เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2551

เยาวชนได้เรียนรู้ในการถ่ายภาพและทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ให้รายละเอียดของโบราณวัตถุนั้น ๆ ถือเป็นการทำงานร่วมกันอย่างลงตัวของคนสองวัย
ใช่จะเป็นเรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายนักกับการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสักแห่งขึ้นมา หากมีเพียงเนื้อหา สถานที่จัดแสดง และเจ้าหน้าที่จากภายนอก พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นดังกล่าวคงจะเกิดขึ้น แต่คงไม่มีชีวิตชีวา หรือคุณค่ามากนักเมื่อเทียบกับการที่ชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกำลังสำคัญในการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแห่งนั้นด้วย
จากเหตุผลที่คนในพื้นที่น่าจะเป็นส่วนร่วมที่สำคัญในการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นข้างต้น ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย โดยการนำของนายแพทย์ภักดี สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องการพัฒนาระบบบริการสุขภาพโดยส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยตนเอง โดยเสริมความมั่นคงทางจิตใจและความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิต สังคมและวัฒนธรรมเข้ามาเป็นพื้นฐานเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
ทางโรงพยาบาลจึงสนับสนุนให้มีโครงการพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในอำเภอด่านซ้ายขึ้น ๓ แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์เมืองด่านซ้ายที่พระธาตุศรีสองรัก พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนที่วัดโพนชัย และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอที่วัดศรีภูมิ
การจัดทำพิพิธภัณฑ์โดยชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วม เพราะนอกจากชาวบ้านจะได้รู้จักประวัติศาสตร์ความเป็นมา รากเหง้า วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของตนเองแล้ว ยังรู้ว่าควรจะดูแลสุขภาพเบื้องต้นของตนเองได้อย่างไรอีกด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงได้เข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินการเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในด่านซ้าย ซึ่งกิจกรรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นร่วมกับชาวบ้านที่น่าสนใจคือการประชุมปฏิบัติการเพื่อจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอในพื้นที่บ้านนาหอ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคมถึง ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา
เหตุที่เรียกว่า “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนาหอ” ไม่ใช่ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบ้านนาหอ” แม้จะใช้พื้นที่บ้านนาหอที่วัดศรีภูมิเป็นหลัก เนื่องจากบริเวณนาหอนี้เป็นท้องถิ่นย่อยในลุ่มน้ำหมันที่มีหมู่บ้านหลายแห่งมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติและโครงสร้างสังคมและความใกล้ชิดของพื้นที่ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านหลายแห่ง เช่น บ้านโพนหนอง หัวนาแหลม นาน้ำท่วม ที่ถือเอาวัดศรีภูมิเป็นวัดใหญ่ของท้องถิ่น
กิจกรรมมีด้วยกัน ๒ วัน ในวันแรกเป็นการสร้างความเข้าใจง่าย ๆ ในเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พร้อมกันนั้นได้สอนเทคนิคการทำทะเบียนโบราณวัตถุ โดยใช้โปรแกรมที่ทางมูลนิธิฯ ออกแบบขึ้นมาเพื่อง่ายต่อการบันทึก

ชาวบ้านแบ่งกลุ่มทำงานเพื่อเรียนรู้ชุมชนนาหอ ทั้งทางประวัติศาสตร์ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งต่างก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวชาวบ้านนาหอเลย
ในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของคำว่า ประวัติศาสตร์ [History] และตำนาน [Myth] ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวที่มีข้อมูลหรือหลักฐานที่แน่นอน เชื่อถือได้ เป็นการศึกษาเชิงลึก เมื่อมีหลักฐานใหม่ ๆ ที่แน่ชัดกว่าก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่จำเป็นต้องหาข้อยุติ ซึ่งต่างจาก “ตำนาน” ที่เป็นเรื่องราวที่มีการปนเปของความเชื่อของคนโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันเข้าไปด้วย เมื่อมีความเชื่อ สิ่งที่ตามมาก็คือพิธีกรรม แต่ปัจจุบันคนไทยไม่สามารถแยกแยะระหว่างประวัติศาสตร์และตำนานออกจากกันได้หรือสับสนปนเปว่ากำลังใช้ข้อมูลความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ หรือกำลังใช้ความเชื่อแบบตำนานในการกล่าวถึงอดีตอยู่ จึงก่อให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันมากมายในสังคม เช่น กรณีเรื่องอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีที่โคราช หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกับกรณี ๓ จังหวัดทางภาคใต้ เป็นต้น
จากนั้นได้อธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยรวมที่ว่า หัวใจของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือชาติพันธุ์วรรณนา
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น [Local history] คือประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันตั้งแต่ ๒-๓ ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสำนึกร่วมขึ้นเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต ขนบประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และกติกาในทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน ทั้งนี้การเข้าถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต้องเข้าถึงและเห็นคนกับพื้นที่ซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยศึกษาโครงสร้างสังคม เก็บข้อมูลจากบุคคลในปัจจุบัน [Oral history] จะได้เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างต่อเนื่องว่ามีความเป็นมาและเปลี่ยนแปลงอย่างไร และน่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต
การศึกษาชาติพันธุ์วรรณนา [Ethnohistory] ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม-สังคม ซึ่งถือเป็นการศึกษาชีวิตวัฒนธรรมที่มีพลวัตอย่างแท้จริง เมื่อเข้าถึงคนแล้วจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงพื้นที่หรือประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อม [Environmental history] ด้วย พื้นที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและถิ่นกำเนิดของผู้คนในกลุ่มนั้น การศึกษาพื้นที่ต้องเริ่มจากชื่อสถานที่ทั้งที่เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรม ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคนในท้องที่รู้จักสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน นอกเหนือจากความเป็นมาของชื่อบ้านนามเมืองแล้ว เราจำเป็นต้องรู้จักสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นด้วย เพื่อที่เราจะได้จัดการกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การจัดการน้ำ การดูแลรักษาหน้าดิน การเพาะปลูก ฯลฯ โดยมีเรื่องของภูมิปัญญาชาวบ้านมาร่วมด้วย
ส่วนพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คือพิพิธภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในที่มีความรู้เรื่องอดีตและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของตนเองอย่างลุ่มลึก กับคนภายนอกที่มีความรู้เรื่องการจัดพิพิธภัณฑ์และเทคนิคการจัดแสดง การวิเคราะห์วัตถุสิ่งของ ความรู้ทางภาษาศาสตร์และโบราณคดีต่าง ๆ รวมถึงแนวคิดทฤษฎีทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมกันนั้นได้ยกตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นทั้งในและต่างประเทศให้ดูอีกด้วย ทั้งพิพิธภัณฑ์ชาวนาที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดจันเสนในประเทศไทย เป็นต้น
ในช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้สอนเทคนิคและสาธิตการถ่ายภาพโบราณวัตถุเพื่อจัดทำทะเบียน ในการสอนการทำทะเบียนวัตถุมีเยาวชนผู้ที่เข้าร่วมฝึกทำทะเบียนโบราณวัตถุและผู้ใหญ่ได้ช่วยเหลือในเรื่องของประวัติและลักษณะของโบราณวัตถุที่นำมายกตัวอย่าง ถือเป็นความร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างคนสองวัยในชุมชน
จากนั้นคุณหมอไพโรจน์ ทองคำ ซึ่งเป็นแพทย์แผนไทยจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฯ ได้ อธิบายถึงสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์และพบได้ง่ายในชุมชนนาหอ
ส่วนในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ ทางมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้จัดกลุ่มชาวบ้าน เพื่อทำกิจกรรมภาคสนามเป็นนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ศึกษาและสำรวจพื้นที่ในชุมชนนาหอและพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงนำเสนอในที่ประชุม โดยมีทั้งหมด ๕ กลุ่ม คือ
“กลุ่มนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” สอบถามชื่อบ้านนามเมืองและประวัติหมู่บ้าน ค้นหาหลักฐานที่เป็นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น
“กลุ่มนักสืบเครือญาติ” สอบถามที่มา ใครเป็นญาติใคร มาจากไหนบ้าง มีกี่ตระกูล
“กลุ่มนักอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น” สอบถามประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของบ้านนาหอเกี่ยวกับประเพณีสิบสองเดือน และประเพณีในชีวิตประจำวัน พร้อมกับอธิบายพิธีกรรมในประเพณีต่าง ๆ
“กลุ่มนักนิเวศวัฒนธรรม” ศึกษาและสอบถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนาหอที่แบ่งออกเป็นนิเวศแบบต่างๆ เช่น ลำน้ำ ท้องนา ต้นไม้ ภูเขา บรรยายถึงสภาพแวดล้อมดังกล่าวและสอบถามถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
“กลุ่มนักสืบสมุนไพร” สืบหาแหล่งสมุนไพรในหมู่บ้าน เสาะหาผู้ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและจดบันทึกรายละเอียด
ในแต่ละกลุ่ม สมาชิกภายในกลุ่มจะมีอายุแตกต่างกันไปเพื่อที่จะให้เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำงานด้วยกันได้ สุดท้ายชาวบ้านที่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยกันจัดตั้งชมรม “วัฒนธรรมนาหอ” ขึ้น โดยมีชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมอบรมทุกคนเป็นสมาชิก และมีทีมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ รับเป็นที่ปรึกษาให้
จากการจัดกิจกรรมประชุมปฏิบัติการทั้ง ๒ วัน สิ่งที่ชาวบ้านได้รับคือการได้รู้จักตนเอง รู้จักอดีต รากเหง้า วิถีชีวิต การทำมาหากิน ประเพณี พิธีกรรม รวมถึงรู้จักชุมชนนาหอมากยิ่งขึ้น โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากหรือไกลตัวอีกแล้ว ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากชาวนาหอเอง ซึ่งเท่ากับว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวบ้านตระหนักและรักท้องถิ่นทั้งยังเป็นพลังผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำพิพิธภัณฑ์นาหอ และทำการกิจกรรมฟื้นฟูท้องถิ่นทั้งทางสังคม วัฒนธรรม และสภาพนิเวศต่อไป
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments