top of page

ข้อสังเกตจากการไปฟังเสวนาเรื่อง “ตามรอยสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ในอมรปุระ เมียนมาร์”

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 12 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2556


เรื่องเล่าจากวงเสวนาเนื่องในงานสถาปนิก’๕๖ จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ผู้ร่วมเสวนาคือ คุณวิจิตร ชินาลัย ผู้อำนวยการโครงการ Thailand Design Consortium Co., Ltd. ร่วมด้วย คุณมิคกี้ ฮาร์ท สถาปนิก-นักประวัติศาสตร์



กรณีเรื่องสถูปเจ้าฟ้าอุทุมพรที่ชานเมืองอมรปุระผู้เขียนเคยเขียนเรื่องนี้ใน จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๙๖ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ก่อนที่จะมีการไปขุดค้นที่อมรปุระโดยคณะอาสาสมัครฯ ราวเดือนหรือสองเดือน

โดยสรุปก็คือมีโอกาสอย่างมากที่บริเวณนี้จะเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ทั้งจากประวัติศาสตร์บอกเล่าและข้อมูลแวดล้อมที่เป็นเรื่องน่าสนใจซึ่งมาจากการบอกเล่าหรือข้อมูลมุขปาฐะจากลูกหลานที่ถือว่าตนเองคือเชื้อสายชาวโยดะยาที่รวมทั้งประเพณี พิธีกรรม และโบราณสถานบางส่วน แต่จะบ่งบอกว่าสถูปองค์ใดคือสถูปของเจ้าฟ้าอุทุมพรคงยาก จนถึงอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่งบอก แต่การจัดการเพื่อเป็นสถานที่อนุสรณ์สถาน ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ควรทำ กรณีการบูรณะโบราณสถานที่ เกาะเมืองอยุธยานั้นยังไม่สามารถจัดการพื้นที่และให้ความหมายกับเจดีย์สักองค์ได้เลย การบูรณะหรืออนุรักษ์โดยแสดงข้อมูลการศึกษาอย่างชัดเจนก็น่าจะสร้างความรู้และความเข้าใจตลอดจนความสัมพันธ์ในระหว่างรัฐยุคใหม่ทุกวันนี้ได้มากกว่าอยู่กันเฉย ๆ แต่กรณีนี้นักโบราณคดีไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อเพราะ

๑. มีข้อมูลน้อยมากเรื่องพระเจ้าอุทุมพรเมื่อไปพม่า โดยเฉพาะเรื่องคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมที่คาดว่าได้ต้นฉบับที่แปลเป็นภาษามอญไปแล้วอีกทีก่อนแปลเป็นไทย แถมข้อมูลอื่น ๆ ที่มีก็กล่าวถึงการไปอยู่เมืองสะกายน์มากกว่าอมรปุระด้วย ส่วนเอกสารที่แปลจากภาษาพม่าโบราณ กล่าวถึงการถวายพระเพลิงพระบรมศพก็ไปเขียนถึงเจ้าฟ้าเอกทัศน์ไม่ใช่เจ้าฟ้าดอกเดื่อ นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยเลยยังคลางแคลงใจที่จะเชื่อถือเสียทั้งหมด จนถึงไม่นำข้อมูลส่วนนี้มาใช้เลย

๒. ไม่เชื่อถือ คุณหมอทิน มอง จี เพราะคิดว่าไม่รู้ภาษาไทยและมีลักษณะการผูกเรื่องเองสูง โดยมีประเด็นซ่อนเร้น เช่น ความต้องการให้คนไทยไปเที่ยวกันมาก ๆ เป็นต้น เมื่อมีโอกาสมารู้จัก คุณหมอ เห็นว่าเป็นคนที่ตื่นเต้นเป็นธรรมดาเวลาเจอเรื่องที่น่าสนใจและฝักใฝ่ในการแสวงหาความรู้ แม้ว่าจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีก็ตาม การผูกเรื่องให้เชื่อมโยงกันมีเป็นธรรมดาของนักวิชาการที่ข้ามสาขา แต่ก็เป็นคนรับฟังเวลาเห็นข้อมูลใหม่ ๆ ไม่เข้าข้างตัวเองแบบที่ว่า คุณหมอมีข้อมูลน่าสนใจในทาง Ethnography อยู่มาก โดยเฉพาะการเป็นลูกหลานของครอบครัวโขนละครจากโยดะยาหรืออยุธยา และยังสนใจในดนตรีและนาฏศิลป์ งานของคุณหมอมาถูกทางหลายเรื่อง งานจะน่าสนใจมากถ้ามีการปรับเติมและค้นคว้าเพิ่มเติม แต่ก็ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยังไม่สามารถทำได้โดยสะดวกนักจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา

๓. สำหรับการศึกษาทางโบราณคดี ถ้าเน้นดูเรื่องอิฐ เรื่องขนาด ความหนา ความยาว และเรื่องรูปแบบเจดีย์คงงงมากถ้าใช้วิธีนี้ บางท่านเห็นว่าเอารูปแบบเจดีย์แบบเมืองไทยไปเปรียบเทียบอีก ซึ่งน่าจะอยู่ต่างพื้นที่ต่างวัฒนธรรม คุณมิคกี้ ฮาร์ท ก็พยายามทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่อยู่ในบริบทของโบราณสถานในเมืองอมรปุระ ฟังจากวงพูดคุยคาดว่านักโบราณคดีพม่า ก็มาทำนองนี้ ดังนั้นการจะไปเห็นด้วยว่าเจดีย์ที่พบใหม่และพบโบราณวัตถุสำคัญคือสถูปพระเจ้าอุทุมพรอย่างเต็มที่คงไม่ใช่เรื่อง จึงเลี่ยงไปพูดเสียว่าการพบภาชนะบรรจุอัฐิของบุคคลชั้นสูงในเจดีย์องค์หนึ่ง แต่ไม่มีอะไรบ่งบอกว่า "ใช่" อย่างแน่นอน เพราะอาจจะเป็นเจ้านายในวงศ์อื่น ๆ ก็ได้

๔. วิธีที่ทางหัวหน้ากลุ่มศึกษาและอาสาสมัครฯ บอกว่าจะนำชิ้นส่วนกระดูกอัฐิไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ตรวจดีเอ็นเอ เพื่อสืบเชื้อสายโดยหากลุ่มตัวอย่างจากคนที่ว่าเขาเป็นเชื้อสายและอพยพไปอยู่อเมริกา หรือหาคนที่อยู่อมรปุระหลายชั่วคนไม่ย้ายไปไหน หรือคนอยุธยาที่เกาะเมืองอยุธยา น่าจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรที่จะค้นพบ

๕. มาถึงหลักฐานสำคัญที่ทำให้ชาวคณะภาคภูมิ เพราะดูจะ มีเป้าประสงค์ในใจอยู่แล้วว่า นี่คือการค้นหาหลักฐานของพระเจ้าอุทุมพร ก่อนกลับก็ได้ค้นพบภาชนะที่ทางกลุ่มเรียกว่า “บาตร” มีฝาปิด แม้อาจสันนิษฐานว่าเป็นภาชนะอื่น ๆ ได้เช่นกัน ในวงเสวนาบอกกันว่าทางคณะพม่าเชื่อสนิทใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเชื่อว่าเป็นรูปแบบภาชนะสำหรับคนสำคัญ เป็นของพระราชทานแน่นอน ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ คนทางฝั่งพม่ารวมทั้งนักวิชาการต่าง ๆ คงต้องค้นหาข้อมูลมาเพิ่มให้มีความชัดเจน ซึ่งคิดว่าไม่น่ายาก เพราะคนทางพม่านั้นนิยมการบันทึกอยู่มาก ถึงแม้ระบบกษัตริย์จะสิ้นไปแล้วก็ตาม ภาชนะแบบนี้เป็นบาตรหรือไม่ในวัฒนธรรมพม่าก็ไม่น่ายาก การหาข้อมูลและศึกษาก่อนสรุปน่าจะดีกว่า

๖. เป้าหมายในใจของทั้งสองฝั่งเป็นเรื่องสำคัญ ฝ่ายคณะไทยไม่ต้องพูดถึง เพราะเรื่องแบบนี้จะออกแนวซาบซึ้งได้ง่ายมาก (ประเด็นเรื่องการพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเรื่องสะเทือนใจในสังคมแบบพุทธศาสนาเสมอ) และพร้อมจะปฏิบัติการเพื่อทำให้ตรงนี้เป็นอนุสรณ์สถานอยู่แล้ว ฝั่งพม่าเมื่อนโยบายทางการเมืองเปลี่ยนทุกวันนี้ ในวงเสวนากล่าวว่าข้าราชการของ เมืองมัณฑะเลย์วิ่งเข้าไปที่เมืองหลวงใหม่เนปิดอว์บ่อย ๆ จากที่ให้ขุดเฉย ๆ มาเป็นให้ปรับปรุงสุสานทั้งหมดของพื้นที่เลย แล้วบูรณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอนุสรณ์สถานตามที่ทางฝั่งไทยอยากทำก็ควรทำ นับเป็นความชาญฉลาดของเจ้าของพื้นที่อย่างชัดเจน บางท่านเห็นว่าคล้าย ๆ กับการอธิบายเรื่องวังของพระนางสุพรรณกัลยาในพระราชวังวังบุเรงนองที่หงสาวดี

๗. สรุปว่าคณะฝั่งไทย (หรือรัฐบาลไทย) ต้องกลับไปบูรณะปรับแต่ง ฯลฯ ซึ่งก็ขึ้นกับระดับผู้นำในรัฐแล้ว ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่า ยังมีความรู้เรื่องคนสยามหรือคนโยดะยาในเขต Upper Myanma ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ อิรวดีไปจนถึงแม่น้ำชินดวินอีกมากที่สามารถอธิบายเรื่องราวของคนสยามที่ถูกกวาดต้อนไปในคราวสงครามกับพม่าครั้งต่างๆ ก็คงเช่นเดียวกับผู้คนจากทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง คนมอญ คนมลายูที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมืองสยามในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง


ในเวทีเสวนา คุณมิคกี้ ฮาร์ท ก็ยังเล่าถึงข้อมูลผู้สูงอายุที่ยังจำได้ว่ามีการเรียกเจดีย์ที่นี่ว่า “เจดีย์อุทุม” รวมทั้งข้อมูลจากคุณหมอทิน มอง จี ในการค้นพบเริ่มแรกก็มาจากประวัติศาสตร์บอกเล่าเสียทั้งนั้น จึงต้องอาศัยการทำงานเก็บรายละเอียดทางด้าน Ethnography และประวัติศาสตร์แบบมุขปาฐะก็น่าจะพอเห็นร่องรอยต่าง ๆ ได้

แต่การสรุปแบบรวดเร็วอาจทำให้ข่าวการค้นพบครั้งนี้ดูเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีการเผยแพร่ละเอียด ๆ หรือเป็นข่าวคราวที่ดังพอ ๆ กับข่าวการจะเตรียมรื้อกลุ่มเจดีย์ที่สุสานนี้ ส่วนสุสานล้านช้างชื่อก็บอกแล้วว่าอาจจะเกี่ยวโยงถึงผู้คนในกลุ่มลาว สถูปที่คุณหมอทิน มอง จี คาดว่าจะเป็นของเจ้าฟ้าดอกเดื่อ ทีมคณะไทยไม่พบหลักฐานและเห็นว่าไม่น่าจะมีประเด็นแต่อย่างใด ทั้งที่เห็นชัดเจนว่ามีอิทธิพลของสถูปแบบ "บัว" ซึ่งนิยมทำสำหรับพระผู้ใหญ่ เช่นที่สถูปพระครูหลวงโพนสะเม็กที่จำปาสักอาจจะไม่สามารถจัดกลุ่มเข้าพวกได้จึงไม่ได้กล่าวถึงอีกแต่อย่างใด

การเผยแพร่ข้อมูลในวงเสวนานี้จึงอาจจะไม่ใช่งานศึกษาอย่างละเอียดนักแต่เป็นการทำงานกึ่งกู้ภัยรักษาโบราณสถานมากกว่า [Salvage Archeology] สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ที่ครอบงำไปด้วยประเด็นของกิจกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อการท่องเที่ยว

จึงน่าใส่ใจกันว่าจะมีการศึกษาเรื่องคนสยามหรือ คนโยดะยาในพม่ากันต่อหรือไม่ อย่างใด หลังจากจัดการพื้นที่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานกันไปได้แล้ว

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Opmerkingen


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page