เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559
การศึกษาทางโบราณคดีในบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสัก นับว่ามีความสนใจศึกษากันอย่างกว้างขวางในราว ๑๐ ปีที่ผ่านมา (เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐) การสำรวจแหล่งโบราณคดีเบื้องต้นของกรมศิลปากรในภูมิภาคนี้ทำให้ทราบว่ามีชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ การเร่งรัดสร้างถนนหนทางและการเกษตรอุตสาหกรรม ทำให้พบโบราณวัตถุจำนวนมหาศาล ที่นำมาซึ่งการขุดหาของเก่าและรับซื้อโบราณวัตถุกันอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้

ภาพแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งโดยประมาณของพื้นที่ซึ่งเรียกว่าลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำลพบุรีทางฝั่งตะวันออกและลุ่มป่าสักทางฝั่งตะวันตก
แหล่งโบราณคดีจำนวนมากสูญเสียไปในช่วงเวลานี้ เท่าที่สามารถทำได้คือการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นโบราณวัตถุและสำรวจพื้นที่ที่ถูกลักลอบขุด การศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา กระทำได้น้อยมาก
การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำป่าสัก พื้นที่น้ำท่วมส่วนหนึ่งเป็นแหล่งโบราณคดี การทำงานแข่งกับเวลาเพียง ๑- ๒ ปี กับแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงต้องยอมรับการสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้
เท่าที่ทราบข้อมูลจากการการขุดค้นและการสำรวจของห้างหุ้นส่วนจำกัดปุราณรักษที่รับศึกษาผลกระทบทางโบราณคดีในพื้นที่น่ำท่วมจากการสร้างเขื่อน พบว่า พื้นที่น้ำท่วมแห่งนี้มีเรื่องราวสำคัญและน่าสนใจอยู่มาก หากแต่เป็นวิธีการทำงานในระดับนโยบายของงานโบราณคดีกู้ภัย [Salvage Archaeology] ในประเทศไทย ข้อมูลส่วนหนึ่งจึงสูญหายไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
สภาพภูมิศาสตร์ของลุ่มลพบุรี-ป่าสัก
ลุ่มลพบุรี-ป่าสัก คือบริเวณฝั่งตะวันออกของลำน้ำเจ้าพระยา พื้นที่เริ่มตั้งแต่ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในเขตจังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี และชัยนาท สู่พื้นที่ลอนลูกคลื่น ความสูงตั้งแต่ต่ำกว่า ๑๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางในที่ราบลุ่มจนถึงราว ๘๐-๑๒๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และมีภูเขา เทือกเขาอยู่ทั่วไปอยู่ในเขตอำเภอบ้านหมี่ อำเภอโคกสำโรง อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี อำเภอตาคลี อำเภอตากฟ้า อำเภอไพสาลี อำเภอพยุหะคีรี จนถึงอำเภอเมือง รอบขอบบึงบรเพ็ด ในจังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาทางตะวันออกเป็นเขตพื้นที่สูงและเทือกเขา เช่น เขาวังเปล เขากลอยใจ เขาสอยดาว เขาถมอรัตน์ เขาซับไม้แดง เขาหินกลิ้ง ซึ่งเป็นแนวเขายาวจากเหนือลงใต้ ก่อนเข้าสู่เขตลำน้ำป่าสักในบริเวณอำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และอำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ราบลอนลูกคลื่นเช่นเดียวกัน ก่อนจะกลายเป็นที่สูงเชิงเขาของเทือกเขาพังเหย อันเป็นขอบยกตัวของที่ราบสูงโคราชกั้นเขตภาคกลางกับภาคอีสาน
สำหรับเส้นทางน้ำสำคัญสายหนึ่งได้แก่ ลำน้ำลพบุรี มีทางน้ำแยกย่อยที่บริเวณตัวจังหวัดลพบุรีหลายสาย สายหนึ่งเป็นเส้นทางเดินทางน้ำที่สำคัญในสมัยอยุธยาจากเกาะเมืองอยุธยาสู่เมืองลพบุรี ก่อนจะแยกออกจากเมืองลพบุรีไปทางตะวันตกผ่านอำเภอท่าวุ้ง ซึ่งแม่น้ำตอนนี้ชาวบ้านเรียกว่าคลองลพบุรีไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาแถว ปากบาง จังหวัดสิงห์บุรี พื้นที่ตอนเหนือของแม่น้ำลพบุรีส่วนนี้ มีทางน้ำโบราณหลายสายลักษณะเป็นกุดน้ำ บางส่วนกลายเป็นคลองเส้นเล็ก ๆ บางส่วนเป็นคุ้งน้ำกว้างใหญ่และไม่มีเส้นทางไปต่อกับแม่น้ำสายใหญ่สายอื่น
จากคุ้งน้ำหน้าเมืองลพบุรี มีคลองบางทะลาย คลองบางคู้ ซึ่งมีทางไปต่อกับแม่น้ำบางขามผ่านเขาสมอคอน บางตอนเรียกว่าลำน้ำสนามแจง ผ่านเข้าอำเภอบ้านหมี่ ซึ่งมีลำคลองอยู่จำนวนมากและมีทางแยกออกไปทางตะวันตกคือลำโพธิชัย พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง เส้นทางน้ำเหล่านี้มีชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญที่ใช้ในการเดินทางและค้าข้าวในช่วงต้นรัตนโกสินทร์อย่างเข้มข้น
ในอดีตสายน้ำเหล่านี้อาจเป็นเส้นทางน้ำสายหลักในอดีตของเมืองสำคัญ เช่น เมืองลพบุรี ไปสู่บ้านเมืองในสมัย ทวารวดีที่ เมืองบางไผ่ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เมืองจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมืองอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ทั้งมีวัดเก่าสมัยอยุธยาตั้งอยู่ริมลำน้ำนี้อีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ยังพอมองเห็นความต่อเนื่องของเส้นทางเหล่านี้อยู่
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สันนิษฐานไว้ในหนังสือ “ระยะทางเสด็จพระราชดำเนินประพาสตั้งแต่พระราชวังจันทรเกษมถึงจังหวัดลพบุร” ในรัชกาลที่ ๖ ว่า เส้นทางสายนี้คงเป็นแม่น้ำลพบุรีเดิม และพระนางจามเทวีคงจะเดินทางจากเมืองละโว้ ขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย ผ่านตามเส้นทางน้ำซึ่งไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาแถบหลังอำเภอพยุหะคีรี (หวน พินธุรักษ์, ๒๕๑๕ อ้างใน โบราณราชธานินทร์, พระยา เรื่องเกี่ยวกับพระนครศรีอยุธยา, ๒๕๐๓)
ที่ราบลอนลูกคลื่นต่อเนื่องกับที่ราบลุ่ม ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ราบระดับต่ำ น้ำท่วมถึงในช่วงหน้าน้ำระยะสั้น ๆ อันได้แก่บริเวณเขตอำเภอบ้านหมี่ ซึ่งมีธารน้ำมากมายหล่อเลี้ยงพื้นที่บริเวณนี้ต่อเนื่องไปจนถึงเขตที่ลุ่มเหนือเมืองลพบุรี เส้นทางน้ำเหล่านี้เป็นลำธารสายเล็ก ๆ ที่ไหลจากเทือกเขาในอำเภอสระโบสถ์ เช่น เขาลับแล เขาวังเปล เขาเชือก เขากลอยใจ เขานมนาง ซึ่งมีความสูงระหว่าง ๔๕๐ - ๖๕๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไหลจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้รวมเป็นลำธารสายใหญ่ ด้านบนเรียกว่า ลำน้ำสนามแจง และมีลำธารต่าง ๆ แตกแขนงในชื่ออื่น ๆ ตามชื่อของชุมชนที่ไหลผ่าน แล้วไปรวมกับลำน้ำห้วยแก้วที่อำเภอบ้านหมี่ ซึ่งจะมีเส้นทางต่อกับแม่น้ำบางขามอีกทีหนึ่ง ตามลำน้ำมีชุมชนในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างหนาแน่นโดยตลอด ส่วนเส้นทางน้ำด้านล่างไหลแยกออกจากลำน้ำสนามแจง คือ ลำมะเลง มีคลองถลุงเหล็กแยกออกไปสู่บ้านถลุงเหล็ก และคลองโพธิ์ทองสู่บ้านพรหมทินเหนือและบ้านพรหมทินใต้
บริเวณลุ่มน้ำทั้งสองสายนี้ แม้จะเป็นพื้นที่ราบลอนลูกคลื่น แต่ก็สามารถปลูกข้าวในแบบทำนาทดน้ำได้ และยังมีการตั้งถิ่นฐานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อย่างหนาแน่นเรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ อีกทั้งมีทรัพยากรแร่ธาตุในบริเวณใกล้เคียงอย่างอุดมสมบูรณ์ เช่น ที่เขาทับควาย และเทือกเขาวงพระจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล (กองโบราณคดี ๒๕๓๑, Mudar, Karen. 1995)
ที่สูงทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองลพบุรี มีเทือกเขาสำคัญที่อุดมไปด้วยแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุมากมาย ตั้งแต่เขาพระงาม เขาสามยอด เขาขวาง และเทือกเขาในหุบเขาวงพระจันทร์ เช่น เขาพุคา เขาวง และเขาวงพระจันทร์ ความสูงอยู่ในราว ๒๕๐-๖๕๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณนี้เป็นแหล่งถลุงทองแดงที่สำคัญสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในเขตลุ่มลพบุรี-ป่าสัก และในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

ภาชนะรูปแบบโดดเด่นแบบลายคดโค้งกดจุด [Rouletted meander]
พบในจากการลักลอบขุดค้นในเขตจังหวัดลพบุรี
พื้นที่ลอนลูกคลื่นระดับกลางและระดับสูง สภาพพื้นดินเหมาะสมกับการปลูกพืชไร่อยู่ในบริเวณบางส่วนของบริเวณอำเภอหนองม่วง อำเภอโคกเจริญ อำเภอสระโบสถ์ อำเภอตาคลี อำเภอพยุหะคีรี และอำเภอตากฟ้า จนถึงขอบบึงบรเพ็ด บริเวณนี้ยังมีภูเขาซึ่งมีแร่เหล็กประเภทเฮมาไทด์อยู่มากมาย เช่นที่เนินเขารอบ ๆ เขาแหลม และเขาแม่เหล็ก แถบหางน้ำสาคร เขาตีคลีในอำเภอตาคลี เขาบ่อแก้ว อำเภอพยุหะคีรี ส่วนพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือใกล้ ๆ กับอำเภอหนองบัวก็มีแหล่งแร่เหล็ก ตะกั่ว ดีบุก ยิปซั่ม มีทั้งเหมืองเก่าและเหมืองใหม่ที่ยังดำเนินการอยู่ แม้จะไม่มีเส้นทางน้ำสายใหญ่ ๆ แต่ก็มีลำห้วย ลำธารขนาดเล็กปรากฏอยู่มากมาย ลำธารเล็ก ๆ เหล่านี้หล่อเลี้ยงชุมชนได้ในหน้าน้ำ แต่แห้งขอดในฤดูแล้ง แหล่งน้ำสำคัญได้แก่แหล่งน้ำใต้ดินที่ชาวบ้านเรียกว่า พุ ซับ ชอน ซึ่งหมู่บ้านหลายแห่งที่อยู่ในบริเวณนี้ มักจะมีชื่อหมู่บ้านตามชื่อของแหล่งน้ำใต้ดินนี้ เช่น พุขมิ้น ซับลำไย ชอนสารเดช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำที่เป็นหนองน้ำ สระน้ำ ซึ่งก็มีชื่อเรียกชุมชนตามชื่อแหล่งน้ำอีกเช่นกัน
บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก สภาพพื้นที่เป็นที่สูงและที่สูงเชิงเขา ลักษณะเป็นลอนลูกคลื่นทั้งแบบลาดและชัน มีกลุ่มเขาสำคัญ เช่น เขากา เขาสมโภชน์ เขาลอมฟาง เขาหางตลาด เขาถมอรัตน์ เป็นต้น ลำน้ำป่าสักเป็นลำน้ำยุคเก่า มีความคดเคี้ยวและตลิ่งสูงชันมาก ต้นกำเนิดอยู่ในเขตอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ในช่วงหน้าน้ำน้ำจะเต็มฝั่งจนเอ่อท่วมในช่วงเวลาสั้นๆ หากเป็นหน้าแล้งน้ำจะแห้งขอดจนติดท้องน้ำ ปัญหาในเรื่องการชลประทานทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ทำให้เกิดโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บริเวณตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ซึ่งจะเปิดทำการในราวปี พ.ศ.๒๕๔๑ เขื่อนจะทำให้น้ำท่วมอย่างถาวรในบริเวณสองฝั่งลำน้ำป่าสัก ตั้งแต่เขตอำเภอพัฒนานิคมขึ้นไปจนถึงอำเภอชัยบาดาล ในจังหวัดลพบุรี
นอกจากนี้ยังมี ลำสนธิ ที่มีต้นน้ำในเขตอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ แล้วไปบรรจบกับลำพญากลางซึ่งไหลผ่านช่องเขามาจากเขตจังหวัดนครราชสีมาที่บ้านโคกคลี จังหวัดลพบุรี ไหลลงสู่แม่น้ำป่าสักในตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล ในบริเวณลุ่มป่าสักมีแหล่งโบราณคดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์แต่ไม่หนาแน่นเท่ากับในเขตลุ่มลพบุรี
ในบริเวณพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบลอนลูกคลื่นทั้งแบบลาดชันและลอนลาด โดยปกติพื้นดินที่เป็นลอนลูกคลื่นมักจะเป็นดินเหนียวและดินลูกรังที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่พื้นที่ซึ่งเป็นดินกลุ่มชุดลพบุรี ชุดตาคลี ชุดปากช่อง ซึ่งเกิดจากการทับถมของหินมาร์ล ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสลายของหินปูนอีกทีหนึ่ง ชั้นบนเป็นดินร่วนปนดินเหนียวสีดำ ชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนทรายแป้งหรือดินเหนียวสีเทาเข้ม มักพบเม็ดปูนสีขาวอยู่ในเนื้อดิน และจะไม่มีดินลูกรัง เป็นดินชุดที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ปฎิกริยาเป็นด่าง เหมาะสำหรับการปลูกพืชไร่จำพวก ข้าวโพด ฝ้าย ถั่ว อ้อย ข้าวฟ่าง และไม้ผลบางชนิด ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการปลูกข้าวแบบทดน้ำ ดินดำชนิดนี้นับเป็นลักษณะพิเศษของพื้นที่ราบลอนลูกคลื่นบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสัก แม้ภูมิอากาศในปัจจุบันจะค่อนข้างร้อนและแห้งแล้ง แต่ก็เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
ภูเขาและเทือกเขาในเขตนี้ ประกอบไปด้วยหินแกรไนต์ หินแอนดีไชต์ หินปูน ซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย ทำให้มีแร่ธาตุทั้งทองแดงและเหล็กจำนวนมาก มีหินตระกูลควอทซ์ [Quartz] หรือหินเขี้ยวหนุมานสีต่าง ๆ หินมาร์ลเนื้อละเอียดสีขาว หินเนพไฟน์ [Nephrite] ซึ่งเป็นหินตระกูลหยกสีเขียวอ่อนจนถึงเขียวแก่ เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างหนาแน่นในบริเวณลุ่มลพบุรี-ป่าสักแห่งนี้ เพื่อใช้สำหรับทำเครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับ
แต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้ เต็มไปด้วยป่าไม้ประเภทป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าไผ่ ในจดหมายเหตุการเดินทางของบาทหลวงตาร์ชาร์ดและคณะสำรวจซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศส กล่าวถึงสภาพภูมิประเทศในเขตนี้ไว้ว่า ป่าของเมืองละโว้เป็นป่าทึบบริเวณนี้มีช้างป่าจำนวนมากในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการสร้างเพนียดจับช้างป่ากันอยู่เสมอ และเป็นพื้นที่แหล่งทรัพยากรแร่ธาตุที่มีผู้รู้จักกันดี โดยเฉพาะมีบันทึกถึงการไปสำรวจเหมืองแม่เหล็กที่คุณภาพดีหลายแห่ง รวมถึงสัตว์ป่าจำพวก เสือ ช้าง แรด กระบือ กวาง เก้ง สมัน ลิงป่า กระต่ายป่า นกกระทา ไก่ป่า นกยูง นกเขา นกกะเรียน (ซึ่งสูญหายไปจากบริเวณนี้จนหมดแล้ว) จำนวนมาก (สันต์ ท. โกมลบุตร ๒๕๑๙ : ๑๗๔ - ๑๗๕) พื้นที่บริเวณนี้มีการตั้งถิ่นฐานกันอยู่ค่อนข้างเบาบางในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นพื้นที่ของการบุกเบิกตั้งถิ่นฐาน เป็นซ่องโจร และเป็นชุมชนที่หลบอาญาของบ้านเมือง ภายหลังจึงมีการพัฒนาขึ้นเป็นชุมชนหมู่บ้านที่เริ่มสะดวกในการเดินทางไปมาติดต่อกับสังคมภายนอก
ความเข้าใจเกี่ยวกับยุคโลหะในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การใช้โลหะเริ่มจากการนำแร่ทองแดงมาผสมแร่ดีบุกเป็นโลหะสำริด ใช้เป็นเครื่องมือหรือเครื่องประดับ ต่อมาจึงมีการใช้เหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้ ส่วนสำริดก็ยังคงมีการนำมาใช้เป็นเครื่องประดับอยู่
วัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามถือว่าเด่นชัดและใกล้ชิดกันที่สุด ส่วนวัฒนธรรมสำริดในประเทศไทยที่เคยเชื่อว่าเก่าที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็เป็นเรื่องผิดพลาดจากการกำหนดค่าอายุ เมื่อเรียนรู้และทราบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทำให้เห็นว่า วัฒนธรรมการใช้สำริดและเหล็กในดินแดนนี้มีความร่วมสมัยและไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแต่อย่างใด หากขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ความชำนาญและปริมาณการทำเครื่องมือเครื่องใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ
วัฒนธรรมในยุคโลหะที่โดดเด่นในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสรุป มีดังนี้
วัฒนธรรมโลหะในยูนนาน ยูนนานในปัจจุบัน เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ติดกับพรมแดนพม่า ลาว และเวียดนาม นักวิชาการจีนมีความเห็นว่า วัฒนธรรมสำริดในยูนนานมีอายุตั้งแต่ ๑,๒๐๐ BC. จนถึงต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ราว ๑๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ หรือ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว แบ่งออกเป็น กลุ่มวัฒนธรรมเตียน บริเวณทะเลสาบเตียน กลุ่มวัฒนธรรมเอ๋อไห่ ทางทิศตะวันตกของยูนนาน กลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง (แม่น้ำหงเหอ) อยู่ทางตะวันออกต่อกับเวียดนามบริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่มีการพัฒนาน้อยกว่ากลุ่มที่กล่าวไปแล้ว บริเวณช่วงบนของแม่น้ำโขง หนูเกียง และจินซาเกียง และกลุ่มช่วงกลางและช่วงล่างของแม่น้ำโขง
มีการขุดพบโบราณวัตถุทำจากสำริดมากมหาศาล ลักษณะเด่น ๆ เช่น กลองมโหระทึก จอบรูปใบไม้ ใบหอก ขวาน ขวานดาบสั้น [Ko : Dagger axes] ขวานเย่ว (รูปร่างคล้ายรองเท้าบู้ทหรือรูปร่างคล้ายเสี้ยวจันทร์) [Yue : Crescent blade axes] เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม เครื่องดนตรี เครื่องแต่งตัว และรูปปั้นสัตว์ชนิด ต่าง ๆ เป็นต้น
การใช้สำริดในยูนนานมีปริมาณมาก เพราะอยู่ในแหล่งทรัพยากรที่มีทั้งแหล่งแร่ทองแดงและดีบุกอุดมสมบูรณ์ จนสามารถพัฒนาเทคนิคการหลอมโลหะอยู่ในขั้นสูงสุด และในปัจจุบันมณฑลยูนนานก็รู้จักในฐานะที่มีแหล่งแร่ทองแดงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ส่วนการเข้าสู่ยุคเหล็กในยูนนาน อยู่ในราวปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก-ต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ๑๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ หรือเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งก็เป็นเพราะแร่เหล็กเป็นของหายากในบริเวณนี้ จึงมีปริมาณการใช้น้อยและล้าหลังกว่าที่อื่น
วัฒนธรรมโลหะในเวียดนาม ศูนย์กลางวัฒนธรรมในยุคโลหะทางตอนเหนือของเวียดนาม เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อวัฒนธรรมดองซอน กระจายอยู่อย่างกว้างขวางในลุ่มแม่น้ำแดง ลุ่มแม่น้ำดำ สามเหลี่ยมแม่น้ำมาและแม่น้ำคา มีความสัมพันธ์ในด้านรูปแบบโบราณวัตถุกับวัฒนธรรมเตียนและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง (หรือแม่น้ำหงเหอ) ในยูนนาน ซึ่งสันนิษฐานว่าวัฒนธรรมทั้งสองมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยวัฒนธรรมดองซอนน่าจะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเตียนมากกว่า โบราณวัตถุเด่น ๆ เช่น กลองสำริด ขวานดาบสั้น [Ko; Dagger axes] และขวานเย่ว [Yue] (รูปร่างคล้ายรองเท้าบู้ท) ซึ่งพบเป็นจำนวนมากในวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแดง จนกล่าวว่าอาจจะเป็นแหล่งต้นกำเนิดของขวานชนิดนี้
วัฒนธรรมสำริดแบบดองซอน นับว่าเจริญสูงสุด ทั้งในด้านเทคโนโลยีการหลอมโลหะสำริดเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และพัฒนาการทางด้านสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมในภาคกลางและภาคใต้ (พรชัย สุจิตต์ : ๒๕๓๒)
วัฒนธรรมกลุ่มชายฝั่งทะเลในภาคกลางของเวียดนาม รู้จักกันในชื่อ วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ [Sa-Huynh] มีศูนย์กลางอยู่ทางแถบชายฝั่งทะเลตอนกลางของเวียดนาม มีพัฒนาการตั้งแต่ยุคหินใหม่ตอนปลายจนถึงยุคโลหะ ส่วนช่วงที่อยู่ในระยะเวลาร่วมสมัยกับวัฒนธรรมดองซอน (๕๐๐ BC. - AD. ๑๐๐) พบโบราณวัตถุสำริดน้อยมาก ในขณะที่เครื่องมือเหล็กมีการพัฒนาถึงการผลิตระดับอุตสาหกรรม วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ในเวียดนามตอนกลางถือว่ามีความสำคัญพอกับวัฒนธรรมดองซอนในภาคเหนือ และวัฒนธรรมเตียนในยูนนาน เพราะเห็นการแพร่กระจายโบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมดังกล่าว ในภาคพื้นและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจน
วัฒนธรรมดอคเชอ [Doc Chua] ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามอยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินใหม่จนถึงยุคเหล็กเช่นกัน โบราณวัตถุที่พบเป็นแบบธรรมดาเหมือนกับที่พบในแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไป ไม่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ [Chinh and Tien, 1980]
วัฒนธรรมโลหะในประเทศไทย วัฒนธรรมยุคสำริดที่สำคัญคือ กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงในแอ่งสกลนคร ชุมชนบ้านเชียงเริ่มรู้จักใช้สำริดตามค่าอายุที่ทบทวนใหม่โดยการนำมาเปรียบเทียบกับการขุดค้นที่บ้านนาดี คือ ยุคบ้านเชียงตอนต้นระหว่างช่วง ๑,๖๐๐ BC. - ๙๐๐ BC. ตอนกลางระหว่าง ๑,๑๐๐ BC.- ๘๐๐ BC. ส่วนตอนปลายประมาณ ๓๐๐ BC. - AD. ๓๐๐ [White, Joyce C. 1990] ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต่ำจากการกำหนดอายุแต่เดิมมาก แต่ก็ยังเก่ากว่าวัฒนธรรมสำริดในจีนและเวียดนามอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงเป็นเพียงตัวแทนหนึ่งที่รู้จักกันดี ในขณะที่วัฒนธรรมโลหะในภาคกลาง ที่มีการศึกษาและกำหนดอายุยุคที่มีการใช้สำริดไว้ราว ๑,๕๐๐ BC. - ๗๐๐ BC. และยุคเหล็กอยู่ในช่วง ๕๐๐ BC.-ค.ศ.๑๐๐ (สุรพล นาถะพินธุ, ๒๕๓๘) ซึ่งก็เป็นช่วงอายุที่ค่อนสูงกว่าจีนและยูนนานเช่นกัน จากการศึกษาโบราณคดีในรอบทศวรรษที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มวัฒนธรรมสำริดและเหล็กในภาคกลางไม่น่าจะมีความสำคัญน้อยไปกว่ากลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง และยอมรับกันว่าควรจะร่วมสมัยกับกลุ่มวัฒนธรรมโลหะอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย
หากการกำหนดค่าอายุที่ค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มวัฒนธรรมที่มีการใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับทำจากสำริดที่มีรูปแบบหลากหลายอย่างยิ่งเช่นในยูนนานและเวียดนาม แล้วทำให้ ยุคสำริดในประเทศไทยคงความเก่าที่สุดในภูมิภาค จึงเป็นการมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมภายในไปอย่างน่าเสียดาย
ในอดีตเมื่อมีค่าอายุเป็นตัวกำหนดเช่นนี้ก็ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ได้ในเมื่อกำหนดให้ยุคสำริดในประเทศไทยมีมาก่อนยูนนานและเวียดนามกว่า ๓๐๐-๔๐๐ ปี แม้แต่การใช้สำริดในประเทศไทยเอง ระหว่างแอ่งสกลนครในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงและภาคกลางของประเทศไทยก็ยังมีการกำหนดอายุที่ต่างกัน มีข้อสันนิษฐานว่าการถลุงทองแดงจำนวนมหาศาลในหุบเขาวงพระจันทร์คงมีขึ้นเพราะมีตลาดที่มีความต้องการนำทองแดงไปใช้ทำสำริดเพราะเวลานั้นปรากฏว่ามีการนิยมใช้สำริดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกันมากแล้ว (สุรพล นาถะพินธุ ๒๕๓๙ : ๑๒๕) อันแสดงถึงการยอมรับในค่าอายุของยุคสำริดของกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงว่าเก่าแก่กว่าภาคกลาง และเสนอว่าการถลุงทองแดงในภาคกลางเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกด้วย มีชุมชนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่แน่นอนอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่คำถามคือ เกิดระบบตลาดระหว่างชุมชนที่ถลุงทองแดงกับชุมชนภายนอกอย่างไรในเวลานั้น

เครื่องมือสำริดที่เรียกว่า Yue พบทั้งในจีน มณฑลยูนนานและเวียดนาม และพื้นที่อื่น ๆ
บางแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากยอมรับว่าในประเทศไทยมีการใช้สำริดที่เก่ากว่าที่อื่น แต่การพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริดและมีรูปแบบเดียวกับที่พบในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือที่มีพัฒนาการทางสังคมค่อนข้างซับซ้อนแล้ว ในช่วงอายุต่ำกว่า ๑,๐๐๐ BC. ลงมา หลายชนิดและสามารถเทียบเคียงกันได้ แต่ไม่เห็นภาพของชุมชนที่มีความซับซ้อนในช่วงยุคสำริดในประเทศไทย กรณีเช่นนี้จะให้คำตอบได้อย่างไร
มีความเข้าใจว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อสัมพันธ์กันในระหว่างภูมิภาคทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีวัฒนธรรมต้นแบบในที่ใดที่หนึ่งแล้วแพร่กระจายไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ที่ด้อยกว่า แต่เป็นการติดต่อผ่านการแลกเปลี่ยนระยะทางไกล ถ่ายทอดลักษณะทางวัฒนธรรมบางประการให้แก่กัน ซึ่งมีหลักฐานให้เห็นว่า ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
ดังนั้น จึงพบว่ามีการกระจายตัวของขวานดาบสั้น [Ko; Dagger axes] ดาบสั้น [Short swords] ดาบคมสองด้าน [Daggers] ขวานเย่ว [Yue axes] ซึ่งมีรูปแบบและการตกแต่งลวดลาย คล้ายกับต้นแบบวัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือ พบในภูมิภาคต่าง ๆ
โบราณวัตถุที่มีลักษณะเด่น ๆ ในกลุ่มวัฒนธรรมเตียน หงเหอ ดองซอน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าส่งอิทธิพลด้านรูปแบบ หรือตัววัตถุเองให้กับชุมชนในภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะในดินแดนประเทศไทย คือ หลักฐานการพบขวาน Ko ในแหล่งโบราณคดีชายฝั่งทะเลของกวางตุ้งตอนที่อยู่ตรงกันข้ามกับเกาะฮ่องกง [Magliali 1975] กวางโจว กวางสี เลย น่าน อุดรธานี นครพนม และกาญจนบุรี
ส่วน ขวานเย่ว รูปทรงคล้ายรองเท้าบู้ทหรือพระจันทร์เสี้ยว พบว่ามีรูปแบบเหมือนกับขวานสำริดที่พบในกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงหลายแห่ง บ้างก็กำหนดไว้ในช่วงต้นใกล้ ๆ ๒,๐๐๐ BC. [Labbe, Armand.J 1985 :18] แต่การขุดค้นที่ดอนธงชัย อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร (โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๗ จังหวัดขอนแก่น สิงหาคม ๒๕๔๐) พบขวานรูปร่างนี้เช่นกัน แต่กำหนดอายุของแหล่งไว้ในช่วงวัฒนธรรมบ้านเชียงตอนปลาย
ส่วน กลองสำริด แบบดองซอนหรือเฮเกอ1 หรือแบบซือไจ้ซาน พบที่เกาะสมุย เขาสามแก้ว นครศรีธรรมราชสงขลา หมู่เกาะสุมาตรา ถ้ำองบะ จังหวัดกาญจนบุรี อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ (พิริยะ ไกรฤกษ์ ๒๕๓๓) และมีรายงานการพบกลองมโหระทึกแบบดองซอนในแถบตะวันตกอีกคือที่ เขาขวาก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เขาสะพายแร้ง อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี (สุรินทร์ เหลือลมัย : สัมภาษณ์ ๒๕๔๐) ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ ๖๐๐ BC. ลงมาจนถึงช่วงต้น ๆ ของคริสตศตวรรษทั้งสิ้น
ส่วนในเรื่องภาชนะดินเผา การขุดค้นที่โคกเจริญ มีการตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การตกแต่งภาชนะดินเผาทรงกระบอกลายคดโค้ง [Rouletted meander] เช่นนี้ พบโดยทั่วไปในแหล่งโบราณคดีในภาคกลาง โนนนกทา กลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง กัมพูชา ยูนนาน และเวียดนามตอนเหนือ [Watson 1992] ซึ่งก็เห็นจริงจากการที่พบการตกแต่งลวดลายนี้อยู่ทั่วไปในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ในกลุ่มบ้านเชียงระยะแรก และที่โนนนกทา จนถึงกลุ่มสำโรงเสนในกัมพูชา (ได้ข้อสรุปว่าเป็นเทคนิคการทำลวดลายกันโดยเฉพาะที่แหล่งโบราณคดีในเวียดนาม คือที่ เฮาลอค [Hoa Loc] และฟุงเหวียน [Phung Nguyen] [Rispoli, 1992] ลวดลายการตกแต่งแบบนี้มีการลงความเห็นว่ามีมาก่อน ๑,๕๐๐ BC. ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการทำสำริดในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก และ Rispoli เรียกการตกแต่งด้วยลายขีดเป็นเส้นโค้งผสมกับลาย “กดประทับเป็นลายเกล็ดปลา” [Scale-pattern impressed decoration] ซึ่งมีการทดลองทำ ปรากฏว่าลวดลายที่มีลักษณะเป็นจุดสี่เหลี่ยมเรียงต่อกันเป็นแถบของจุดสี่เหลี่ยม น่าจะทำโดยการใช้เชือกที่ด้านหน้าของไม้กดประทับลงบนผิวภาชนะต้องทำในลักษณะโยกไม้แบนที่มีเชือกพันให้ขยับเคลื่อนที่ไปที่ละน้อยตาม
ขนาดความหนาของเส้นเชือก เกลียวของเชือกแต่ละเกลียวจะทำให้เกิดรอยประทับเป็นจุดสี่เหลี่ยม ๑ จุด (สุรพล นาถะพินธุ, ๒๕๓๙) ลวดลายนี้นับว่าเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ โบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ ยังมีการพบอยู่ทั่วไปในแถบภาคพื้นทวีปและหมู่เกาะ วัฒนธรรมซาหวิ่งห์ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นในช่วงยุคเหล็กที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมดองซอน รูปแบบภาชนะดินเผาที่ Kalanay ตอนกลางที่ฟิลิปปินส์ ซึ่ง โซลไฮล์ม [W.G Solheim] เปรียบเทียบว่ามีรูปแบบเดียวกับวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ [Sa-huynh-Kalanay pottery forms] รูปแบบนี้พบอยู่ในชายฝั่งเวียดนามตอนกลาง ภาคกลางของฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของมาเลเซีย ประเทศไทย ซาราวัก หมู่เกาะเซเลเบส และในสุมาตรา ในช่วงเวลาระหว่าง ๗๕๐ BC. - AD. ๒๐๐ [Solheim, 1967]
รวมทั้งประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง โดยใช้ภาชนะดินเผาครอบปากภาชนะอีกใบหนึ่ง ซึ่งพบโดยมากบริเวณลุ่มน้ำมูล-ชี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นลักษณะเดียวกับที่พบในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ในเวียดนามตอนกลางเช่นกัน
ตุ้มหูแบบหัวสัตว์สองหัวและแบบมีปุ่มสามปุ่ม ซึ่งเป็นมรดกวัฒนธรรมของซาหวิ่งห์ เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า มีการติดต่อระหว่างชุมชนชายฝั่งทะเลทางภาคกลางของเวียดนามและชุมชนร่วมสมัยในกัมพูชา ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและไต้หวัน [Vu Cong Quy 1991] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า มีการติดต่อเคลื่อนไหวกับชุมชนในวัฒนธรรมดองซอนและวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ บ้านดอนตาเพชรนั้น เครื่องประดับจากหินมีค่าและแก้ว อาวุธและเครื่องมือเหล็กที่มีลักษณะเด่นเช่นมีดรูปจะงอยปากนก [billhook] นอกจากที่ดอนตาเพชรแล้ว ยังพบที่แหล่งโบราณคดีหลายแห่งในเขตลพบุรีและนครสวรรค์ อีกทั้งพบในแหล่ง Phuhou-Hoavinh ทางตอนกลางของเวียดนาม มีรูปแบบเดียวกับที่พบในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์มากทีเดียว
มีการติดต่อภายในภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลและลุ่มน้ำภายใน เขตเทือกเขาบางส่วน และชุมชนที่ติดต่อกันตามเส้นทางช่องเขา ลำน้ำสาขาต่าง ๆ ช่วงเวลาที่เกิดความเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น เหล่านี้น่าจะอยู่ในราวยุคเหล็กถึงยุคเหล็กตอนปลาย (๕๐๐ BC.-ค.ศ.๑๐๐) และเริ่มเข้าสู่สมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์คือวัฒนธรรมจามปาในเวียดนามตอนใต้ และวัฒนธรรมทวารวดียุคเริ่มแรกในประเทศไทย เป็นช่วงเวลาแห่งความเคลื่อนไหวภายในภูมิภาคอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การติดต่อระหว่างภูมิภาคเห็นได้ชัดเจนคือ ระหว่างชุมชนชายฝั่งทะเล และชุมชนภายในที่ใช้เส้นทางลุ่มน้ำภายนอกนำสู่ภายใน เช่นที่ อู่ทองและดอนตาเพชร ตลอดจนเส้นทางน้ำและบกภายใน เช่น ในแอ่งสกลนคร ริมฝั่งแม่น้ำโขง (ดอนตาลและอุบลราชธานี) และที่ราบลอนลูกคลื่นในภาคกลาง ความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความต้องการทรัพยากรแร่ธาตุจากต่างถิ่น หรือจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความสามารถในการเดินเรือเลียบชายฝั่งทะเลในระยะทางไกล ๆ ที่พัฒนาเพิ่มขึ้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง พบแหล่งโบราณคดีซึ่งเห็นได้ชัดว่า เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมสำริดที่ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมสำริดในยูนนานและเวียดนามตอนเหนือในช่วงเวลากว้าง ๆ คือ ราว ๑,๐๐๐ BC. ลงมา นอกจากติดต่อกับชุมชนภายนอกแล้ว โบราณวัตถุที่พบแสดงให้เห็นว่า มีการติดต่อระหว่างชุมชนภายใน เช่นในพื้นที่ราบภาคกลาง กินบริเวณกว้างของพื้นที่ลอนลูกคลื่น ตั้งแต่เทือกเขาเพชรบูรณ์จนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ข้ามไปจนถึงแอ่งสกลนครบริเวณกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียงตอนต้นของแม่น้ำสงครามและน้ำสาขา กลุ่มโนนนกทาในลุ่มน้ำชีตอนบน จังหวัดขอนแก่น และทางชายฝั่งทะเลอาจจะเป็นโคกพนมดีในจังหวัดชลบุรีหรือที่อื่น ๆ เพราะพบหอยทะเลชนิดและขนาดต่าง ๆ ใช้ทำเครื่องประดับ เป็นของมีค่าอย่างยิ่งสำหรับชุมชนที่อยู่ห่างไกลชายฝั่ง
แม้ค่าอายุของยุคสำริดโดยทั่วไปจะอยู่ในราว ๑,๒๐๐ BC. - ๑,๐๐๐ BC. หากโบราณวัตถุที่แสดงถึงความเคลื่อนไหวและติดต่อสัมพันธ์กับภูมิภาคอื่น ๆ อย่างกว้างขวางกลับอยู่ในช่วงยุคเหล็ก ราว ๕๐๐ BC. - ค.ศ.๑๐๐ ซึ่งยังคงใช้เครื่องประดับสำริดควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือเหล็ก โดยมีแหล่งทรัพยากรและความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมเป็นตัว
ในขณะที่การก้าวเข้าสู่ยุคเหล็กหรือช่วงที่มีเครื่องมือเหล็ก มีความแตกต่างที่เด่นชัดจากห้วงเวลายุคสำริด การอธิบายถึงชุมชนในยุคเหล็กที่เพิ่มปริมาณขึ้น สภาพสังคมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง และการก้าวไปสู่พัฒนาการของรัฐ จึงเป็นสิ่งทีน่าสนใจ

แผนที่แสดงตำแหน่งที่พบกลองมโหระทึกแบบเฮเกอร์ ๑
โบราณคดีในลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก
ภาพรวมของการแบ่งยุคสมัยในลุ่มลพบุรี-ป่าสักที่โดดเด่น มาจากงานการขุดค้นและเปรียบเทียบรูปแบบโบราณวัตถุของผศ.สุรพล นาถะพินธุ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีการกำหนดแหล่งโบราณคดีสำคัญที่มีค่าอายุจากวิธีการคาร์บอน - ๑๔ เป็นดรรชนีในการเปรียบเทียบยุคสมัยจากการขุดค้นแหล่งฝังศพต่าง ๆ
การแบ่งอายุสมัยของชุมชนในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก มีดังนี้ (สุรพล นาถะพินธุ : ๒๕๓๙)
วัฒนธรรมระยะที่ ๑ กำหนดอายุไว้ราว ๒,๕๐๐ BC. - ๑,๕๐๐ BC. มีการใช้ขวานหินขัด เครื่องประดับจากเปลือกหอยทะเล ไม่มีการใช้โลหะ ภาชนะดินเผาที่เด่นคือ ที่ตกแต่งผิวภาชนะเป็นลายหนังช้าง (เป็นร่องลึกหยาบอาจทำโดยการใช้เชือกเส้นใหญ่กดประทับเหมือนรอยย่นของหนังช้าง) และลายเกล็ดปลาที่มีลายคดโค้ง (อาจทำจากการใช้เชือกพันแกนไม้กดประทับ) ซึ่งอาจารย์สุรพลเห็นว่ามีอิทธิพลจากรูปแบบภาชนะในวัฒนธรรมซาหวิ่งห์ทางตอนเหนือของเวียดนามที่อยู่ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
วัฒนธรรมระยะที่ ๒ กำหนดอายุไว้ราว ๑,๕๐๐ BC. - ๗๐๐ BC. มีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมที่หุบเขาวงพระจันทร์ โบราณวัตถุที่พบยังคงมีการตกแต่งภาชนะเป็นลายเกล็ดปลาคดโค้งหรือลายแกนไม้พันเชือก ทรงพานฐานสูง และภาชนะรูปวัว มีการใช้เครื่องประดับเปลือกหอย ส่วนวัตถุที่ทำจากสำริดนั้นพบน้อยมาก
วัฒนธรรมระยะที่ ๓ กำหนดอายุไว้ราว ๗๐๐ BC. - ๓๐๐ BC. ยังมีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมที่เทือกเขาวงพระจันทร์อยู่ พร้อมกันนั้นก็มีการใช้เหล็กปรากฏขึ้น ระยะเวลานี้พบว่ามีการใช้ลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติจำนวนมากแล้ว และเครื่องประดับทำจากเปลือกหอยทะเลและหินเนื้ออ่อนมีจำนวนลดลง
วัฒนธรรมระยะที่ ๔ กำหนดอายุไว้ราว ๓๐๐ BC. - AD. ๕๐๐ มีการใช้ลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติและลูกปัดแก้วกันมากแล้วและมีการใช้เครื่องมือเหล็กทำเครื่องมือเครื่องใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว
การแบ่งช่วงอายุของแหล่งโบราณคดีในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นมีความคล้ายคลึงกัน แม้จะมีการกำหนดอายุที่ไม่ตรงกันทั้งหมด แต่ก็อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และในแหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งอาจจะมีมากกว่า ๑ ระยะ ซึ่งก็มักจะพบเป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้แนวดิ่ง คือช่วงเวลาที่ปรากฏผู้คนอยู่ในบริเวณนี้ได้โดยตลอดเป็นเวลามากกว่า ๓,๐๐๐ ปี โดยแบ่งออกเป็น ๔ ระยะ แต่สิ่งที่ขาดไปนั่นคือ ลักษณะทางวัฒนธรรมของกลุ่มชุมชนที่อยู่ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก ที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมย่อยที่เป็นศูนย์กลางในแหล่งหนึ่ง ๆ [Cultural complex] นั้น ยังไม่มีความชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโครงการศึกแหล่งโบราณคดีไม่ได้ทำการศึกษาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กว้างขวางและข้อมูลถูกทำลายจากการขุดหาของเก่าซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน จึงทำให้ไม่อาจแบ่งลักษณะย่อยทางวัฒนธรรมของชุมชนในระยะต่าง ๆ ได้
ทั้งที่ลักษณะทางวัฒนธรรมของชุมชนในเขตนี้น่าจะแบ่งย่อยเป็นกลุ่มที่มีความแตกต่างในรายละเอียดทางสังคมได้หลายกลุ่ม แต่ไม่อาจหาหลักฐานแน่นอนมาแบ่งได้อย่างชัดเจนและเด็ดขาด
สำหรับบทความนี้อยู่ในกรอบความคิดที่ว่า มีความเคลื่อนไหวของสังคมในชุมชนยุคเหล็กอย่างมาก (ราว ๕๐๐ BC. ลงมาจนถึงการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์) เป็นช่วงเวลาของพัฒนาการสำคัญที่จะนำเข้าสู่การเป็นรัฐ เป็นบ้านเมืองที่ซับซ้อนในสมัยทวารวดี ดังนั้น ผู้เขียนจึงแบ่งช่วงเวลาในการศึกษาออกเป็น ๓ ระยะด้วยกัน เพื่อสามารถทำความเข้าใจพัฒนาการของชุมชนในลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม มิใช่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว โดยแบ่งช่วงอายุในกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มลพบุรี-ป่าสัก แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง โดยมียุคเหล็กเป็นแกนสำคัญ หากเป็นช่วงเวลาประมาณได้ว่า ช่วงแรกก่อนเวลา ๕๐๐ BC. ช่วงที่สองระหว่าง ๕๐๐ BC. จนถึงการมีศูนย์กลางชุมชนขนาดใหญ่ระดับรัฐยุคเริ่มแรก ราว AD. ๓๐๐ - ๔๐๐ ช่วงที่สาม คือ AD. ๓๐๐ - ๔๐๐ จนเข้าสู่การมีบ้านเมืองระดับนครรัฐในสมัยทวารวดี แต่ละยุคมีลักษณะ ดังนี้
ก่อนยุคเหล็ก คือชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ไม่ขาดแคลนน้ำยามแล้ง เพราะมีตาน้ำ เช่น น้ำซับหล่อเลี้ยงชุมชน พืชที่ใช้เพาะปลูกก็น่าจะเป็นจำพวกพืชไร่ ถ้าปลูกข้าวก็เป็นข้าวนาไร่ที่ไม่ใช่การทำนาทดน้ำและไม่ปลูกพืชเป็นไร่นาขนาดใหญ่ เพราะสภาพภูมิประเทศและขนาดประชากรไม่มีความจำเป็นในการผลิตอาหารจำนวนมาก และมีความเชื่อชีวิตในโลกหน้าอย่างแน่นแฟ้นผ่านพิธีกรรมฝังศพที่ประณีตสะท้อนรูปแบบความคิดและวิถีชีวิตอย่างมีขั้นตอนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีช่างฝีมือผู้ชำนาญงานหัตถกรรมในระดับก้าวหน้ากว่าช่างฝีมือในยุคอื่น ๆ มีการติดต่อกับชาวประมงชายฝั่งแถบริมทะเล และมีการติดต่อกับสังคมภายนอกภูมิภาคในวิถีทางใดทางหนึ่ง ค่านิยมให้ความสำคัญกับของแปลกที่ไม่ใช่ทรัพยากรในชุมชน
เมื่อมีการพบแหล่งวัตถุดิบทองแดงและเรียนรู้เทคโนโลยีในการผลิตได้ นำไปสู่การมีชุมชนที่ผลิตรอบเขตภูเขาที่มีแร่ทองแดง ความต้องการแร่ธาตุผลักดันให้ชุมชนหมู่บ้านขนาดเล็กเปลี่ยนแปลงไป เกิดการเป็นเจ้าของทรัพยากรหายากในช่วงเวลานั้นทำให้สถานภาพของคนในสังคมย่อมไม่เท่ากัน ซึ่งต้องแลกเปลี่ยนกับความป่วยไข้ของผู้ถลุงทองแดงจากสารพิษที่เกิดขึ้น การติดต่อกับชุมชนภายนอกมีมากขึ้น การแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างภูมิภาคน่าจะทำให้เกิดเป็นสังคมเปิด นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วกว่าชุมชนอื่น ๆ เกิดศูนย์กลางที่จะพัฒนาเป็นเมืองเล็ก ๆ และมีหมู่บ้านบริวารรายรอบได้
ยุคเหล็ก เมื่อสามารถนำแร่เหล็กมาใช้แทนเครื่องมือทำจากสำริดที่มีความทนทานน้อยกว่าและผลิตได้ยากกว่า ชุมชนหมู่บ้านที่มีจำนวนมากขึ้นเรียนรู้เทคนิคการผลิตขั้นพื้นฐานและทรัพยากรในพื้นที่ลุ่มลพบุรี-ป่าสัก ซึ่งอุดมไปด้วยแร่เหล็ก พบแร่เหล็กมากกว่าแร่ทองแดง และไม่ต้องทำเหมืองขุดหาสายแร่เหมือนกับการทำเหมืองทองแดง เป็นวิธีการนำแร่ธาตุมาใช้ที่สะดวกกว่ามาก ด้วยเทคนิควิทยาดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของชุมชนครั้งใหญ่ในบริเวณนี้ จำนวนแหล่งถลุงเหล็กในชุมชนต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจนในที่สุดกลายเป็นวิธีการผลิตขั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ในหมู่บ้านเกือบทุกแห่ง แต่กระนั้นผู้ชำนาญที่เชี่ยวชาญเรื่องการตีเหล็กที่มีคุณภาพคงมีสถานภาพพิเศษกว่าผู้อื่น งานฝีมือสามารถทำเหล็กกล้าคุณภาพดีและรูปทรงมาตรฐานงดงามยังเป็นเรื่องเฉพาะของบางกลุ่มคนเท่านั้น
เครื่องมือเหล็กที่พัฒนารูปแบบได้มากกว่าเมื่อครั้งใช้สำริดอย่างเดียว เปิดโอกาสให้จัดการและควบคุมธรรมชาติได้มากกว่า แต่การทำเหมืองทองแดงก็ไม่ใช่จะเลิกทำ เมื่อมีการแทนที่อุปกรณ์หนักด้วยเหล็ก สำริดได้กลายเป็นเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ประเภทฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดจากรูปแบบสิ่งของที่ร่วมสมัยในวัฒนธรรมดองซอน รูปแบบในพิธีกรรมฝังศพยังคงอยู่ แต่วัสดุสิ่งของที่ทำอุทิศให้ศพดูจะขาดความประณีตลง ค่านิยมของแปลกจากแดนไกลยังคงอยู่และเพิ่มมากขึ้นเมื่อสิ่งของหายากมาจากดินแดนที่ห่างไกลมากขึ้น ๆ เกิดช่วงชั้นในสังคมอย่างเห็นได้ชัด มีการแบ่งผู้ชำนาญการพิเศษในแต่ละด้านอย่างชัดเจน มีการควบคุมสังคมโดยผู้นำที่มีเครือข่ายระหว่างหมู่บ้าน และมีศูนย์กลางของหมู่บ้านต่าง ๆ ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีการกระจายตัวของหมู่บ้านที่ห่างไกลศูนย์กลางมากขึ้นในพื้นที่ที่ห่างออกไป ความคุ้นเคยในพื้นที่แบบเก่าเริ่มเปลี่ยนแปลง ความคิดในการจัดการแหล่งน้ำพัฒนาเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของเครื่องมือเหล็ก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืช ซึ่งเป็นพืชในที่ลุ่ม
ชุมชนขนาดใหญ่ที่จะพัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางของรัฐแบบมีคูน้ำคันดิน มักจะตั้งอยู่ระหว่างชายขอบที่สูงและที่ราบลุ่ม ดังที่จันเสน แล้วจึงพัฒนามาตั้งชุมชนในที่ลุ่มต่ำช่วงระยะหลังของสมัยทวารวดี ชุมชนในระดับนี้มีความซับซ้อนมากกว่าในยุคก่อนที่ไม่ใช่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่พัฒนาการอยู่ในระดับ Chiefdom หรือ Early state เพียงแต่ยังไม่มีการรับความเชื่อทางพุทธศาสนาและวรรณคดีต่าง ๆ อย่างชัดเจน แต่เราจะเห็นว่า เริ่มมีการสั่นคลอนทางความเชื่อในพิธีกรรมฝังศพแล้วอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากความเจริญสูงสุดในยุคเหล็กที่ยังมีการฝังศพอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนจะค่อย ๆ สู่ภาวะเปลี่ยนผ่าน พิธีกรรมฝังศพเปลี่ยนเป็นการเผาแล้วใส่หม้อกระดูกซึ่งจะอุทิศสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้ตาย เปรียบเทียบกับยุคก่อนหน้าไม่ได้ในเรื่องสิ่งของที่อุทิศให้ผู้ตาย อันหมายถึงความเชื่อเรื่องหลังความตายได้เปลี่ยนแปลงไป
สถานที่ฝังหม้อกระดูกก็จะไม่ใช่เป็นแหล่งฝังขนาดใหญ่เหมือนเช่นเดิม แต่จะกระจัดกระจาย ไม่หนาแน่น แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนในอดีตยังทำหน้าที่อยู่ เพียงเปลี่ยนมาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาเช่นศาสนสถานในภายหลัง การติดต่อกับดินแดนห่างไกลที่เป็นแหล่งอารยธรรมซึ่งพัฒนาระบบความคิดความเชื่อที่ซับซ้อน และอาจเหมาะสมกับวิธีคิดในการจัดการชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้พุทธและฮินดูคือศาสนาและความเชื่อที่ผู้คนบริเวณนี้รับมาแทนรูปแบบความเชื่อดั้งเดิมของตนเอง
หลังยุคเหล็ก หลังจากแรกรับวัฒนธรรมความคิด ความเชื่อจากภายนอกและปรับตัวอยู่ในระยะหนึ่ง รากฐานของการเกิดรัฐมั่นคงมากขึ้น จนกลายเป็นบ้านเมืองที่มีชุมชนขนาดใหญ่และหมู่บ้านบริวารที่มีความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมสูง เกิดการควบคุมสภาพแวดล้อมมากขึ้น จัดการระบบกักเก็บน้ำขนาดใหญ่สำรองไว้ยามแล้ง ทำนาทดน้ำในพื้นที่เกษตรแบบไร่นา เลี้ยงคนในชุมชนจำนวนมาก ส่วนทรัพยากรแร่ธาตุ ความต้องการทองแดงลดลง จนลืมเรื่องอุตสาหกรรมเหมืองทองแดงอย่างสิ้นเชิง แต่การถลุงเหล็กก็ยังดำเนินต่อมาและกลายเป็นหน้าที่ของชาวบ้านที่ว่างจากงานการเกษตร การถลุงเหล็กและทอผ้า เป็นกิจกรรมสำคัญของผู้คนในยุคทวารวดีในบริเวณนี้ ในระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านจนเข้าสู่สมัยทวารวดีอย่างสมบูรณ์นั้น อาจมองจากหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีน้อย ซึ่งต้องเปรียบเทียบว่าความคิดในเรื่องการจัดการกับความตายได้เปลี่ยนไป ดังนั้น หลักฐานที่จะเหลือนั้นก็น้อยลงไปด้วย เพราะการศึกษาทางโบราณคดีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่แหล่งฝังศพเป็นสำคัญ
สรุป
เมื่อสร้างภาพสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในช่วงยุคก่อนเหล็ก ยุคเหล็ก จนถึงยุคหลังเหล็กก็คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเข้าสู่สมัยวัฒนธรรมแบบทวารวดี แสดงให้เห็นว่ายุคเหล็กคือการเริ่มต้นของความเข้มข้นในการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร และมีขอบเขตทางวัฒนธรรมของชุมชนศูนย์กลางต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย อาจจัดอยู่ในช่วงเวลาราว ๆ ๕๐๐ BC. จนถึง AD. ๓๐๐ - ๔๐๐
ชุมชนยุคเหล็กมีพัฒนาการสืบเนื่องกับชุมชนในยุคสำริดและกระจายตัวลงสู่รอบ ๆ บริเวณที่ราบน้ำท่วมถึง ลักษณะสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมในยุคนี้ คือ เกิดชุมชนขนาดเล็กและใหญ่มากมายที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะเครือข่ายแบบชุมชนที่เป็นศูนย์กลางกับชุมชนที่เป็นบริวาร
หมู่บ้านขนาดเล็กหรือชุมชนที่เป็นบริวารมีโครงสร้างทางสังคมแบบง่าย ๆ มักตั้งอยู่ใกล้บริเวณแหล่งน้ำและที่ลุ่มเพื่อทำการเพาะปลูกแบบเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่ก็อยู่ใกล้กับแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ในขณะที่ชุมชนที่เป็นศูนย์กลางหรือชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่กว่าและมีโครงสร้างทางสังคมซับซ้อนกว่าอันเนื่องมาจากมีคนหลายกลุ่มหลายอาชีพอยู่รวมกัน เกิดการแบ่งงานและแบ่งกลุ่มผู้คนตามความชำนาญต่าง ๆ เช่น กลุ่มช่างฝีมือ กลุ่มผู้ชำนาญการพิเศษทางเทคโนโลยี กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือ ผู้ชำนาญการปั่นด้ายและทอผ้า กลุ่มคนกลางในระบบแลกเปลี่ยน กลุ่มพระหรือผู้ที่สามารถสื่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติ และกลุ่มผู้ปกครอง
การเติบโตและความซับซ้อนของสังคมในยุคเหล็ก เห็นได้จากลักษณะและรูปแบบของโบราณวัตถุ ซึ่งมีทั้งสำริดและเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับสำริดเกิดจากการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่มีความสวยงามและประณีต ส่วนเครื่องมือเหล็กที่พบก็มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงและมีคุณภาพชั้นยอด
ความหลากหลายในเรื่องรูปแบบของเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้เห็นบทบาทของคนที่อยู่ในสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในยุคเหล็ก ซึ่งติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนภายในและชุมชนภายนอก อีกทั้งสามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการทางสังคมแบบเรียบง่ายมาเป็นสังคมที่ซับซ้อน มีประชากรมากกว่าก่อน เริ่มเกิดความไม่ทัดเทียมกันอันนำไปสู่การมีชนชั้นทางสังคมสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สัมพันธ์กับความชำนาญพิเศษในระบบเศรษฐกิจของสังคมที่มีซับซ้อน [Complexed Society]
สมมุติฐานในบทความนี้คือ ยุคเหล็กคือจุดเริ่มต้นพัฒนาการของรัฐแรกเริ่ม [Early state] ก่อนที่จะเกิดรัฐ [State] ขึ้นในเวลาต่อมา
บรรณานุกรม
ชิน อยู่ดี. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย กรมศิลปากร, กรุงเทพฯ, ๒๕๒๙
ไทยคดีศึกษา, สถาบัน. โบราณคดีไทย-เวียดนามเปรียบเทียบ วัฒนธรรมยุคโลหะ เอกสารประกอบการ
ประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑
พรชัย สุจิตต์. วัฒนธรรมสำริดของยูนนาน เวียดนาม และไทย, เมืองโบราณ ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๒ เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๒
พิริยะ ไกรฤกษ์. ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย อัมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๓
วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์, ผศ. ลพบุรี : อดีต - ปัจจุบัน, บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๒๕๓๗
สุรพล นาถะพินธุ. วัฒนธรรมสมัยโบราณที่บ้านใหม่ชัยมงคลและข้อคิดเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายในภาคกลางของประเทศไทย สังคมและวัฒนธรรมจันเสน เมืองแรกเริ่ม ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก, โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๓๙
สันต์ ท. โกมลบุตร. จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ ๒ ของบาทหลวงตาชาร์ด (๑๖๘๗ - ๑๖๘๘), กรมศิลปากร, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๙
หวน พินธุรักษ์. ลพบุรีที่น่ารู้, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๑๕
Fontaine,Henri . On the extent of the Sa-huynh culture in continental Southeast Asia, Asian Perspective V.13 No.1, 1980
Glover,Ian C. Ban Don Ta Phet: The 1984 - 85 excavation Southeast Asian Archaeology 1986, Bar International, Great Britain, 1990
Houng Xuan Chinh,Bui Van Tien. The Dongson culture and cultural centres inthe Metal Age in Vietnam, Asian Perspective V.13 No.1, 1980
Mudar, Karen M. Evidence for prehistoric dryland farming in mainland Southeast Asia : Results of regional survey in Lopburi province, Thailand. Asian Perspectives Vol.34 No.2, 1995
Rispoli, Fiorella. Preliminary report on the pottery from Tha Kae, Lopburi, Central Thailand. Asian Archaeology 1990 Centre for South East Asian studies University of Hull, Great Britain, 1992
Solheim, Wilhelm G. Two pottery tradition of late prehistoric times in Southeast Asia. Historical archaeology and linguistic studies on Southern China, Southeast Asia and Hong Kong region. Hong Kong University Press.1967
Vu Cong Quy. The SaHuynh culture : recent Archaeological findings and relations with other ancient cultures in Southeast Asia Recent research in Archaeology in Thailand Silapakorn University ,Bangkok, 1991
Watson, William. Pre-Han communication from west China to Thailand. Early Metallurgy trade and urban centres in Thailand and SEA White Lotus ,Bangkok 1992
White, Joyce C. The Ban Chiang Chronology Revised. Southeast Asian Archaeology 1986 Bar International, Great Britain, 1990
Comments