เผยแพร่ครั้งแรก 22 มิ.ย. 2561
ในแนวคิดทางมานุษยวิทยาของข้าพเจ้า “ความจน” [Poverty] ในสังคมไทยปัจจุบัน วิเคราะห์ได้เป็น ๒ อย่าง

ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ และอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ถ่ายที่บ้านบาตร
อย่างแรกคือ คนจนที่แลเห็นเป็นคน ๆ ไป [Individual] เป็นความจนที่พิจารณาจากระดับรายได้ที่ต่ำสุดซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เป็นสิ่งที่ทางรัฐและสังคมต้องให้เงินช่วยเหลือ อย่างเช่นการจัดกองทุนหมู่บ้านที่ทำมาแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร และสืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลยุคปฏิวัติของคสช. ในปัจจุบัน
อย่างที่สองคือ “วัฒนธรรมความจน” ซึ่งเป็นแนวคิดและการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่มาจากการศึกษาชุมชนในนิวยอร์กและเม็กซิโกของ “ออสการ์ ลูวิส” ใน ค.ศ. ๑๙๖๖ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ห่างไกลกับความคิดของนักวิชาการสมัยโพสต์โมเดิร์น ในปัจจุบันมาก
“วัฒนธรรมความจน” ของออสการ์ ลูวิส เป็นเรื่องของวิถีชีวิตของคนที่อยู่รวมกันในชุมชนท้องถิ่นในสังคมที่เปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนาที่เป็นเกษตรกรรม [Peasant society] มาเป็นสังคมเมืองในยุคอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนที่เคยอยู่กันมานานในท้องถิ่น ต้องละทิ้งอาชีพเดิมทางเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ที่เคยมีที่ดินที่ทำกินของตนเอง เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างตามเมืองและแหล่งอุตสาหกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดการพลัดพรากจากครอบครัว และการล่มสลายของชุมชนในท้องถิ่น

เมื่อโยกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองและแหล่งอุตสาหกรรมแล้ว ไม่อาจปรับตัวให้ทันกับความเจริญทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมของคนเมืองได้ เกิดภาวะความล้าหลังตามไม่ทันสมัย ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เร่ร่อน สร้างที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ไม่พัฒนาทั้งในเขตเมืองและตามชายขอบของที่เป็นปริมณฑล ดังเช่น บรรดานักผังเมือง นักสังคมสงเคราะห์เรียกว่าพื้นที่แออัดและสกปรกเต็มไปด้วยโรคภัย [Slum and plight area]

ชุมชนบ้านบาตรและบ้านเรือนในอดีตที่มีความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิมที่มีความชำนาญเฉพาะด้านในโครงสร้างแบบเมือง
แต่ออสการ์ ลูวิส แลเห็นว่าเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยของสังคมใหญ่ที่เรียกว่า Sub culture ของกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมหรือชุมชน [Community] ในสังคมเมือง [Urban society] โดยสร้างสังคมของคนในชุมชนที่เป็นวัฒนธรรมย่อยดังกล่าวนี้ เหมือนกันกับความเป็นชุมชนทั่วไปที่ประกอบด้วยครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับแม่ ที่มีบทบาทมากกว่าพ่อในการดูแลเลี้ยงดูลูก เหนือระดับครอบครัวขึ้นไปก็คือการสัมพันธ์ทางสังคมกับครอบครัวอื่นที่เข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้คนแต่ละครอบครัวเหล่านี้ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันมีความสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดร่วมกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตที่มีความรู้สึกร่วมทุกข์สุขในการเป็นกลุ่มเดียวกัน
สิ่งนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า “ชีวิตวัฒนธรรม” ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม ทำให้คนในกลุ่มวัฒนธรรมย่อยมีปึกแผ่นทางสังคม [Social solidarity] สูงกว่าบรรดาชุมชนอื่นในสังคมเมืองทั้งหลาย แต่ต่างจากชุมชนเมืองเหล่านั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะความเป็นอยู่ รายได้และมาตรฐานในการดำรงชีวิต
ความแตกต่างเหลื่อมล้ำนี้คือที่มาของคำว่า วัฒนธรรมความจน [The Culture of poverty]
วัฒนธรรมความจนจะไม่พบมากในสังคมชนบทที่เป็นสังคมชาวนา [Peasant society] เพราะความแตกต่างในชีวิตวัฒนธรรมแทบไม่มี เพราะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหมดและความยากจนยากไร้ของปัจเจกบุคคล อันได้รับการดูแลช่วยเหลือจากคนในครอบครัวหรือจากองค์กรของชุมชนเอง อย่างเช่นในชุมชนของคนมุสลิมในภาคใต้จะมีกฎเกณฑ์ที่เป็นประเพณีให้คนในสังคมที่มีรายได้มากต้องเสียภาษีคนจนให้กับองค์กรของชุมชนที่จะมีหน้าที่รับรู้ถึงคนใด และครอบครัวใดที่ยากจนและขัดสน ก็จะนำเงินเหล่านั้นไปให้ความช่วยเหลือ แม้แต่ในชุมชนของคนพุทธคนที่เดือดร้อนขัดสนก็อาจมีชีวิตรอด มีที่อยู่อาศัยตามวัดหรือกับพี่น้องที่จะต้องดูแลไม่ให้อดตายเพราะความยากจน และชุมชนบ้านใดถิ่นใดเกิดมีคนยากจนอดอยากก็จะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม โดยชุมชนอื่น ๆ ในท้องถิ่น
สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เป็นยุคแรก ๆ ของการปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม ได้มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนในสังคมชาวนาในชนบทเข้ามาหางานทำและหาที่อยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง
ปรากฏการณ์ที่คนชาวนาเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในเมืองนี้ เรียกว่า Peasantization of urban society ซึ่งข้าพเจ้าได้ว่าประมาณปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ที่ข้าพเจ้ากลับจากออสเตรเลียมาเก็บข้อมูลภาคสนามเพื่อทำวิทยานิพนธ์นั้น ก็ได้แลเห็นปรากฏการณ์ Peasantization นี้ จากการมีคนทางภาคอีสานเข้ามามาก เกิดร้านค้า อาหารส้มตำไก่ย่างที่มาพร้อมกับบรรดาเพลงลูกทุ่งที่กลายเป็นที่นิยมของคนเมืองทั่วไปอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนย้ายของคนชนบทโดยเฉพาะจากทางภาคอีสานนั้น มีทั้งการเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างทำงานตามฤดูกาล เช่นในฤดูแล้งและว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ แล้วกลับไปกับพวกที่เข้ามาทั้งครอบครัว อันเนื่องจากเป็นพวกไม่มีที่ดินทำกิน มักเข้ามาอยู่อาศัยพักพิงตามชุมชนเก่า ๆ ในเมืองตามย่านต่าง ๆ จนทำให้บรรดาชุมชนเมืองเหล่านั้นมีสภาพแออัด หลาย ๆ แห่งกลายเป็นชุมชนแออัดและพื้นที่สกปรกที่ทางราชการเรียกว่า Slum and plight area เป็นสิ่งที่เสื่อมโทรมและล้าหลังทั้งผู้คนและสภาพแวดล้อม จะต้องได้รับการพิจารณาใหม่หรือไม่ก็ให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่อยู่ในแหล่งพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมเช่นนี้ ก็มักจะถูกมองโดยคนในสังคมเมืองรุ่นใหม่ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและทันสมัย ซึ่งคือคนรุ่นใหม่หรือไม่ก็ย้ายเข้ามาใหม่จากที่อื่น ๆ จากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเข้ามาเป็นพลเมืองในยุคใหม่จำนวนมาก มักดูถูกว่าเป็นคนยากจน ไม่มีอาชีพการทำมาหากินที่แน่นอน มักละเมิดกฎหมาย เล่นการพนัน ลักขโมย รวมทั้งเป็นอันธพาล ในยามใดที่มีคดีความในเรื่องการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น ทั้งทางรัฐและคนเมืองก็มักจะคิดว่าเป็นการกระทำของคนด้อยโอกาสเหล่านั้น
แหล่งชุมชนแออัดที่เรียกว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมดังกล่าวนี้ คือสิ่งผู้คนภายในที่มีวิถีชีวิตร่วมกันที่ไม่ได้ระดับมาตรฐานของความเป็นอยู่ของความเป็นเมืองคือ “วัฒนธรรมความจน” [The culture of poverty] เป็นความยากจนที่มองจากข้างนอกเข้ามา
ความยากจนที่มองจากวิถีชีวิตร่วมกันที่เรียกว่าเป็นชีวิตวัฒนธรรมนั้น ทางรัฐและสังคมไทยในส่วนรวมมักไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจเพียงว่าความจนเป็นเรื่องของความขัดสนในเรื่องเงินทองที่เป็นรายได้อันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล จึงมักจะให้ความช่วยเหลือเป็นราย ๆ ไป จากการบริจาคหรือจากการตั้งเป็นกองทุนแล้วแจกจ่ายผ่านองค์กรหรือหน่วยงาน จนเกิดเรื่องการยักยอกและการทุจริตในเรื่องเงินช่วยเหลือคนจนในขณะนี้
ตามที่กล่าวมาแล้วนี้พอสรุปให้เห็นได้ว่า การพัฒนาบ้านเมืองเข้าสู่สมัยใหม่ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมานั้น มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าในความเป็นเมืองสมัยใหม่กับความล้าหลังทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่อยู่มาแต่เดิมกับคนกลุ่มใหม่จากชนบทเข้ามาอยู่รวมกันก่อให้เกิดภาวะความแออัดในเรื่องที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทั้งรัฐและพลเมืองรุ่นใหม่แลเห็นว่าเป็น “คนยากจน” อยู่ในพื้นที่แออัดและเสื่อมโทรมที่เรียกว่า Slum and blight area ทั้งหมดนี้ นำไปสู่อคติในเรื่องชีวิความเป็นอยู่ของคนด้อยโอกาสเหล่านี้ว่านอกจากยากจนแล้วยังมีพฤติกรรมนอกกฎหมายที่เป็นแหล่งอันธพาลเล่นการพนัน ลักขโมย อันเป็นที่รังเกียจของคนเมือง
นี่คือสิ่งที่ทางหน่วยราชการของรัฐ เช่น หน่วยงานรับผิดชอบทางผังเมืองและนักวิชาการทางสังคมศาสตร์ในยุคนั้น แลเห็นว่าต้องทำการโยกย้ายเวนคืนที่ดิน และสร้างสถานที่ใหม่ พื้นที่ใหม่ให้มาแทน โดยการฟ้องขับไล่ หรือไม่ก็ให้ค่าชดเชยเป็นเงินเป็นทองไปหาที่อยู่ใหม่ ดังเช่นการกระทำของกรุงเทพมหานคร ในการจัดการชุมชนชาวตรอกที่ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นตัวอย่าง
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยาแต่ปี ค.ศ ๑๙๖๖ ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนด้อยโอกาสที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งทางรัฐว่า แหล่งเสื่อมโทรม เป็นวัฒนธรรมย่อยของสังคมเมืองที่ผู้คนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่มีชีวิตวัฒนธรรมที่เรียกว่า “วัฒนธรรมความจน"
แต่เมืองไทยและวงการศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับสังคมเมืองไม่มี มาจนปี ค.ศ. ๑๙๖๘ เมื่อ รองศาสตราจารย์ ดร. อคิน รพีพัฒน์ ผู้เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปศึกษาขั้นปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐอเมริกา และเข้ามาทำงานภาคสนามในสังคมเมืองกรุงเทพมหานครโดยเลือกศึกษาเก็บข้อมูลที่ ชุมชนแออัดที่เรียกว่า “สลัม” [Slam]
ท่านอาจารย์อคินจึงนับเนื่องเป็นนักมานุษยวิทยาคนไทยคนแรกที่ทำการศึกษาชุมชนในเมืองอย่างแท้จริง ผลการศึกษาของท่านก็คือแหล่งที่เรียกว่า “สลัม" หรือ “ชุมชนแออัด” นั้น คือชุมชนที่มีโครงสร้างทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
ซึ่งในความเห็นของข้าพเจ้าเป็น ชุมชนในวัฒนธรรมความจน [Culture of poverty] นั่นเอง
จากนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเป็นชุมชนและชีวิตวัฒนธรรมของแหล่งที่เรียกว่า Slum และ Plight areas ก็แพร่หลายเป็นที่รับรู้ไปทั้งคนในหน่วยราชการที่รับผิดชอบของรัฐกับของทางฝ่ายประชาสังคม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางรัฐนั้นค่อนข้างเฉื่อยชา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชุมชนสลัมนั้นต้องเน้นที่คน ต้องพัฒนาที่คน แต่กลับยังใช้วิธีการเดิมอยู่ เช่น พยายามไล่ รื้อ ขับไล่ กล่าวหา เพราะง่ายต่อการปฏิบัติ ในขณะที่คนที่อยู่ในภาคประชาสังคมมีการเคลื่อนไหวผลักดันต่อรองเพื่อการดำรงอยู่ทางชีวิตวัฒนธรรมร่วมกันของคนในชุมชน ซึ่งในทุกวันนี้กำลังเพิ่มพูนความขัดแย้งมากกว่าแต่เดิมอันมีเหตุมาจากทางผังเมืองและหน่วยงานของรัฐต้องการพัฒนาโครงสร้างและขอบเขตของบ้านเมืองสมัยใหม่เพื่อขานรับความเป็น ๔.๐ ทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคโลกาภิวัตน์
การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาของ อาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ ในสังคมเมืองยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมนั้น ในส่วนรวมได้ทำให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนแออัดและแหล่งเสื่อมโทรมนั้นคือชุมชนของมนุษย์ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่อยู่ในชุมชนทั้งหลาย
แม้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการตลอดจนพวกนายทุน พ่อค้าที่ยังยึดมั่นกับคำว่าแหล่งเสื่อมโทรมเหล่านั้นจะไม่ยอมรับและมีวันเข้าใจ แต่ผู้คนในที่อยู่ในชุมชนแออัดเหล่านั้น ได้ตระหนักในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันและมีวัฒนธรรมร่วมกันที่จะได้มีชีวิตรอด จึงเกิดการเคลื่อนไหวและตื่นตัวมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการคัดค้าน ต่อรอง และขัดขืนต่อโครงการพัฒนาบ้านเมืองที่ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นในชีวิตวัฒนธรรมของพวกคน
อาจารย์อคินคือนักมานุษยวิทยาในสังคมเมืองของประเทศในขณะนี้ก็ว่าได้ที่เรียนรู้และรู้จักชุมชนในวัฒนธรรมความจน อีกทั้งพยายามช่วยเมื่อเกษียณอายุราชการจากสถาบันในมหาวิทยาลัย ได้รับการเชิญจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรดาชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะเห็นคุณค่าในคำเสนอแนะนำของอาจารย์อคินเป็นอย่างไร แต่คงไม่ถึงเป็นแบบเดียวกันกับบรรดาสำนักงานของทางราชการทั้งหลาย เช่น กรุงเทพมหานครและผังเมืองเป็นอาทิที่ดูมีกิจกรรมในทางลบกับชุมชนในวัฒนธรรมความจนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของข้าพเจ้าและมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับคำแนะนะและอนุเคราะห์จากอาจารย์อคินให้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อทำการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของบรรดาชุมชนในพื้นที่เขตของกรุงเทพมหานครที่อยู่สองฝั่งของคลองบางลำพู-โอ่งอ่างและคลองผดุงกรุงเกษม ที่มีแหล่งชุมชนแออัดที่จะต้องได้รับการเคลื่อนย้ายและปรับปรุงมากมาย
เป็นผลให้ได้ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงของความเป็นชุมชนมนุษย์ที่คนภายนอกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมมั่วยาเสพย์ติดเสื่อมโทรมและนอกกฎหมายนั้น ที่แท้คือชุมชนมนุษย์ที่คนในชุมชนยังมีวิถีชีวิตร่วมกันในวัฒนธรรมความจนนั่นเอง
ชุมชนดังกล่าวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนชาวตรอกที่กลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อย [Subculture] ของสังคมใหญ่ในท้องถิ่นที่เรียกว่า “ย่าน” หรือ “บาง” เช่น ชุมชนชาวตรอกบ้านบาตรที่เป็นส่วนหนึ่งของย่านใหญ่ที่มีวัดสระเกศเป็นศูนย์กลาง และชุมชนชาวตรอกที่ป้อมมหากาฬ อันมีวัดราชนัดดาเป็นศูนย์กลาง ความต่างกันของชุมชนชาวตรอกทั้งสองแห่งนี้คือ ชุมชนป้อมมหากาฬถูกไล่รื้อทำลายโดยโครงการพัฒนาเมืองใหม่ของกรุงเทพมหานครที่ยังมีแนวคิดติดกับการพัฒนาพื้นที่แต่ไม่เห็นผู้คนในชุมชนที่มีชีวิตสืบเนื่องมาหลายยุคสมัย แต่ในทำนองตรงข้ามชุมชนชาวตรอกของบ้านบาตรยังดำรงอยู่ของคนในชุมชนรุ่นใหม่ที่สืบเนื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่มาแต่รุ่นเก่าหลายชั่วคนแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเติบโตไปกว่าแต่เดิมก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนากับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่มีรองศาสตราจารย์ ดร.อคิน รพีพัฒน์ เป็นที่ปรึกษา
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments