เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2558
บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ในย่านสำเพ็ง ราชวงศ์ และทรงวาด เรื่อยไปจนถึงย่านตลาดน้อย ถือว่าเป็นย่านการค้าของชาวจีนที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่นอกเหนือจากกลุ่มชาวจีนที่มีบทบาทต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของย่านนี้แล้ว พบว่ากลุ่มคนมุสลิมได้เข้ามามีบทบาททางการค้าร่วมกับชาวจีนในบริเวณนี้มาอย่างยาวนานสืบมาถึงปัจจุบัน

ร้านค้าของแขกขายขายพลอยบนถนนวานิช ๑ ภาพถ่ายราวสมัยรัชกาลที่ ๕
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ นอกจากการค้าขายทางเรือสำเภากับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนแล้ว กลุ่มพ่อค้ามุสลิมมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการติดต่อซื้อขายกับทางตะวันตกผ่านเมืองท่าแถบมลายู โดยมีกรมท่าขวา นำโดยพระยาจุฬาราชมนตรี ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพ่อค้ามุสลิมที่จะเข้ามาค้าขายกับสยาม นอกจากนี้ขุนนางในกรมท่าขวายังทำหน้าที่คำนวณและบันทึกรายการเก็บภาษีค่าธรรมเนียมจากสินค้าประเภทต่าง ๆ ด้วย
สินค้าที่สยามส่งไปยังเมืองท่ามลายูในเวลานั้น ได้แก่ ข้าว น้ำตาล เกลือ น้ำมันมะพร้าว ดีบุก ครั่ง งาช้าง ไม้กฤษณา เป็นต้น ขณะที่สินค้าที่สยามรับมาจากทางมลายูส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากอินเดียและประเทศทางตะวันตก เช่น เครื่องแก้ว เครื่องเทศ หวาย ผ้าจากอังกฤษและอินเดีย โดยเฉพาะสินค้าประเภทผ้าจากอินเดียนั้น ถือว่าเป็นที่ต้องการของสยามเป็นอย่างมาก ทั้งผ้าแพรพรรณชั้นดีและผ้าฝ้ายราคาถูกโดยมีกรมพระคลังวิเสศ มีหน้าที่ติดต่อซื้อขายผ้ากับประเทศอินเดีย
เวลาต่อมาเมื่อมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ สยามเปิดเสรีการค้ากับประเทศตะวันตก ในช่วงเวลานี้นอกจากเป็นยุคเฟื่องฟูของการส่งออกสินค้าทางการเกษตร ได้แก่ ข้าวและน้ำตาล ยังถือว่าเป็นยุคที่กิจการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากโดยที่บริษัทของเอกชนเริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งกิจการนำเข้าส่งออกสินค้าส่วนหนึ่งอยู่ในมือของกลุ่มพ่อค้ามุสลิม เช่น กลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียจากแคว้นสุรัต ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและบริษัทอยู่ใกล้สุเหร่าตึกแดงหรือมัสยิดกุวติลอิสลาม ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในย่านคลองสาน มีตระกูลสำคัญ เช่น นานา วงศ์อารยะ ฯลฯ
กลุ่มมุสลิมมุอ์มิน ดาวูดีโบห์รา เป็นพ่อค้าชาวอินเดียจากแคว้นกุจราต เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มัสยิดเซฟีหรือมัสยิดตึกขาวในย่านคลองสาน ทำการค้าขายสินค้าประเภทผ้าแพร ดิ้นเงินดิ้นทอง เพชรพลอย เครื่องเทศ เครื่องหอม เมื่อข้ามจากฝั่งคลองสานมายังบริเวณท่าราชวงศ์ ทรงวาด และย่านสำเพ็ง ซึ่งเป็นย่านการค้าของชาวจีน พบว่ามีห้างร้านของมุสลิมชาวอินเดียเปิดอยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งที่เป็นการขยายกิจการของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมจากฝั่งคลองสานและที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา โดยกิจการของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมที่แทรกตัวอยู่ในย่านการค้าของชาวจีน ส่วนใหญ่เป็นร้านนำเข้าผ้าจากต่างประเทศและร้านค้าขายเพชรพลอย
ในซอยวาณิช ๑ หรือตรอกสำเพ็ง บริเวณทางด้านย่านวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นที่ตั้งร้านค้าของแขกมลายู น่าจะรวมถึงพ่อค้ามุสลิมจากอินเดียด้วย โดยมากเป็นร้านขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแก้ว เครื่องเงินเครื่องทอง ดังที่ปรากฏในตอนหนึ่งของนิราศจันทบุรี-กรุงเทพฯ แต่งโดยหลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘
นอกจากนี้ในซอยวาณิช ๑ ทางด้านย่านวัดเกาะ ยังมีกิจการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือร้านค้าเพชรพลอย ส่วนใหญ่มีเจ้าของเป็นชาวมุสลิมจากอินเดียใต้ ในหนังสือ กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ ของ กาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา) ได้มีการกล่าวถึงกลุ่มพ่อค้าแขกที่ขายเพชรพลอยในย่านสำเพ็งว่า
“ทางสุดปลายถนนสามเพ็ง จวนออกวัดกะละหว่า (โบสถ์กาลหว่าร์-ผู้เขียน) หรือห้างเคี่ยมฮั่วเฮงซึ่งข้าพเจ้าเคยไปได้เห็นแขกพวกหนึ่งจะเป็นพวกอะไรไม่ทราบ ตั้งร้านขายเพชรพลอย มีร้านใหญ่เรียกว่า “แขกด่าง” เป็นแขกและมีด่างจริง ๆ ตามร่างกายทั้งตัวและหน้าตา ... ขายเพชรพลอยแท้และเพชรพลอยเทียมสำหรับไปแต่งหรือประดับเครื่องละครและยี่เก ร้านแขกแถวนั้นยังมีอีกสองสามร้าน ... เจ้าของร้านเห็นนุ่งแต่โสร่ง ไม่ได้แต่งอย่างแขกเปอร์เซียหรือฮินดู หรือปาทาน”
ปัจจุบันยังคงมีร้านขายพลอยและพวกหินสีแบบต่าง ๆ เปิดอยู่หลายร้าน ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มชาวมุสลิมที่มีพื้นเพมาจากอินเดียใต้ทั้งนั้น แต่ร้านเก่าแก่ที่ยังดำเนินกิจการอยู่มีเพียงไม่กี่ร้าน เช่น ร้าน อี. เอ็ม. อาลี เปิดดำเนินกิจการมากว่า ๑๐๐ ปี
คุณระห์มาน อีเอ็ม ผู้สืบทอดกิจการร้านต่อจากคุณพ่อเล่าถึงความเป็นมาของร้านว่า “สมัยก่อนคุณอาของคุณพ่อเข้ามาเปิดร้านอยู่ก่อน แล้วจึงให้คุณพ่อมาจากอินเดียเพื่อมาช่วยงาน แต่เกิดเหตุอย่างไรไม่รู้ ทางคุณอามีเหตุจำเป็นที่ต้องกลับไปยังอินเดีย จึงปล่อยกิจการให้ทางคุณพ่อทำเรื่อยมา ... ท่านเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการนำพลอยใส่กระเป๋า แล้วเดินทางไปขายยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่ แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา เมื่อมีทุนมากขึ้น จึงกลับมาเปิดร้านพลอยที่นี่อีกครั้ง”
“ส่วนใหญ่พวกพ่อค้าพลอยที่นี่เป็นมุสลิมมาจากอินเดียใต้เกือบทั้งนั้น มีจากอาหรับเพียงร้านเดียว แล้วมีคนจีนกับพวกแขกกลุ่มโบห์ราอยู่ร้านสองร้าน พลอยที่ขายสมัยก่อนเป็นพลอยแท้มาจากจันทบุรี พม่า ซึ่งเป็นทับทิม ส่วนเขมรเป็นพลอยไพลินส่วนใหญ่ มีที่นำเข้ามาจากยุโรปบ้าง แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ที่ขายเป็นพวกพลอยรัสเซียร้านไม่ได้ทำเครื่องประดับขาย แต่ขายพลอยก้อนหรือพลอยเม็ด ช่างที่ทำเครื่องประดับในสมัยก่อนนั้น ส่วนมากเป็นชาวจีนไหหลำที่มักมาหาซื้อพลอยจากร้านต่าง ๆ ในย่านนี้”
ในอดีตย่านวัดเกาะยังเป็นแหล่งขายผ้าของพ่อค้าชาวอินเดียอีกด้วย ผ้าส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศจะต้องมาซื้อผ้าที่นี่เพื่อไปตัดเป็นชุดกันหนาวกันทั้งนั้น เพราะมีพวกผ้าขนสัตว์ ผ้าสักหลาด ที่ให้ความอบอุ่น แต่ปัจจุบันที่ซอยวานิช ๑ ร้านขายผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว คงมีแต่ร้านขายพลอย เครื่องประดับ และร้านขายเชือก อวน แห ซึ่งเป็นกิจการที่ขยายตัวเข้ามาภายหลัง
ส่วนทางด้านการประกอบศาสนกิจประจำวันของชาวมุสลิมในย่านนี้ ในอดีตบางแห่งมีการทำบาแลขนาดเล็กไว้ใช้ประกอบพิธีร่วมกัน เช่น ภายในซอยวาณิช ๑ เคยมีบาแลตั้งอยู่บนชั้น ๒ ของอาคารตึกแถวที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านค้าขาย แต่ต่อมาเมื่อบาแลดังกล่าวไม่มีแล้ว ชาวมุสลิมในย่านนี้จะไปรวมตัวกันอยู่ที่ “สุเหร่าใหญ่” ซึ่งหมายถึง มัสยิดหลวงโกชาอิศหาก หรือ สุเหร่าวัดเกาะ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางย่านการค้าของชาวจีนบนถนนทรงวาด สร้างขึ้นบนที่ดินของหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ต้นตระกูลสมันตรัฐ ล่ามแขกมลายูแห่งกรมท่าขวาในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้กลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมที่อาศัยเปิดกิจการและเดินทางมาติด
“เดินเบียดเสียดเยียดยัดกันอัดออ ถึงห้างหอหน้าวัดเกาะพิเคราะห์ดู
ล้วนตึกห้างอย่างแขกทำแปลกเพศ จรัลเขตตรงแน่วแนวผลู
พวกแผนกแขกชวามลายู มาตั้งอยู่เรียงเรียดร้านเหยียดยาว
สินค้าขายก่ายกองล้วนของเทศ งามวิเศษสลับศรีพื้นที่ขาว
เครื่องเงินทองก่องแก้วดูแวววาว ของระนาวผูกระโยงห้อยโตงเตง
แต่งโดย หลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ)
ธุรกิจการค้าต่าง ๆ ในย่านนี้ได้ใช้ในการประกอบศาสนกิจร่วมกันส่วนพื้นที่ทางด้านหลังมัสยิดถูกแบ่งไว้เป็นกุโบร์ (หลุมฝังศพ) ร่างของหลวงโกชาอิศหากและบรรพบุรุษของคนในตระกูลสมันตรัฐล้วนฝังอยู่ในกุโบร์แห่งนี้ รวมไปถึงขุนนางมุสลิมจากหัวเมืองทางใต้และกลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมในย่านนี้ ซึ่งมีทั้งอินเดียและจีนฮ่อที่เคยเข้ามาค้าขายในย่านนี้ด้วย ปัจจุบันมัสยิดหลวงโกชาอิศหากอยู่ในความดูแลของตระกูลสมันตรัฐ ซึ่งยังเปิดให้มุสลิมโดยทั่วไปเข้ามา
ใช้ประกอบศาสนกิจได้
นอกจากบริเวณย่านวัดเกาะที่ซอยวานิช ๑ แล้ว ทางด้านถนนราชวงศ์และถนนอนุวงศ์ ในอดีตก็เป็นที่ตั้งบริษัทห้างร้านของกลุ่มพ่อค้าชาวมุสลิมเช่นเดียวกัน เช่น ที่ถนนอนุวงศ์ เดิมเคยเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ห้าง เอ. ที. อี. มัสกาตี [A.T.E. Maskati] ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าลายที่มีชื่อเสียงอย่างมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา แต่ในปัจจุบันอาคารของห้างมัสกาตีถูกรื้อไปหมดแล้ว แต่ที่บริเวณหัวมุมถนนทรงวาดมีตึกโบราณที่เรียกกันว่า “ตึกแขก” มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกับอาคารมัสกาตี คือมีการประดับลวดลายฉลุไม้แบบเรือนขนมปังขิง ซุ้มหน้าต่างทำเป็นทรงโค้งแหลม [Pointed Arch] แบบสถาปัตยกรรมโกธิค เป็นไปได้ว่าในอดีตอาจจะเป็นห้างร้านของกลุ่มพ่อค้ามุสลิมเช่นเดียวกัน นอกจากนี้บริเวณถนนอนุวงศ์ในปัจจุบัน ยังมีตึกแถวเก่าแก่ของตระกูลนานาที่เคยเปิดทำเป็นธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าหลงเหลืออยู่อีกด้วย
อ้างอิง
กาญจนาคพันธุ์. นามแฝง. (๒๕๔๕). กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้. กรุงเทพฯ : สารคดี.
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. (๒๕๔๖). ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๔๓๕. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
บุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ). หลวง. นิราศจันทบุรี-กรุงเทพฯ. พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกเนื่องในงานทอดผ้าป่าเจ็ด วัดที่จังหวัดจันทบุรี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๐๕.
ขอบคุณ
คุณระห์มาน อีเอ็ม เจ้าของร้าน อี. เอ็ม. อาลี
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments