top of page

ขนมเต่า ในเทศกาลหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง ตลาดน้อย

อภิญญา นนท์นาท

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2559


ขนมเต่าที่ทางศาลเจ้าโจวซือกงจัดเตรียมไว้ในแต่ละปี จะทำขึ้นราว ๑,๐๐๐ คู่ 

(ที่มา: คุณสมชาย เกตุมณี)


“ย่านตลาดน้อย” เป็นชุมชนชาวจีนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่สืบกันมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บริเวณที่ตั้งของตลาดน้อยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก เป็นชุมชนที่ขยายตัวต่อเนื่องมาจากย่านสำเพ็งตั้งแต่แถบวัดปทุมคงคาเรื่อยมาถึงปากคลองผดุงกรุงเกษมทางด้านใต้


ชุมชนชาวจีนที่ย่านตลาดน้อยประกอบด้วยชาวจีนหลากหลายกลุ่ม  กลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแรกสุด คือ ชาวจีนฮกเกี้ยน และได้สร้าง “ศาลเจ้าโจวซือกง” ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ เพื่อเป็นศูนย์รวมของชาวจีนฮกเกี้ยน ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในย่านตลาดน้อย เดิมเป็นวัดชื่อ “ซุนเฮงยี่” มีเทพประธานของศาลเจ้า คือ เทพโจวซือกงหรือหมอพระเช็งจุ้ยโจวซือ ซึ่งเป็นหมอพระที่ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือ


ทุกปีในช่วงหลังเทศกาลตรุษจีนประมาณ ๑๕ วัน ศาลเจ้าโจวซือกงจะมีการจัดงาน “เทศกาลหยวนเซียว” ซึ่งเป็นงานส่งท้ายเทศกาลตรุษจีน ความน่าสนใจของงานนี้อยู่ที่ของมงคลประจำเทศกาล คือ “ขนมเต่า” ซึ่งนอกจากจะมีความหมายอันเป็นมงคลตามคติจีนแล้ว ยังพบว่าขนมที่ทำเป็นรูปเต่าเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มวัฒนธรรมชาวจีนฮกเกี้ยน 


หยวนเซียว” เทศกาลส่งท้ายตรุษจีน 

หยวนเซียวหรือง่วนเซียว ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋ว เป็นงานเฉลิมฉลองส่งท้ายเทศกาลตรุษจีน จัดขึ้นในช่วงเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติ คำว่า หยวนเซียว ตามรูปศัพท์ภาษาจีนแปลว่า คืนแรก หมายถึงคืนเพ็ญแรกของปี เทศกาลหยวนเซียวจึงถือเป็นประเพณีรื่นเริงที่จัดขึ้นก่อนการเริ่มต้นทำกิจการงานในปีใหม่ 


เทศกาลหยวนเซียวถือเป็นประเพณีเก่าแก่อย่างหนึ่งของชาวจีน มีวิวัฒนาการมาจากการจุดประทีปเพื่อการบูชาเดือนดาวในช่วงเดือนอ้าย ตามลัทธิศาสนาดั้งเดิมของจีน ต่อมาเมื่อมีการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ประเพณีดังกล่าวได้ถูกผสมผสานเข้ากับคติการจุดประทีปโคมไฟเพื่อเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา จึงทำให้กิจกรรมนี้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นเทศกาลหยวนเซียว ตามประเพณีดั้งเดิมของจีนนอกจากการไหว้เจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ยังมีการจุดประทีปโคมไฟและมีการจัดงานเทศกาลเที่ยวชมโคมไฟที่ถูกประดับประดาอย่างสวยงาม ปัจจุบันประเทศจีนและไต้หวันยังมีการจัดเทศกาลแสดงโคมไฟสวยงาม (The Lantern Festival) ในช่วงเทศกาลดังกล่าว นอกจากนี้ในอดีตยังนิยมเล่นปริศนาโคมที่มีการแต่งบทร้อยกรองเป็นปริศนาคำทายประกอบกับโคมไฟในเทศกาลอีกด้วย


สำหรับชุมชนชาวจีนในไทย มีการจัดงานวันหยวนเซียวขึ้นตามศาลเจ้าต่างๆ ด้วยเช่นกัน ในอดีตถือเป็นงานรื่นเริงที่มีความคึกคักเป็นอย่างมาก พบว่ามีทั้งการแห่โคม ชมโคม และการเล่นทายปริศนาโคมหรือเต็งหมี่ ที่เคยมีการพิมพ์รวบรวมปริศนาต่างๆ ไว้เป็นหนังสือ แต่ในปัจจุบันความคึกคักของเทศกาลหยวนเซียวดังที่กล่าวมานี้เลือนหายไปมากแล้ว คงเหลือเพียงการเซ่นไหว้เทพเจ้าตามศาลเจ้าต่าง ๆ เท่านั้น


เทศกาลโคมไฟที่ศาลเจ้าโจวซือกง

งานเทศกาลหยวนเซียวยังคงเป็นประเพณีสำคัญในรอบปีของศาลเจ้าโจวซือกงย่านตลาดน้อย นอกเหนือไปจากเทศกาลตรุษจีน ทิ้งกระจาด และกินเจ งานวันหยวนเซียวจะจัดขึ้นภายหลังจากวันตรุษจีนราว ๑๕ วัน ดังเช่นปีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา ภายในวันงาน ชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนทั้งที่อาศัยอยู่ภายในย่านตลาดน้อยและจากที่อื่น ๆ ที่มีความศรัทธาในเทพเจ้าโจวซือกง ต่างเดินทางมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก ผู้คนเริ่มทยอยมาที่ศาลเจ้าตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวันเรื่อยไปจนถึงช่วงหัวค่ำ 


พิธีกรรมที่ทำร่วมกันที่ศาลเจ้าในวันหยวนเซียว ประกอบด้วยการจุดเทียนเพื่อบูชาเทพเจ้า การเซ่นไหว้ขอพรเทพเจ้า และทำบุญบำรุงศาลเจ้าด้วยการซื้อขนมมงคลต่าง ๆ ที่ศาลเจ้าเตรียมไว้ โดยเฉพาะขนมเต่าซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะเทศกาลหยวนเซียวเท่านั้น จากนั้นในช่วงค่ำจะมีการแสดงงิ้วที่บริเวณด้านหน้าศาลเจ้า เพื่อถวายเทพเจ้าและเป็นมหรสพที่สร้างความรื่นเริงให้แก่คนทั่วไป 


บรรยากาศภายในศาลเจ้าโจวซือถงในวันเทศกาลหยวนเซียว


ขั้นตอนการไหว้ในวันหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง ไม่มีความซับซ้อนมากนัก เริ่มต้นด้วยการนำเทียนคู่หนึ่งไปจุดที่บริเวณลานด้านหน้าศาลเจ้า ซึ่งทางศาลเจ้าได้เตรียมโต๊ะที่ด้านบนวางโครงเหล็กสำหรับเป็นเชิงเทียน ตำแหน่งที่จะวางเทียนมีทั้งที่ต้องจองไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อเลือกตำแหน่งปักเทียนตามต้องการ โดยจะมีการกำหนดตำแหน่งเป็นหมายเลขเอาไว้ คนที่จองล่วงหน้าอาจยึดตามเลขมงคลที่ตนเองเชื่อถือ หรือเลขทะเบียนรถ ทะเบียนบ้าน ผู้ทำพิธีที่มาเป็นประจำทุกปีมักจะจองกับศาลเจ้าไว้ก่อนและจะซื้อเทียนที่ศาลเจ้าเตรียมไว้ให้ ส่วนผู้ที่ต้องการนำเทียนมาเองก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยทางศาลเจ้าจะจัดที่ทางส่วนหนึ่งไว้ให้ การจุดเทียนประทีปเพื่อบูชาเทพเจ้าเช่นนี้ นอกจากคติความเชื่อเรื่องความเจริญรุ่งเรืองแล้ว ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับการจุดประทีปบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกับพระพุทธศาสนา


เมื่อจุดเทียนแล้วจะเป็นขั้นตอนการไหว้ขอพรจากเทพเจ้า เริ่มต้นด้วยการไหว้ทีกงหรือไหว้ฟ้าดิน มีการตั้งโต๊ะไหว้ทีกงทางด้านหน้าของศาลเจ้า จากนั้นจึงค่อยเข้าไปภายในศาลเจ้าเพื่อทำการสักการะเทพอากงหรือเทพโจวซือกง หมอพระที่ชาวฮกเกี้ยนให้ความเคารพนับถือ อันเป็นประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ แล้วจึงทำการสักการะเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาล ไม่ว่าจะเป็น เทพเจ้ากวนอู เจ้าแม่ทับทิม เทพตั่วเหล่าเอี้ย และ ๓๖ ขุนพลเทพเจ้า เป็นต้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไหว้ทวารบาลที่ด้านหน้าประตูทางเข้าศาลเจ้า 


วันงานทางศาลเจ้ายังจัดเตรียมของไหว้และขนมมงคลแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ส้ม ขนมเปี๊ยะ เอาไว้ให้ผู้ที่เดินทางมาศาลเจ้าซื้อกลับไป ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่ถือว่าเป็นการทำบุญบำรุงศาลเจ้าและเชื่อว่าเป็นของมงคล เพราะเป็นของที่ผ่านความศักดิ์สิทธิ์จากศาลเจ้าแล้ว ถ้านำกลับไปรับประทานจะมีแต่โชคลาภ ความรุ่งเรืองทั้งต่อตนเองและครอบครัว


นอกจากนี้ยังมีสิงโตน้ำตาล ที่ภาษาจีนเรียกว่า ถึ่งไซ และเจดีย์น้ำตาล เรียกว่า ถึ่งถะ ที่ทางศาลเจ้าเตรียมไว้จำนวนหนึ่งเพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาสามารถจองและนำกลับไปตั้งบูชาที่บ้านได้ โดยนิยมนำไปเป็นคู่ ทั้งสิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาลถือเป็นของไหว้ประจำเทศกาลหยวนเซียวที่นิยมแพร่หลายโดยทั่วไปตามศาลเจ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ศาลเจ้าของจีนแต่จิ๋ว ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงมักเรียกเทศกาลหยวนเซียวว่า สารทสิงโตน้ำตาล


สิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาล ทำจากน้ำตาลทรายนำมาขึ้นรูปในแม่พิมพ์รูปสิงโตหรือเจดีย์แบบจีน อาจมีการแต่งแต้มสีสัน เช่น สีชมพู หรือว่าปล่อยเป็นสีขาวตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีสิงโตที่ทำจากถั่วตัดประดับด้วยแป้งปั้น ตบแต่งเป็นรายละเอียดในส่วนหน้าตาและหนวดเคราของสิงโต แล้วแต่งแต้มด้วยสีสันต่าง ๆ 


ใน บาญชีขนมต่าง ๆ ที่จัดแสดงในงานนิทรรศการสินค้าพื้นเมืองในงานพระราชพิธีสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ มีการกล่าวถึง สิงโตน้ำตาล อยู่ในหมวดขนมต่างๆ ของจีนที่ทำด้วยแป้ง ถั่ว เจือน้ำตาล ว่า มีชาวจีนทำขายที่ย่านสำเพ็ง ราคาขายจะคิดชั่งตามน้ำหนัก ปัจจุบันสิงโตน้ำตาลมีจำหน่ายอยู่หลายร้านในย่านสำเพ็ง เยาวราช ซึ่งคติการทำสิงโตน้ำตาลและเจดีย์น้ำตาลนี้ นอกจากเป็นสิ่งของที่มีความหมายอันเป็นมงคลแล้ว น่าจะมีที่มาจากการผสมผสานกับคติทางพระพุทธศาสนาด้วย โดยเฉพาะการทำเจดีย์น้ำตาล


นอกจากขนมต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว สิ่งที่เป็นของไหว้พิเศษที่ทางศาลเจ้าจัดเตรียมไว้เฉพาะสำหรับงานหยวนเซียวเป็นประจำทุกปี คือ “ขนมเต่า” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง และเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน อีกทั้งเป็นไปได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวจีนฮกเกี้ยน เนื่องจากพบว่ามีความนิยมใช้ขนมที่ทำเป็นรูปเต่าในงานประเพณีต่าง ๆ ของชาวจีนฮกเกี้ยนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน    


“ขนมเต่า” ในวัฒนธรรมจีนฮกเกี้ยน 

ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก “เต่า” มีความหมายแสดงถึงการมีอายุยืนยาวและความมั่นคง ด้วยลักษณะทางกายภาพของเต่าที่มีความแข็งแกร่ง มีกระดองที่สามารถป้องกันภัยอันตราย และมีอายุยืนยาวตามธรรมชาติ ในวัฒนธรรมจีนก็มีการให้ความสำคัญกับเต่าในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์มงคลที่แสดงถึงความมีอายุยืน พลังความแข็งแกร่ง และการยืนหยัด ในตำนานการสร้างโลกและจักรวาลของจีนกล่าวว่า เต่ามีส่วนช่วย ผานกู่ เทพบิดรของชาวจีนสร้างโลก นอกจากนี้ตั้งแต่ยุคจีนโบราณยังมีความเชื่อว่ากระดองเต่าสามารถใช้ทำนายอนาคตได้อีกด้วย 


ในกลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนทั้งที่ในประเทศจีน ไต้หวัน และแถบประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทย เช่น ตรัง พังงา ภูเก็ต เป็นต้น พบว่ามีการทำขนมรูปร่างเต่าเพื่อนำมาใช้ในเทศกาลสำคัญต่าง ๆ และให้ในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีมาโง่ยหรือพิธีครบรอบเดือนของเด็กชาวจีนฮกเกี้ยน เพื่อให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพดี สมบูรณ์แข็งแรง วันคล้ายวันเกิดของผู้อาวุโสจะนิยมนำขนมเต่าไปมอบให้เพื่ออวยพรให้มีอายุยืนนานด้วยเช่นกัน

 

รูปแบบของขนมเต่าพบว่าแบ่งออกเป็น ๒ แบบ รูปแบบที่นิยมกันแพร่หลายคือ ขนมเต่าสีแดง เรียกเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนว่าขนมอังกู๊ คำว่า “อัง” แปลว่า สีแดง ส่วนคำว่า “กู๊” แปลว่า เต่า ทำมาจากแป้งข้าวเหนียว มีไส้หวานทำด้วยถั่วกวน ขั้นตอนการทำจะนำแป้งอัดลงไปในพิมพ์ไม้ที่ทำเป็นรูปกระดองเต่า ซึ่งมีคำมงคลเป็นภาษาจีนอยู่ เมื่อเสร็จแล้วนำไปนึ่ง จะได้ขนมที่มีรูปร่างเหมือนกระดองเต่า ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นสีแดงอันเป็นสีมงคลของชาวจีน ปัจจุบันขนมอังกู๊ไม่เพียงแต่เป็นของไหว้ในเทศกาลหรือมอบให้กันในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ยังนิยมรับประทานกันเป็นของว่างอีกด้วย


ส่วนขนมเต่าอีกรูปแบบหนึ่ง คือ แบบที่ทำอย่างซาลาเปา โดยใช้แป้งสาลีปั้นเป็นรูปเต่า ซึ่งเป็นแบบที่ใช้เป็นของไหว้หลักในเทศกาลหยวนเซียวที่ศาลเจ้าโจวซือกง แต่ละปีทางศาลเจ้าจะทำขนมเต่าเตรียมไว้สำหรับให้คนที่มาร่วมงานสามารถทำบุญกับศาลเจ้า ด้วยการซื้อขนมเต่ากลับบ้านไปได้ การทำขนมเต่ารูปแบบนี้ ศาลเจ้าจะต้องทำเตรียมไว้ล่วงหน้า ๓–๔ วัน โดยมีชาวบ้านในย่านตลาดน้อยมาช่วยทำด้วย 


แป้งที่ใช้ทำขนมเต่าลักษณะนี้จะใช้แป้งสาลี ขั้นตอนการทำคล้ายกับวิธีการทำซาลาเปา ปั้นเป็นรูปเต่า แล้วติดเมล็ดถั่วดำเป็นลูกตา จากนั้นนำไปนึ่ง แต่เมื่อนึ่งแล้วจะต้องนำมาผึ่งให้แป้งแห้งสนิท เพื่อให้ไม่ขึ้นราและเก็บได้นานขึ้น จากนั้นจะนำมาเขียนคำมงคลเป็นภาษาจีนลงบนกระดองเต่า ส่วนมากเป็นคำมงคลที่ประกอบด้วย ๔ พยางค์  อวยพรให้เจริญรุ่งเรือง เช่น 万事如意 แปลว่า หมื่นเรื่องสมปรารถนา หมายถึงขอให้สมปรารถนาในทุกๆ สิ่ง เป็นต้น ผู้เขียนคำมงคลเป็นภาษาจีนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ภายในย่านตลาดน้อย นอกจากนี้มีขนมเต่าแบบพิเศษ คือ ทำเป็นรูปเต่าตัวใหญ่ที่มีเต่าตัวเล็กขี่อยู่บนหลัง มีความหมายที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ มีลูกหลานมากมาย


ในแต่ละปีศาลเจ้าโจวซือกงจะทำขนมเต่าแบบนี้มาไว้ที่ศาลเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ คู่ คนที่มาไหว้ในวันหยวนเซียวนิยมซื้อกลับไปเป็นคู่ ขนมเต่าแบบนี้ไม่นิยมนำไปกินกัน แต่จะไปตั้งไว้ที่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล ราคาของขนมเต่าที่ศาลเจ้าจะแตกต่างกันไปตามขนาด เช่น เต่าขนาดเล็กจะมีราคาคู่ละ ๑๒๐ บาท  ส่วนขนมเต่าแดงหรืออังกู๊มีการทำมาวางขายที่ศาลเจ้าเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากราว ๔๐ คู่ เพราะคนไม่ค่อยนิยม เนื่องจากบูดเสียง่าย เก็บได้ไม่นาน นอกจากนี้ผู้ที่มาไหว้ที่ศาลเจ้าในงานหยวนเซียวจะเตรียมขนมเต่ามาเองก็ได้ ซึ่งพบว่าในวันงานมีบ้านที่อยู่ในละแวกศาลเจ้าโจวซือกง ทำขนมเต่ามาตั้งวางขายบริเวณหน้าบ้านด้วยเช่นกัน 


อย่างไรก็ตาม ในย่านตลาดน้อยพบว่ามีเพียงศาลเจ้าโจวซือกงซึ่งเป็นศาลเจ้าฮกเกี้ยนเท่านั้น ที่นิยมใช้ขนมเต่าเป็นของไหว้หลักในเทศกาลหยวนเซียว ขณะที่ชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดภูเก็ต นิยมใช้ขนมเต่าที่ทำขึ้นจากแป้งสาลีเป็นของไหว้ในเทศกาลชิดโง่ยปั่วหรือชิดโง่ยพ้อต่อ (วันสารทจีน) ในช่วงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ทำขนมเต่าสีแดงที่มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ นอกจากจะมีการเขียนคำมงคลลงบนกระดองเต่าแล้ว ยังมีการประดับลวดลายสวยงาม เช่น รูปดอกไม้ ใบไม้ อีกด้วย 


อาจกล่าวได้ว่าการใช้ขนมเต่าเป็นของไหว้ในเทศกาลหยวนเซียว ถือเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของศาลเจ้าโจวซือกง ย่านตลาดน้อย โดยอาจมีความเกี่ยวข้องกับความนิยมใช้ขนมที่ทำเป็นรูปเต่าในโอกาสพิเศษและเทศกาลต่าง ๆ ที่พบมากในกลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนนั่นเอง 


 

อภิญญา นนท์นาท


อ้างอิง 

ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ฮกเกี้ยน. (กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท .มหิดล), ๒๕๔๓

ถาวร สิกขโกศล. เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗

นิภาพร รัชตพัฒนกุล. “ตลาดน้อย : พัฒนาการชุมชนใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๔ ฉบับที่  (กุมภาพันธ์), ๑๖๒-๑๖๕

ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. สัตว์มงคลจีน ประเพณีและความเชื่อจากอดีตถึงปัจจุบัน. (กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก), ๒๕๕๔.

เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์. “ชาวฮกเกี้ยนในสมัยรัตนโกสินทร์ : จำนวนเปลี่ยนแปลงแต่บทบาทมิได้เปลี่ยนไปใน สายธารแห่งอดีต  รวมบทความประวัติศาสตร์เนื่องในวาระครบรอบ ๖๐ ปี .ดร.ปิยนาถ บุนนาค. (กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๕๐


เว็บไซต์ 

“Cultural depictions of turtles” ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Cultural_depictions_of_turtles

อังกู๊-ขนมเต่าที่มา : http://phuketcuisine.com


ข้อมูลสัมภาษณ์

สมชัย กวางทองพานิชย์, ๒๒ กุมภาพันธ์ .. ๒๕๕๙ 

สมชาย เกตุมณี, ผู้ดูแลภายในศาลเจ้าโจวซือกง ตลาดน้อย, ๒๒ พฤษภาคม .. ๒๕๕๙ 


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page