top of page

คนไทยจะเป็นทาสในยุคอำมาตย์ไพร่

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 1 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2553


บ้านเมืองไทยในสยามประเทศยุคนี้ อยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จากโลกาภิวัตน์เข้าสู่โลกาพิบัติ ซึ่งเห็นได้จากทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง ปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางดินฟ้าอากาศที่ทำให้เกิดพายุหมุนไม่ว่าจะเป็นเฮอริเคน ทอร์นาโด และไต้ฝุ่นต่างก็เป็นพายุที่มีอานุภาพในการพัดทำลายบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง รวมทั้งการนำฝนและน้ำทะเลเข้าท่วมท้น พัดทำลายทำให้เกิดภาวะบ้านแตกและการเสียชีวิต การพลัดพรากของผู้คน ภัยพิบัติธรรมชาตินี้เพิ่มความรุนแรงและศักยภาพในการทำลายเพิ่มขึ้นในเรื่องสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม ขาดการจัดการอย่างไม่มีดุลยภาพ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเขื่อนพลังงาน และการชลประทาน การสร้างถนนหนทาง การขยายตัวทางอุตสาหกรรมแหล่งผลิตและการทำเกษตรอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม



ภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ สร้างความเสียหายมากในบรรดาประเทศที่มีความล้าหลังทางวัฒนธรรม เช่น ประเทศด้อยพัฒนาที่หลงตนเองว่าพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศไทย [Modernization without development]


ในส่วนปรากฏการณ์ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังความพิบัติมายังบ้านเมืองและผู้คนก็คือ การมีระบบการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องซื้อเสียงซึ่งเข้ากันได้ดีกับการเน้นระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของปัจเจกบุคคลจนทำให้มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมกลายเป็นเดรัจฉาน


ทั้งระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่สังคมไทยแต่สมัยรัฐบาลไทย แต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ รับเข้ามาแทนที่ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นสมัยการปกครองแบบอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพมหานคร แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว แต่ในด้านบริหารราชการแผ่นดินเป็นระบบราชการที่เป็นอำมาตยาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องของขุนนาง ข้าราชการรับผิดชอบดำเนินการกิจกรรมของแผ่นดินในลักษณะที่ลดหลั่นกันลงไป จากสูงลงต่ำ โดยมีประชาชนที่เรียกว่าไพร่เป็นผู้ถูกปกครอง อาจจะเรียกว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยกลุ่มของ “อำมาตย์ผู้ดี” ก็ได้ เพราะคำว่า “ผู้ดี” นั้นหมายถึงผู้ที่มีวิถีชีวิตและความประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีลธรรมและคุณธรรมทางศาสนา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญบารมีเป็นผู้นำ


แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมานั้น เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดีที่มีการศึกษามีความรู้ดีแบบทางตะวันตกเข้าสู่ระบบราชการ ความคิดแบบประชาธิปไตยที่อำนาจมาจากประชาชนโดยผ่านการมีรัฐธรรมนูญก็เข้ามาแทนที่อำนาจจากเบื้องบนทางศาสนาและพระมหากษัตริย์แล้วก็ตาม แต่ระบบอำมาตยาธิปไตยแต่เดิมก็หาได้เปลี่ยนไปไม่ เพราะโครงสร้างการปกครองและการบริหารราชการยังมีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดิม ความเหลื่อมล้ำในเรื่องอำนาจหน้าที่ก็ยังเหมือนเดิม ต่างกันแต่เพียงพวก อำมาตย์ผู้ดี ลดจำนวนลง มีพวก อำมาตย์ไพร่ เพิ่มขึ้นมาแทนที่


พวกอำมาตย์ไพร่แต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามซึ่งนับอายุขัยได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ คนรุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นยายที่ยังมีคำนิยาม อุดมการณ์ การมองโลกแบบเดิม ๆ ของคนตะวันออกอยู่พอสมควร แต่ตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นต้นมา การพัฒนาประเทศทั้งในระบบราชการ การบริหารและเศรษฐกิจที่ได้ส่งคนไปศึกษาอบรมทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสนั้น ได้ทำให้ผู้ที่เข้ามารับราชการเลื่อนขั้นเป็นอำมาตย์ไพร่รุ่นใหม่ถูกครอบงำด้วยการมองโลก ค่านิยมและอุดมคติแบบวัตถุนิยมอย่างโลกยวิสัยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ที่มีมาแต่ละยุคสมัยนั้น แทบไม่มีมิติทางจิตวิญญาณทางศาสนาและศีลธรรมเกี่ยวข้อง คำขวัญ งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข อันเป็นที่มาของ เงินและอำนาจ คือสิ่งเดียวกันและเป็นกระบวนทัศน์ของคนรุ่นใหม่ทั้งระดับบนคืออำมาตย์ไพร่ คือผู้ปกครองและพวกไพร่ที่เป็นประชาชน ซึ่งยังคงเป็นชนชั้นของผู้ถูกปกครองเช่นเดิม


แต่อำมาตย์ไพร่ครั้งสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา ก็ยังเป็นอำมาตย์ไพร่ที่มีพวกขุนศึกคือทหาร เป็นคณะบุคคลที่ทรงอำนาจในแผ่นดิน ที่มักมีเอี่ยวกับบรรดาพ่อค้า นายทุน ที่ร่วมกันแสวงหาอำนาจและเงินจากระบบราชการ ด้วยการกระทำที่เรียกว่า คอรัปชั่นแบบถูกกฎหมาย คือมีการทั้งออกกฎหมายไม่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงกฎหมายและละเมิดกฎหมายรวมอยู่ด้วย ทำให้สังคมไทยพัฒนาเข้าสู่การเป็นสังคม ละเมิดกฎหมายอย่างเต็มตัว [Law violating society] กลไกของรัฐ เช่น ทหารที่มีไว้เพื่อป้องกันภัยจากข้างนอกกลายมาเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติรัฐประหารแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องความต้องการของผู้มีอำนาจ ในขณะที่กลไกในด้านรักษาและบังคับด้วยกฎหมายเพื่อความสงบสุขและยุติธรรมภายใน อันได้แก่ ตำรวจ ก็กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการกดขี่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมจนในทุกวันนี้


ตั้งแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ของพรรคกิจสังคมเป็นต้นมา อำนาจของคณะบุคคลที่มีอำนาจในแผ่นดินที่เป็นขุนศึกก็แผ่วลง เพราะมีแรงต้านในแผ่นดินของปัญญาชนรุ่นใหม่ที่มีมาแต่สมัย ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔ เพิ่มแรงขึ้น นักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ผลักดันในด้านเศรษฐกิจ-การเมืองมากขึ้น เช่นการเน้นการเลือกตั้งลงสู่ท้องถิ่นเกิดระบบเงินผันเพื่อเพิ่มรายได้แก่ประชาชนที่ดูเหมือนเป็นต้นกำเนินของการแจกเงินแบบประชานิยมของรัฐบาลทักษิณและไทยเข้มแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน


สิ่งที่สังเกตได้ค่อนข้างชัดในช่วงเวลานี้ ก็คือบทบาทและอำนาจของพวกขุนศึกค่อยๆ ลดลง โดยมีพวกนายทุน พ่อค้าค่อย ๆ เข้ามาแทนที่และมีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ต่อกัน พอถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวันก็มาถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ เกิดรัฐบาลพลเรือนที่มีพวกพ่อค้านายทุนอยู่เหนือทั้งรัฐและตลาด ขยายกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ-การเมืองทั้งในระดับบนและล่างของประเทศรวมทั้งขยายตัวไปยังบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนามเปลี่ยนสนามรบให้เป็นการค้านับเป็นยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก การเปิดรับการลงทุนจากภายนอกอย่างกว้างขวาง จนเกิดการเล่นหุ้น ปั่นหุ้น ขายที่ ปั่นที่ดิน เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้เพราะเมืองไทยมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากมายที่คนท้องถิ่นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ชักนำให้นำไปขาย นำไปจำนอง เกิดขบวนการนายหน้าหาซื้อที่ดิน จัดหาคนทำงานเป็นแรงงาน ในขณะที่ทางรัฐส่วนกลางและส่วนภูมิภาคก็ขยายกิจกรรมทางด้านโครงสร้างสาธารณะ เช่น ถนนหนทาง โรงงานไฟฟ้า เขื่อนพลังน้ำ ย่านชุมชนเมือง แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวอะไรต่าง ๆ นานา


ในยุคของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เกิดสถาบันการปกครองท้องถิ่นใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ อบต. และ อบจ. ที่สมาชิกขององค์กรมาจากการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่น สถาบันนี้เกิดขึ้นในความคิดว่าเป็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง [Decentralization] ลงในท้องถิ่นที่มีความเจริญเป็นเมือง ต่างกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่เป็นการมอบอำนาจ [Delegation of authority] ลงสู่ท้องถิ่นที่ยังเป็นบ้านไม่ใช่เมือง


แต่โดยพฤติกรรมและความเป็นจริงแล้ว การเกิด อบจ.และ อบต. หาใช่การกระจายอำนาจไม่ หากเป็นการมอบอำนาจเช่นเดียวกันกับสถาบันผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เพราะทั้งสองสถาบันเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกเข้าทำงานในองค์กรแล้ว ทางรัฐเป็นผู้กำหนดอำนาจหน้าที่และเงินงบประมาณลงมาให้จัดการใช้จ่าย โดยย่อก็ยังต้องพึ่งงบประมาณจากทางส่วนกลางหรือจากทางรัฐอยู่ดี และผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญขององค์กรก็มีอำนาจหน้าที่ เพราะถือว่าได้เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตย


แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้พฤติกรรมของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และอบจ. อบต หรือระดับเทศบาลต่าง ๆ ก็คืออำมาตย์ไพร่ในระดับท้องถิ่น ที่ส่วนมากซื้อเสียงหาเสียงเข้ามาหลายแห่งก็หาใช้คนในท้องถิ่นไม่ หากเป็นพวกนักธุรกิจ นักก่อสร้างลงทุนจากที่อื่น เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ผลที่ตามมาสภาวะทางสังคมของท้องถิ่นเกิดความเดือดร้อนและขัดแย้ง โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์ เกิดคอรัปชั่นในเรื่องเงินทองที่ได้มาจากทางรัฐ มีการแบ่งพรรคพวกเป็นกลุ่มปรปักษ์เพื่อผลประโยชน์อย่างแพร่หลาย


แต่ก่อนในสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant society] ที่คนอยู่กันเป็นหมู่เหล่า มีเทือกเถาเหล่ากอก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ต่าง ๆ และมีความขัดแย้งกัน แต่ก็อาจปรองดองกันได้ด้วยสำนึกร่วมของคนที่อยู่ร่วมบ้านเกิดหรือชุมชนเดียวกัน [Sense of belonging] ไม่ว่าคนจนคนรวยหาได้แบ่งออกเป็นกลุ่มปรปักษ์ [Faction] ที่มีผู้นำมีพฤติกรรมที่เป็นมาเฟีย หรือผู้มีอิทธิพลไม่ แต่หลังจากเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมดังเช่นทุกวันนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างผ่อนผันและปรองดองกันแบบเก่าก่อนหามีไม่ คนส่วนใหญ่เน้นความเป็นปัจเจกเพื่อตัวเองและพวกพ้อง แลไม่เห็นความสำคัญของส่วนรวม หากมีแต่ส่วนตัวและแข่งขันทำลายกันตลอดเวลา


ทุกวันนี้ในแทบทุกท้องถิ่นจะแลเห็นมาเฟียที่มาจากทางสายราชการหรือทางรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ดี กับมาเฟียที่เป็นพวก อบจ. และอบต เทศบาลที่ล้วนแต่กลายเป็นเครือข่ายในระบบอุปถัมภ์ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองที่มีสิทธิมีเสียงในรัฐสภาทั้งสิ้น ทำให้แลเห็นความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ในเรื่องอำนาจและเงินจากสภาท้องถิ่นเข้าสู่รัฐสภาและผู้ที่คุมอำนาจเหนือรัฐสภาและรัฐก็คือ บรรดานักธุรกิจการเมืองนายทุนที่ล้วนมีความสัมพันธ์กับนายทุนข้ามชาติในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจแห่งชาติของแทบทุกรัฐบาลในเรื่องการให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้า จนเกิดการลงทุนข้ามชาติเข้ามากว้านซื้อและครอบครองที่ดินและทรัพยากรนานาชนิด ทั้งในการเข้ามาเป็นเจ้าของทั้งในทางตรงและทางอ้อม กลุ่มคนเหล่านี้คือพวกที่มีอำนาจเหนือรับและเหนือตลาดอย่างแท้จริง รัฐกลายเป็นเครื่องมืออย่างทรงพลังของบรรดาทุนข้ามชาติเหล่านี้ ดังเห็นได้จากโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จเกิดกระทรวง กรมกองและหน่วยราชการมากมายจากข้างบนลงล่าง ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างชอบธรรม


จากการสร้างกฎหมายขึ้นมารองรับและบังคับใช้ นี่คือลักษณะของรัฐทรราชย์ยุคโลกาภิวัตน์ที่แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองขายได้กินได้เพื่อเกิดรายได้มาแบ่งปันกันเองในหมู่ของพวกนายทุนเป็นนายทุนที่เป็นอำมาตย์ไพร่ เพราะแฝงอยู่ในคราบของอำมาตย์ผู้ดี


แต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คราบของอำมาตย์ที่เห็นได้ก็คือ บรรดาเครื่องแบบ เครื่องแต่งกายและเครื่องอิสริยาภรณ์แสดงฐานะความสูงต่ำ ความมีหน้ามีตา มีอำนาจ ที่บรรดาขุนนาง ข้าราชการในสมัยสังคมศักดินาที่กว่าผู้ที่จะสวมใส่ได้นั้นต้องเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม พวกผู้ดีแต่สมัยศักดินาเคยปรารภให้ฟังเสมอว่าพวกอมาตย์ไพร่ในยุคนี้ ดูกริยาท่าทางและพฤติกรรมแล้ว เหมือนคางคกขึ้นวอ


แต่ในขณะที่บรรดาอำมาตย์ไพร่ของทุกพรรคและทุกรัฐบาลของรัฐรวมศูนย์ที่มีอำนาจเดิมอย่างเป็นทรราชย์กำลังแย่งชิง แย่งอำนาจในเรื่องการยุบพรรคและแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญกันในขณะนี้ พวกที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน คือประชาชนทั่วไปนั้นกำลังอยู่ในภาวะที่มีความขัดแย้งและล่มจมมอยู่ทุกขณะ อันเป็นผลมาจากการรุกล้ำแย่งชิงที่ดินและทรัพยากรจากบรรดานายทุนที่มีทั้งพวกข้ามชาติและในชาติ


ในการประเมินที่ดินของชาติที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้ตามกฎหมายของคณะกรรมการปฏิรูป ชุดคุณอานันท์ ปันยารชุน พบว่าคนรวยที่เป็นนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ครองครองที่ดินจำนวน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ ในขณะที่คนจนจำนวนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีที่ดินเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ของชาติ


เพียงแค่นี้ก็เพียงพอจะอธิบายให้เห็นความล่มสลายของสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนาที่เป็นสังคมพื้นฐานของประเทศมาแต่เดิมได้ชัดเจน นั่นคือบรรดาเกษตรกรรายย่อยที่พอมีที่ทำกินของตนเองแทบไม่เหลือ กลับมีเกษตรกรรายใหญ่ทำการเกษตรแบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง [Contracted farming] ของนายทุนเข้ามาแทนที่ อันเป็นลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมที่ทำให้ชาวนาและชาวไร่เดิมลายเป็นแรงงาน มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเดิมไปเป็นแรงงานในที่ต่าง ๆ ทั้งงานอุตสาหกรรม งานบริการในเมืองและงานเกษตรอุตสาหกรรมตามไร่ขนาดใหญ่ การเกษตรอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ไม่จำกัดอยู่เพียงการปลูกข้าวที่ทำในที่ลุ่มเท่านั้น แต่ขยายไปถึงพืชเศรษฐกิจนานาชนิดที่ทำกันในที่สูง อันเป็นแหล่งต้นน้ำ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยูคาลิปตัส ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มีกระบวนการชลประทานขนาดใหญ่ที่แย่งน้ำจากชาวบ้านมาใช้ในการเกษตรที่ทำกันทุกฤดูกาล รวมทั้งการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยราชการออกเอกสารสิทธิ์รุกป่าสงวน ออกเอกสารสิทธิทับที่ทำกินของชาวบ้าน จนเกิดเป็นคดีความไปทั่ว


นอกจากการแย่งที่ทำกินในเรื่องที่ดินแล้ว ในพื้นน้ำและท้องน้ำก็โดนด้วย ในสังคมแบบชาวนานั้นได้จำกัดอยู่เพียงคนที่ทำนาทำไร่บนพื้นแผ่นดินเท่านั้น หากยังครอบคลุมไปยังบรรดาผู้คนที่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ชายหาดและท้องที่ในอ่าวในทะเล ที่มีอาชีพเป็นชาวประมงด้วย แต่เป็นประมงรายย่อยที่เรียกว่า ประมงพื้นบ้าน ที่ผู้คนใช้พื้นน้ำทำกินร่วมกันโดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แต่ในทุกวันนี้ ชาวประมงพื้นบ้านถูกบดขยี้จากการประมงพาณิชย์ของบรรดาพวกนายทุนทั้งข้ามชาติและในชาติที่มีอิทธิพลอยู่เหนือรัฐและเหนือตลาดทั้งหลาย การประมงแบบนี้นอกจากใช้เครื่องมือด้วยจักรกลและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจับปลาและสัตว์ทำได้เป็นจำนวนมาก เช่น อวนรุน อวนลากอย่างแทบไม่มีเวลาให้พื้นน้ำหยุดหายใจบ้างแล้ว ยังเป็นการประมงที่จัดพื้นที่ท้องน้ำมาครอบครองเป็นของคนอย่างมีกฎหมายรองรับที่ชั่วช้าและโหดสุด ๆ ที่รัฐกระทำกับประชาชนก็คือ การให้เอกชนมีโฉนดน้ำไว้ครอบครอง ทำให้ชาวบ้านชาวประมงที่เคยใช้พื้นน้ำมาก่อนถูกขับไล่และถูกไล่ยิง


ในทุกวันนี้ผลจากความร้ายที่สุดโหดของรัฐบาลทรราชย์อำมาตย์ไพร่ที่มีมาหลายสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจากรัฐอำมาตย์ผู้ดี ประชาชนตามท้องถิ่นเป็นจำนวนมากไม่เพียงแต่โดนแย่งที่ทำกินอย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังถูกจับไปดำเนินความ ดำเนินคดีต้องโทษในคุกในตะรางกันเป็นระนาว ชาวบ้านหลายคนต้องตกเป็นจำเลยของรัฐในกรณีทำผิดกฎหมายในที่ทำกินของคนที่ครอบครองมาแต่รุ่นปู่ย่าตายาย อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวบ้านถูกขังคุกจนตายที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น


แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากของแผ่นดิน บรรดาอำมาตย์ไพร่และนายทุนทั้งหลายของแต่ละพรรคการเมืองไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจ กลับมีแต่ทะเลาะกันแย่งชิงอำนาจกัน เช่นในกรณียุบพรรคและการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้


เพราะฉะนั้นก็ควรที่บรรดาวิญญูชนทั้งหลายควรทบทวนกันใหม่ว่า นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนทุกวันนี้ ภายใต้การปกครองและการครอบงำของอมาตยาธิปไตยของพวกอำมาตย์ไพร่ ประชาชนได้อะไรนอกจากจะอยู่ในสภาพการไร้แผ่นดินที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกิน อนาคตที่แลเห็นชัดเจนขึ้นทุกที คือการเป็นทาสติดที่ดินให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติ ถ้าสังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมทาสยุคโลกาภิวัตน์ก็เป็นได้


ในสุดท้ายอยากใคร่เปรียบเทียบระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นปรัชญาทางตะวันตกที่แก้กันอยู่หลายยุคหลายสมัยในขณะนี้กับกฎหมายตราสามดวงอันมีมาแต่สมัยอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสังคายนาและใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑–รัชกาลที่ ๔ มีมาตราหนึ่งที่มีเนื้อความว่า


แผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงพระราชทานให้แก่ราษฎรได้ทำกินตามศักยภาพ แต่ถ้าไม่ทำกินแล้วไม่ใช้ประโยชน์แล้วไม่อาจจะยึดเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ได้ ต้องคืนกลับให้กับรัฐ


อำมาตย์ผู้ดีแต่ก่อนเขารักษาที่ดินไว้ให้ลูกให้หลานทำกิน แต่อำมาตย์ไพร่สมัยปัจจุบันแย่งที่ดินของชาติไปให้ต่างชาติแทน


ประชาชนที่เป็นคนไทยทุกวันนี้จะเป็นไพร่ก็คงไม่ได้เสียแล้ว นอกจากทาสแต่เพียงอย่างเดียว


โอ้ โลกาพิบัติ!

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page