใต้เป็นเนื้อเดียวกับระบบความเชื่อในศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นเกราะแห่งชีวิตและก่อให้เกิดสังคมที่แข็งแรง ยากแก่การเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีชีวิตเสรีนิยมแบบปัจเจก มีทั้งนักคิดและผู้รู้ที่ผ่านการเคี่ยวกรำอยู่กับตำรา ความคิด การตีความ ศรัทธาและความเชื่อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จนกลายเป็นสถาบันหลักในการดำรงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาวมุสลิมที่ยากแก่การสั่นคลอนนอกจากจะถูกกดขี่บังคับหรือทำลายเสียเท่านั้น


และการกดขี่บังคับทำลายสถาบันหลักของชาวมุสลิมในท้องถิ่นนี้เกิดขึ้นและคงอยู่เรื่อยมาตั้งแต่เกิดการ รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ซึ่งพยายามทำลายความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้คนมากกว่าที่จะปล่อยให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราว

ที่เห็นชัดคือการร้องขอให้รัฐช่วยอำนวยความสะดวกและให้สิทธิที่เสมอภาคแก่การดำเนินชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมของชาวมุสลิม ซึ่งเป็นการเจรจาในระดับนักคิดหรือผู้รู้ของสังคมที่ไม่เป็นผลสำเร็จ การต่อต้านโดยใช้วิธีรุนแรงสำหรับคนธรรมดาๆ ที่ต้องการแสดงออกถึงความไม่พอใจจึงกลายเป็นทางเลือกที่ขยายวงกว้างขึ้น ๆ จนเข้าขั้นสงครามระหว่างรัฐกับชาวบ้านผู้ถูกกดขี่ที่ดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้


เพราะชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้อยู่ภายใต้การจองจำของ การสร้างประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ที่มักจะนำมาใช้อ้างอิงจนกลายเป็นข้อสรุปสำเร็จรูปสำหรับเหตุผลในการเรียกร้องรัฐอิสระ ทั้งจากกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่าง ๆ และนักวิชาการของรัฐที่มองภาพความไม่สงบในพื้นที่นี้ แล้วมักสะท้อนสาเหตุสำคัญว่ามาจากรากเหง้าปัญหาทางประวัติศาสตร์เป็นการอารัมภบทกันอยู่เสมอ


จนรัฐบาลในขณะนี้จึงเห็นเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่จะต้องรีบแก้ไข คือ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดขบวนการ “แบ่งแยกดินแดน” สิ่งที่รัฐทำคือ การหาข่าว ใช้กองกำลังตำรวจ ทหารปกติและหน่วยรบพิเศษที่ฝึกมาเพื่อกิจการการล่าสังหารโดยเฉพาะ นับเป็นการใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขความรุนแรงเช่นกัน


ในขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาอีกด้านหนึ่งสำหรับรัฐบาลยุควัตถุนิยมเฟื่องฟู คือ การถมงบประมาณลงไปเพื่อส่งเสริมและสร้างอาชีพเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวแบบที่เคยทำๆ กันมาในหลายรัฐบาล เลียนแบบประชานิยมที่ดี นำไปสร้างเป็นโครงการเพื่อชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ สร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สร้างรายได้โดยภาพรวมแต่ไม่ระมัดระวังการกระจายรายได้ให้เสมอภาคและเท่าเทียมกัน ผลที่ได้จะแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหายุ่งเข้าไปอีกคงเห็นได้ในเวลาไม่นานนี้


แต่ทั้งหมดคือการเบี่ยงเบนต้นตอปัญหาสำคัญ โดยไม่ได้ระแคะระคายว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนภูเขาไฟที่กำลังรอวันปะทุ อีกทั้งถูกโหมด้วยประกายไฟอันเกิดจากสงครามความขัดแย้งของโลกมุสลิมกับผู้นำโลกเสรีนิยมที่พลเมืองไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม ย่อมถูกผลสะเทือนจากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งนั้น


แม้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย จะผ่านกระบวนการหลอมรวมให้กลายเป็นประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเหนือ อีสาน เคยพบเห็นความเจ็บปวด ถูกกระทำอย่างรุนแรงต่อทั้งผู้นำและชาวบ้าน เกิดเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ขบวนการผีบุญ หรือรัฐเรียกว่า กบฏผีบ้าผีบุญ ขึ้นหลายคราวในศตวรรษที่แล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ดูไม่สำคัญสำหรับประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและไม่มีผลสะเทือนต่อรัฐในอดีตมากมาย


แต่เมื่อถึงยุคนี้ ปฏิกิริยาต่อต้านแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ของสังคมชาวมุสลิมท้องถิ่นสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมในภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน และในขณะเดียว ในเอกภาพของสังคมมุสลิมท้องถิ่นนี้ก็มีความหลากหลายของวัฒนธรรมปลีกย่อยที่ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมอันแตกต่างทั้งเขตภูเขาสูง เนินเขา ที่ราบ ท้องทุ่งและชายฝั่งทะเล และการผสมผสานของผู้คนต่างวัฒนธรรมในบางแห่งบางพื้นที่ ซึ่งอยู่ร่วมกันมาได้นานนับศตวรรษก่อนหน้านี้


เอกภาพและความหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ จึงควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันและรักษาสมดุลอยู่ตลอดเวลา


การจะเข้าใจความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้นั้น คงต้องเข้าไปศึกษาจนเห็นถึงความคิดของผู้ที่อยู่ในสังคมนั้น และมองให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุจากสิ่งใดบ้าง จึงพอจะประเมินสถานการณ์ได้ถูก ซึ่งที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่า ไม่เคยมีการทำความเข้าใจหรือศึกษาสังคมท้องถิ่นในสามจังหวัดภาคใต้มากพอที่จะนำมาใช้สนับสนุนการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นชัดกระจ่างได้แต่อย่างใด


เวลาผ่านไปจนพอจะเห็นเค้าลางของคู่กรณีได้ก็คือ อำนาจรัฐผ่านตัวแทนที่ใช้อำนาจจนเกินพอดี และชาวบ้านที่มีตัวแทนคือคนรุ่นหนุ่มสาวผู้อุทิศจนถึงที่สุดแก่ศรัทธาในวิถีทางของตนเอง


การต่อสู้ของชาวบ้านในรูปแบบเดียวกับเมื่อศตวรรษกว่าที่แล้วเกิดขึ้นซ้ำรอย แต่ในยุคนี้ปฏิกิริยาต่อต้านการกดขี่บังคับทำลายสังคมของชาวมุสลิมท้องถิ่นในสามจังหวัดภาคใต้เติมเชื้อรุนแรงจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และยิ่งเพิ่มความรุนแรง ซับซ้อนแก่ปัญหายิ่งไปกว่าเดิม


ความโกลาหลครั้งนี้ กำลังขยายไปสู่สงครามกองโจรที่เป็นสงครามภายใน ทั่วทุกแห่งตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวเพราะการสู้รบนั้นเป็นการก่อการร้ายที่ไม่มีรูปแบบและยุทธวิธี ไม่เห็นศัตรูที่ชัดเจนเพราะแฝงเร้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง และชาวบ้านทุกคนอาจถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงนี้ได้ตลอดเวลา คนบริสุทธิ์หลากหลายที่มาคือเหยื่อของสถานการณ์ และเมื่อเริ่มก่อรูปเป็นขบวนการเช่นนี้แล้วก็ยากจะยุติ


มีเพียงการเรียนรู้ ประนีประนอม ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความคับแค้น และทำความเข้าใจต่อสังคมอันหลากหลายภายใต้เอกภาพของชาวมุสลิมในท้องถิ่นนี้เท่านั้น จึงจะเป็นวิธีแก้ไขและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ก้าวเข้าสู่สงครามกองโจรที่ยังไม่เคยมีรัฐแห่งใดสามารถยุติปัญหาโดยวิธีปราบปรามด้วยความรุนแรงได้สำเร็จ


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page