เผยแพร่ครั้งแรก 1 ต.ค. 2553
ลูกปัดโบราณแบบต่างๆ เริ่มกลายเป็นสินค้าเครื่องประดับซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายกันเมื่อราวยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง

ลูกปัดที่พบบริเวณปริมณฑลของเมืองโบราณอู่ทอง เป็นแบบลูกปัดแก้วธรรมดาและแบบเอชท์บีดหรือแทรกเนื้อสี และหินรัตนชาติกึ่งมีค่า พวกอสเกตและคาร์นีเลียนรูปแบบต่างๆ
ลูกปัดพบตามผิวดินของแหล่งโบราณคดีที่เป็นชุมชนโบราณ และเป็นโบราณวัตถุที่นักโบราณคดีรุ่นเก่าซึ่งมักให้ความสนใจแต่พียงเรื่องราวใน “สมัยประวัติศาสตร์” ไม่ใคร่สนใจศึกษา เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งของเคลื่อนย้ายได้ ไม่มีคุณค่าทางรูปแบบที่จะนำไปกำหนดอายุเวลาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ที่สำคัญ ลูกปัดมักเป็นโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากกว่า จึงคงมีแต่นักโบราณคดีบางท่าน เช่น อาจารย์มานิต วัลลิโภดม และอาจารย์ชิน อยู่ดี นักโบราณคดีอาวุโสของกรมศิลปากรเมื่อกว่าสองทศวรรษที่แล้วเท่านั้นที่เล็งเห็นความสำคัญ
เมื่อราวห้าสิบปีที่ผ่านมา อาจารย์ชินซึ่งเป็นนักโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ดูจะรับรู้แล้วว่าลูกปัดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ส่วนอาจารย์มานิตนั้นเป็นนักโบราณคดียุคประวัติศาสตร์ที่สนใจเรื่องราวตั้งแต่สมัยทวารวดีลงมา เป็นผู้ที่ค้นคว้าศึกษาเมืองอู่ทองในจังหวัดสุพรรณบุรี ทั้งยังเป็นคนแรกที่มีความเห็นว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกว่า “พระเจ้าอู่ทอง”) นั้น ไม่ได้ย้ายเมืองจากเมืองอูท่องมาสร้างพระนครศรีอยุธยา เพราะเมืองอู่ทองร้างไปก่อนรัชสมัยของพระองค์กว่า ๒๐๐ ปี โดยอาจารย์มานิตเชื่อว่าเมืองอู่ทองเป็นเมืองสมัยทวารวดีที่มีอายุสูงขึ้นไปจนถึงสมัยฟูนันและสุวรรณภูมิ
สิ่งที่ทำให้เชื่อว่าเมืองอู่ทองมีอายุสูงขึ้นไปก็คือลูกปัดและดวงตราที่แกะสลักบนหินสีหรือก้อนดินเผา รวมทั้งวัตถุสำริดที่มีลวดลายใกล้เคียงกับลวดลายในวัฒนธรรมดองเซินของเวียดนาม
อาจารย์ชินได้เคยศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบของลูกปัดอู่ทองกับลูกปัดเมืองออกแอว เมือท่าของฟูนันบริเวณปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกัน
เรื่องที่ว่าเมืองอู่ทองมีอายุรุ่นเดียวกับเมืองสมัยฟูนันนี้ ต่อมาก็เป็นยอมรับกัน โดยเฉพาะเมื่อมีนักโบราณคดีประวัติศาสตร์ศิลปะสำนักฝรั่งเศสที่ศึกษาเรื่องราวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือศาสตราจารย์ฌอง บวสเชอลีเย่ร์ ยังได้เสนอว่าอู่ทองเป็นบ้านเป็นเมืองมาก่อนเมืองฟูนันในลุ่มน้ำโขงด้วย
หลังจากนั้นก็มีการพบแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์มากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งฝังศพที่มีมาก่อนวัฒนธรรมเผาศพ อันเป็นประเพณีที่แพร่เข้ามากับวัฒนธรรมฮินดู – พุทธ ทำให้อาจารย์มานิตมีความเชื่อมั่นว่า อายุของเมืองอู่ทองสูงขึ้นไปถึงสมัยสุวรรณภูมิ ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชส่งสมณฑูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็เป็นได้
ความเชื่อเช่นนี้เป็นไปได้มากขึ้น เมื่ออาจารย์ชินนำตุ้มหูรูปสัตว์มีเขาสองหัว ทำด้วยหินสีเขียว ที่นักโบราณคดีฝรั่งเรียกว่า “ลิงลิงโอ” [Lingling-O] ซึ่งพบที่เมืองอู่ทองมาให้ดู วัตถุแบบนี้นักโบราณคดีฝรั่งกำหนดอายุไว้ราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลลงมา ซึ่งก็ร่วมสมัยกับช่วงต้นพุทธกาลที่คำว่า “สุวรรณภูมิ” เริ่มปรากฏในเอกสารอินเดียโบราณ
อาจารย์มานิตค้นคว้าตำนานไทยและเอกสารโบราณของต่างประเทศที่เกี่ยวกับสุวรรณภูมิ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์บ้านเมืองโบราณสมัยกรีก-โรมัน รวมทั้งแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยกับเมืองอู่ทอง ตามเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากฝั่งทะเลอันดามัน เช่น เรื่องราวของเมืองสะเทิมของมอญแถบลุ่มน้ำสาละวินในดินแดนพม่าปัจจุบันนี้ และมีความเห็นว่า เมืองอู่ทองคือเมืองสำคัญของสุวรรณภูมิที่มีการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเข้ามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

ทว่าเรื่องนี้ วงการโบราณคดีไทยซึ่งมักฟังแต่ความเห็นของพวกฝรั่งไม่เชื่อถือ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องราวจากมหาวงศ์พงศาวดารลังกา ที่น่าจะเขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ ลงมา อีกทั้งไม่มีปรากฏในจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชแต่อย่างใด โดยย่อก็คือยังไม่มีผู้ใดยอมรับว่ามีการติดต่อกับทางอนเดียงครั้งรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราชก็ว่าได้
เมื่อหลักฐานเอกสารไปไม่ถึง ก็ต้องหันมาพิจารณาหลักฐานโบราณคดีบ้าง ว่ามีเพียงพอที่จะทำให้เห็นความเกี่ยวข้องกับอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศกหรือไม่ โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แต่เพียงหลักฐานโบราณคดีที่ค้นพบสมัยเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีแล้วก็ได้ เพราะทุกวันนี้ก็มีการค้นพบกันมากขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า เมืองอู่ทองและบริเวณที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมข้ามคาบสมุทรมายังเมืองอู่ทองนั้น ปัจจุบันพบแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายหรือปลายยุคเหล็กหลายแห่ง มีทั้งรอบๆ เมืองอู่ทอง เช่นที่โคกสำโรง ทางตะวันเฉียงเหนือ หรือบริเวณสองฝั่งลำน้ำจระเข้สามพัน บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี อันอยู่บริเวณต้นลำน้ำจระเข้สามพัน
เมื่อหวนกลับไปทบทวนโบราณวัตถุที่ดอนตาเพชรอีกครั้งก็ทำให้ได้ข้อคิดเพิ่มขึ้น เพราะที่ดอนตาเพชรนั้นพบลูกปัดเอชบีด [Etched bead] คือลูกปัดที่ทำลายเส้นสีดำขาวลงบนผิวหินคาร์เนเลียนสีส้ม ลูกปัดรูปสิงห์ และตุ้มหูลิงลิงโอ รวมทั้งงานหล่อสำริดแบบวัฒนธรรมดองเซินตลอดจนบรรดาเครื่องมือสำริด-เหล็กรูปแบบต่างๆ มากมาย อันแสดงถึงพัฒนาการของสังคมบ้าน-เมืองอย่างชัดเจน
แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรขุดค้นศึกษาครั้งแรกโดยอาจารย์ชิน อยู่ดี พบลูกปัดเอชบีดชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมาก ครั้งนั้นอาจารย์ชินกำหนดอายุแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ว่าอยู่ใน “ยุคฟูนัน” เชื่อมโยงกันกับเมืองอู่ทอง
แต่การขุดค้นครั้งสำคัญในระยะหลังนี้ ดำเนินการโดย ดร.เอียน ซี. โกลฟเวอร์ [Dr.lan C. Glover] นักโบราณคดีอังกฤษ ซึ่งให้ความเห็นว่าบรรดารูปแบบของเอชบีดนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พบตามแหล่งโบราณคดีของพวกพยูในพม่า ที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมอินเดีย โดยเฉพาะลูกปัดรูปสิงห์นั้นเป็นสัญลักษณ์ทางฮินดู-พุทธของอินเดียที่พบแพร่หลายตามแหล่งโบราณคดียุคต้นประวัติศาสตร์ในที่อื่นๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ ดร.โกลฟเวอร์กล่าวถึงก็คือจุกรูปสามเหลี่ยมยอดแหลมที่มีลวดลายวงกลมขดรอบเป็นภูเขาบนฝาภาชนะสำริด ที่ ดร.โกลฟเวอร์เห็นว่าเป็นของในวัฒนธรรมพุทธศาสนาของอินเดีย ข้าพเจ้าพบว่า ลักษณะฝาจุกที่ขดกันเช่นนี้เป็นแบบเดียวกันกับฝาจุกภาชนะดินเผาทวารวดี-ลพบุรี และอู่ทองบางชนิด โดยเฉพาะฝาภาชนะแบบขอมสมัยเมืองพระนคร
การขุดค้นของ ดร.โกลฟเวอร์ครั้งนี้มีการค้นคว้าต่อเนื่องและได้นำโบราณวัตถุจากบ้านดอนตาเพชรไปกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ พบว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีอายุราว ๓๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งแน่นอนว่าร่วมสมัยเดียวกันกับรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราช
และเมื่อเร็วๆ นี้ นักโบราณคดีท่านนี้ก็สรุปการศึกษาบ้านดอนตาเพชรและแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวข้องว่า สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์กับอินเดียทางตอนเหนือ ตั้งแต่ลุ่มน้ำนัมมทาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านลุ่มน้ำคงคามายังอ่าวเบงกอลที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และให้ความสนใจกับเมืองท่าที่ปากน้ำตอนในที่ชื่อว่าเมืองตัมราลิปติ [Tamluk] อีกทั้งมีความโน้มเอียงที่จะอ้างอิงถึงเรื่องการส่งสมณทูตมายังสุวรรณภูมิ ตามที่นักโบราณคดีไทย เช่นอาจารย์มานิต วัลลิโภดม เคยตั้งข้อสังเกตไว้

ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง ในจังหวัดสุพรรณบุรี
ข้าพเจ้าได้สานต่อความคิดของอาจารย์มานิต ทั้งในเรื่องตำนานที่นักโบราณคดีตามมหาวิทยาลัยเห็นว่าไร้สาระ กับหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับชุมชนโบราณในเรื่องที่ว่าเมืองอู่ทองมีความสัมพันธ์กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางข้ามคาบสมุทรเป็นพิเศษว่า ถ้าคณะสมณทูตของพระเจ้าอโศกจะเดินทางเข้ามานั้น ควรจะมาจากไหน มาทางไหน มาถึงที่ใดก่อน โดยคิดว่า การเดินทางจากแคว้นมคธก็คงมาทางลุ่มน้ำคงคาแน่ นั่นก็คือมายังอ่าวเบงกอล อันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย อาจเรียกได้ว่าเป็น “อินเดียเหนือ” ก็ว่าได้
จากปากน้ำคงคาแล่นเรือเลียบชายฝั่งอาวเบงกอล ที่มีอ่าวใหญ่อ่าวเล็กอันเป็นที่จอดเรือตามเส้นทางมายังฝั่งทะเลอันดามันของคาบสมุทรสุวรรณภูมิได้ โดยเหตุนี้ จึงปรากฏตำนานเกี่ยวกับสุวรรณภูมิ ตลอดจนการเผยแพร่พุทธศาสนาที่เมืองสะเทิม อันเป็นเมืองของพวกมอญที่มีบทบาทในการสร้างบ้านแปงเมืองและการค้าขายทางทะเล
แต่การขึ้นบกของพระสมณทูตน่าจะไม่หยุดอยู่เฉพาะทางเมืองมอญที่สะเทิมเท่านั้น หากมุ่งมาขึ้นบกที่เมืองท่าชายฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่เมาะตะมะ ทวาย มะริด และตะนาวศรีมากกว่า เพราะเป็นบริเวณที่จะข้ามช่องเขาตะนาวศรีมายังสุวรรณภูมิฟากฝั่งอ่าวไทยได้ ทว่าเมื่อดูจากตำแหน่งที่มีแหล่งโบราณคดีตั้งแต่สมัยยุคต้นประวัติศาสตร์ลงมาแล้ว ก็พบว่าที่ “เมืองทวาย” น่าจะเป็นแหล่งสำคัญ เพราะเป็นบริเวณที่มีทั้งอ่าวและเกาะเล็กๆ อยู่ด้านหน้า เหมาะที่จะเป็นแหล่งจอดเรือ คลังสินค้า และเป็นเมืองท่าได้
ปัจจุบันก็พบหลักฐานโบราณคดีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่ง ดร.อลิซาเบท มัวร์ [Elizabeth Moore] นักโบราณคดีอังกฤษได้ศึกษาและรายงานไว้แล้ว
ข้าพเจ้ามั่นใจว่า เมืองทวายเป็นเมืองท่าสำคัญของสุวรรณภูมิฟากทะเลอันดามันในยุคแรกของการเกี่ยวข้องกับอินเดีย เพราะเป็นตำแหน่งที่สามารถเดินทางข้ามช่องเขาตะนาวศรีมายังฟากตะวันออกในเขตลุ่มน้ำภาชี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีได้ โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า “บ้านทุ่งเจดีย์” ที่มีซากกองหินสามกองที่เป็นสัญลักษณ์ของ “ด่าน” มาตั้งแต่สมัยโบราณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นเหมืองแร่เก่าที่ขุดพบเครื่องปั้นดินเผา เครื่องหินกะเทาะ-หินขัด และวัตถุสำริด
ที่สำคัญคือ บริเวณห้วยสวนพลู-เขาจมูก ซึ่งไม่ห่างออกไปเท่าใดนัก ได้เคยพบชิ้นส่วนภาชนะสำริดมีลวดลายสลักเป็นรูปช้างม้าวัวควาย รูปสตรี และลายกลีบบัว เหมือนที่เคยพบที่บ้านดอนตาเพชร
ลวดลายกลีบบัวนั้นเป็นของในวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ ส่วนภาพสตรีนั้นแสดงถึงเครื่องนุ่งห่มและทรงผมที่แตกต่างไปจากลักษณะคนพื้นเมือง อีกทั้งยังแตกต่างจากลักษณะผู้คนทางเวียดนามและตอนใต้ของจีนในวัฒนธรรมดองเซิน แต่กลับแสดงลักษณะสรีระสตรีอินเดียครั้งสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างชัดเจน คือสะโพกใหญ่ เอวคอด และหน้าอกใหญ่ ทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่านี่อาจเป็นหลักฐานแสดงการเข้ามาของคนอินเดีย หรือการเกี่ยวข้องกับอินเดียในสมัยต้นพุทธกาลก็เป็นได้
อาจารย์สุรินทร์ เหลือลมัย อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนชุมชนจอมบึง ในอำเภอจอมบึง ซึ่งเป็นผู้รู้ข้อมูลในเรื่องนี้ดีได้เคยพาข้าพเจ้าและคณะฯ ไปสำรวจพื้นที่ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเชื่อมโยงเส้นทางได้ว่า เมื่อผ่านมาลงลุ่มน้ำภาชีแล้ว หากเดินตามลำน้ำภาชีไปทางเหนือ ก็จะไปสบกับลำน้ำแควน้อยที่ตำบลจระเข้เผือก ซึ่งต่อไปยังบ้านเก่าและเมืองสิงห์ อันเป็นแหล่งโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยลพบุรี
แต่ถ้าหากไม่เดินทางตามลำน้ำไปทางเหนือ ก็อาจผ่านลงที่ราบลุ่มทางตะวันออก ผ่านเขาขวาก อันเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยยุคเหล็กตอนปลาย เข้าสู่บริเวณทะเลสาบจอมบึง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสภาพแห้งเหือด กลายเป็นแหล่งเพาะปลูก โดยพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบนั้นได้พบร่องรอยชุมชนโบราณยุคเหล็กที่มีโบราณวัตถุแบบเดียวกับบ้านดอนตาเพชร เช่น ลูกปัดแก้ว – หินสี เครื่องประดับ เครื่องสำริด อันนับเนื่องเป็นแหล่งบ้านเมืองสมัยยุคเหล็ก ที่อาจารย์สุรินทร์ เหลือลมัยศึกษาค้นคว้าอยู่
หากเดินทางมาที่จอมบึง ก็สามารถวกลงทางตะวันออกเฉียงใต้มายังชายฝั่งทะเล ที่มีเมืองคูบัว เมืองท่าสมัยทวารวดีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ตั้งอยู่ได้
ถ้าเดินทางต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำน้ำแม่กลอง ก็จะผ่านอำเภอบ้านโป่งที่มีเมืองสมัยลพบุรี คือเมืองโกสินารายณ์ เป็นเมืองระหว่างทางที่จะตัดผ่านพื้นที่ลุ่มไปยังเมืองนครชัยศรี หรือนครปฐมโบราณ อันเป็นเมืองท่าสมัยทวารวดีในแถบลุ่มน้ำท่าจีนตอนล่าง
หากเดินทางตามลำน้ำแม่กลองขึ้นไปทางเหนือ ก็จะผ่านอำเภอท่ามะกา อันมีแหล่งโบราณคดีพงตึก ที่เคยพบตะเกียงโรมันโบราณ และผ่านขึ้นไปอำเภอท่าม่วง ข้ามแม่น้ำแม่กลองไปยังอำเภอพนมทวน อันเป็นที่ตั้งแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร จากบ้านดอนตาเพชรก็เดินทางตามลำน้ำจระเข้สามพันไปยังเมืองอู่ทอง เมืองท่าสมัยสุวรรณภูมิ-ฟูนัน
เส้นทางข้ามคาบสมุทรตั้งแต่เมืองทวายบนฝั่งทะเลอันดามัน ข้ามเทือกเขาตะนาวศรีที่อำเภอสวนผึ้ง ผ่านทะเลสาบจอมบึงมายังบ้านดอนตาเพชรและเมืองอู่ทองนี้ คือเส้นทางที่มีมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ คือราว ๕๐๐-๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล โบราณวัตถุเช่นลูกปัดเอชบีดขนาดใหญ่ที่พบตามแหล่งฝังศพที่ดอนตาเพชรก็ดี บริเวณรอบๆ เมืองอู่ทอง เช่น โคกสำโรงก็ดี ล้วนเป็นโบราณวัตถุร่วมสมัยยุคสุวรรณภูมิทั้งสิ้น
แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชรและแหล่งบริเวณทะเลสาบจอมบึงนั้นน่าจะมีอายุเก่าแก่ที่สุด เพราะร่องรอยหลักฐานที่พบดูไม่ใคร่มีความสืบเนื่องมาถึงสมัยฟูนันและทวารวดีอย่างเช่นเมืองอู่ทองและที่อื่นๆ รวมทั้งทางฟากเมืองทวายด้วย
ข้อสังเกตของข้าพเจ้าในขณะนี้ก็คือ ดูเหมือนว่าบรรดาโบราณวัตถุที่ทำด้วยแก้ว หินสีและดินเผา ซึ่งเป็นของที่มาจากภายนอกเหล่านี้ มักไม่พบรอยสลัก ขูดขีด หรือรอยประทับที่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อในศาสนาฮินดู – พุทธ เป็นต้นว่าสวัสดิกะ ตรีรัตนะ รูปเทพเจ้าหรือบุคคลและลายลักษณ์อักษรของทางอินเดีย โดยเฉพาะอักษรปัลลวะจากทางอินเดียใต้ หรือแม้แต่บรรดาอักษรจากทางอินเดียเหนือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ตรงข้ามกับแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยในที่อื่นๆ เช่น เขาสามแก้ว ริมลำน้ำอู่ตะเภา จังหวัดชุมพร ทางฝั่งอ่าวไทย และแหล่งโบราณคดีพบใหม่ เช่นที่เขาทอง บ้านกล้วย และคุระบุรีในเขตจังหวัดระนอง ตลอดจนแหล่งโบราณคดีคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ทางฟากทะเลอันดามัน ซึ่งพบลูกปัดและลวดลายสัญลักษณ์ทางศาสนาจำนวนมาก ที่น่าจะมีอายุราว ๑๐๐ ปีก่อนคริสตกาลจนถึงคริสต์ศตวรรษที่สอง อันนับเนื่องเป็นสมัยสุวรรณภูมิ – ฟูนัน เป็นยุคของการค้าขายทางทะเลที่เรียกว่า “เส้นทางสายไหม” จากทะเลแดงมาสุวรรณภูมิ แล้วต่อไปยังจีน เป็นการเดินทางผ่ากลางทะเลลึกด้วยเรือขนาดใหญ่ ผ่านเมืองท่าสำคัญๆ ในเขตอินเดียใต้ ตั้งแต่ปากแม่น้ำโคธาวารี กฤษณา เคาเวรี โดยเฉพาะจากเมืองท่าอริกเมฑุ [Arikamedu] หรือปอนดิเชอรี ผ่านลังกามาขึ้นบกตามเมืองท่าที่อยู่ต่ำกว่าเขตคอคอดกระลงมา
บรรดาโบราณวัตถุ เช่น ลูกปัดมีตราสัญลักษณ์ ดวงตราประทับบนดินเผาและหินสี และที่มีรูปร่างต่างๆ ซึ่งพบที่เขาทอง บ้านกล้วย คุระบุรี และคลองท่อมนั้น มีความคล้ายคลึงกันกับแหล่งโบราณคดีทางฟากอ่าวไทย เช่น เขาสามแก้วและท่าชนะ
โบราณวัตถุที่เป็น “ศิลปวัตถุ” เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าอารยธรรมอินเดียในลัทธิศาสนาฮินดู – พุทธ ที่แพร่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาขึ้นเป็นนครรัฐของบ้านเมืองในสุวรรณภูมิ ทั้งในประเทศไทย กัมพูชา จามปา และเวียดนามนั้น ล้วนเป็นอารยธรรมที่มาจากอินเดียตอนใต้ เช่น อมราวดี ปัลลวะ โจฬะ และอนุราชปุระในลังกา เป็นต้น
ทั้งหมดมีที่มาจากการเกิดเส้นทางสายไหมจากทะเลแดงไปจีนนั่นเอง
ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๖ ฉ. ๔ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๓)
Comentários