เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ย. 2546
เดี๋ยวนี้ในบางครั้งบางเวลา ข้าพเจ้าออกจะคล้อยตามสิ่งที่ฝรั่งนักวิชาการในยุคล่าอาณานิคมบอกว่า คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีความคิดและสติปัญญาในการสร้างอารยธรรมให้กับตนเอง จึงต้องอาศัยการรับความเจริญมากจากภายนอก คือจากอินเดียและจีนมาเป็นรากฐาน เหตุนี้จึงมีการเรียกดินแดนในภูมิภาคนี้ว่า อินเดียตะวันออกบ้าง อินโดจีนบ้าง รวมทั้งเวลาจะอธิบายอะไรต่ออะไรทางศิลปวัฒนธรรมก็มักลากเข้าหาอินเดียและจีนอยู่ร่ำไป ทุกอย่างจึงมาจากข้างนอกทั้งสิ้น คนภายในคิดไม่เป็น

เหตุที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกและคิดเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีนักวิชาการไทยหลายคน สรรเสริญสิ่งค้นพบของนักวิชาการฝรั่งคนหนึ่งในเรื่องประวัติความเป็นมาของผู้คนและบ้านเมืองว่า “คนไทยมาจากทะเล” เลยทำให้ตื่นเต้นและถึงบางอ้อ ที่คัดค้านความคิดและความเชื่อแต่เดิมว่า คนไทยอพยพเคลื่อนย้ายจากประเทศจีนมาทางบก มาตั้งสุโขทัยและอยุธยาเป็นราชธานี
ข้าพเจ้าเผอิญอยู่ในกระแสของการเผยแพร่ความคิดที่กำลังจะทำให้คนไทยเชื่อโดยบังเอิญ จึงใคร่แสดงความคิดเห็นไว้ในทีนี้ คือเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่แล้วมา มีการสัมมนาไทยศึกษากันที่จังหวัดนครพนม ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปเสนอบทความในการประชุมครั้งนี้ด้วย ก็มีนักวิชาการญี่ปุ่นคนหนึ่งคือ ศาสตราจารย์โยเนโอะ อิชิอิ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยท่านหนึ่ง ได้เสนอว่า มีหลักฐานทางเอกสารโบราณซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนไทยที่สร้างบ้านแปงเมืองจนเกิดกรุงศรีอยุธยานั้นเป็นพวกมาจากทางทะเล ต่อมาก็มีฝรั่งคนหนึ่งค้นคว้าเรื่องนี้ออกมาเผยแพร่และชี้ให้เห็นว่าเป็นจริง จึงกลายเป็นสิ่งค้นพบใหม่ที่ค้านของเก่า จนทำให้นักวิชาการไทยคิดตามและเชื่อกัน อีกหน่อยก็คงจะเชื่อตาม ๆ กันไปอย่างแพร่หลาย เลยดูเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ฝรั่งยุคล่าอาณานิคมเคยดูถูกไว้
ข้าพเจ้าเห็นว่า สิ่งที่เชื่อและตามกันเช่นนี้เป็นเรื่องตลก เพราะดูเป็นการเลือกสรุปแบบกลวงๆ ง่ายและสั้น ที่ทำให้คนเชื่อโดยไม่ต้องคิด อาจเป็นประโยชน์ให้เกิดเป็นคนดังท่ามกลางสังคมของคนที่คิดอะไรไม่เป็นได้ เลยทำให้คิดถึงนักวิชาการไทยคนหนึ่งที่เกาะติดกับเรื่องคนไทยมาจากไหนและสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของเมืองไทย คือ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งไม่เคยประกาศตัวเองว่าเป็นนักวิชาการแม้แต่ครั้งเดียว แต่แสดงตัวให้เห็นว่าเป็นนักเขียนนักคิดธรรมดาที่แสวงหาความรู้จากประสบการณ์ในการท่องเที่ยวไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นนักศึกษา จนเวลานี้ก็อยู่ในวัยชราที่กำลังถูกคุกคามด้วยโรคภัย
ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในวิบากกรรมของสุจิตต์มาตั้งแต่เริ่ม เพราะไปรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดีที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกันตั้งขึ้นมาเพื่อออกไปศึกษาหาประสบการณ์และความรู้ในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๐๘ เป็นต้นมา แม้ว่าชุมนุมที่ว่านี้จะสลายตัวไปนานแล้วก็ตาม แต่นักศึกษาที่เกาะติดกับการเรียนรู้และประสบการณ์อย่างไม่เลิกนั้นมี ๓ คน คือ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับ ๑๐ ของกรมศิลปากร ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริหารหนังสือพิมพ์มติชน และสุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการหนังสือศิลปวัฒนธรรม
พิเศษเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีบริสุทธิ์ ทั้งค้นคว้าคิดและเขียนอย่างต่อเนื่อง ขรรค์ชัยเป็นนักธุรกิจที่สนใจสนับสนุนการค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้อย่างไม่คำนึงถึงคำว่าขาดทุน ส่วนสุจิตต์นั้นทำเต็มตัวตั้งแต่เป็นนักค้นคว้า นักเขียน จนถึงการหาทุนรอนมาพิมพ์เป็นหนังสือศิลปวัฒนธรรม จนในที่สุดเหนื่อยและเจ๊งในเรื่องทุนรอน ต้องโอนกิจกรรมมาให้ทางสำนักพิมพ์มติชน แล้วทำหน้าที่เป็นทั้งนักค้นคว้า นักเขียน และบรรณาธิการต่อไป ซึ่งก็ทำให้งานค้นงานคิดและงานเขียนของสุจิตต์ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่สุขภาพร่างกายของตัวเองก็แย่ลง
ข้าพเจ้าติดตามงานและความคิดของสุจิตต์ตลอดมาและคิดว่า สุจิตต์ค้นพบอะไรใหม่ ๆ ในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งถ้าพูดแบบดัดจริตให้เป็นวิชาการก็คือ การวิจัย มากมายกว่าเรื่อง คนไทยมาทางทะเล หลายร้อยเท่า อย่างแรกคือ การที่สุจิตต์พบตัวเองว่าเป็นไพร่อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นความเป็นจริงที่เป็นของคู่กันกับสิ่งสมมติ คือ การเป็นผู้ดี ความเป็นคนไทยกับความเป็นผู้ดีเป็นเรื่องสมมติพอ ๆ กันและไปด้วยกันได้ แต่ความเป็นไพร่ของสุจิตต์นั้นสัมพันธ์กับความเป็นจริง คือ เจ๊กปนลาว เพราะพ่อเป็นลาวพวนและแม่เป็นลูกเจ๊ก การศึกษาแบบไพร่ ๆ ของสุจิตต์จึงนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจว่าในดินแดนประเทศไทยนั้น แท้จริงก็ประกอบด้วยคนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ มีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่รู้ว่าคนพูดภาษาไหน มาจนถึงมีการรวมตัวผสมผสานกันเป็นรัฐเป็นอาณาจักรที่มีภาษาและวัฒนธรรมร่วมกันเป็นสยามประเทศและเป็นคนไทยซึ่งเป็นชนชาติโดยสมมติในที่สุด โดยเหตุนี้สุจิตต์จึงรู้และแยกคำว่า คนไทยที่เป็นชื่อสมมติของคนในดินแดนประเทศไทยออกจากคนไทยที่เป็นความจริงทางชาติพันธุ์ที่มาจากภายนอกได้ดี
เพราะฉะนั้น เรื่องที่สุจิตต์บอกว่า คนไทยอยู่ที่นี่ คือในดินแดนประเทศไทยมาแต่ก่อนสมัยสุโขทัย จึงเป็นเรื่องที่ถูก แต่ในขณะเดียวกันที่เสนอเรื่องกว่าจะเป็นคนไทย อันเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยที่อยู่นอกดินแดนประเทศไทยก็ถูกอีกเช่นกัน
แก่นของการศึกษาเรื่องชนชาติไทยของสุจิตต์อยู่ที่ เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งในและนอกประเทศไทยที่มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะหลักฐานทางโบราณคดีนั้นแสดงว่าก่อนยุคสำริดและเหล็ก ผู้คนในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงไม่ว่าลาว เขมร พม่า ญวนมีน้อยมาก แต่มีที่ราบลุ่มและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ทำให้ผู้คนจากภายนอกทั้งจากตอนใต้ของจีนและโพ้นทะเล เคลื่อนย้ายเข้ามาทั้งทางบกและทางทะเลเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนส่วนตัวและตั้งถิ่นฐานให้เกิดเป็นบ้านเป็นเมือง
สุจิตต์ไม่ได้มองการเคลื่อนย้ายของคนที่มาจากภายนอก เป็นการเคลื่อนย้ายแบบยกโขยงกันมาหมด อย่างเช่นเรื่องที่เชื่อว่าคนไทยหนีร่นยกโขยงจากตอนใต้ของจีนมาตั้งสุโขทัย เป็นต้น ทำนองตรงข้ามเป็นการเคลื่อนไหวแบบไป ๆ มา ๆ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างที่มาและที่ไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีหลักฐานทางโบราณคดีและชาติพันธุ์สนับสนุนให้เห็นได้ชัดเจน ที่สำคัญก็คือ กลองกบหรือกลองมโหระทึก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เนื่องในพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ และเป็นสิ่งของสมมติแสดงสถานภาพของบุคคลสำคัญที่เป็นประมุขของบ้านเมืองและชนเผ่า ผลิตขึ้นในบ้านเมืองที่มีอารยธรรมทางตอนใต้ของประเทศจีน แพร่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกและทางน้ำในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะมโหระทึกที่เข้ามาตามเส้นคมนาคมทางบกนั้น ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องจนกลายมาเป็นวัตถุทางชาติพันธุ์ที่ท้องถิ่นสามารถผลิตเองได้ เช่น กลองกบของพวกกระเหรี่ยงในประเทศพม่าและกลองมโหระทึกในราชสำนักของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้น ถ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอกตามเส้นทางที่พบกลองมโหระทึกหรือกลองกบแล้ว ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่ามีคนเคลื่อนย้ายไปมาและตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยแล้วทั้งทางบกและทางทะเลแต่ยุคสำริดและเหล็กลงมา คนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยคือคนหลายเผ่าพันธุ์หลายชนชาติที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งและมีบูรณาการทางวัฒนธรรมขึ้นเป็นคนไทย การเคลื่อนไหวมีหลายยุคหลายสมัยในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจศึกษาวิเคราะห์ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี แต่น่าเสียดายว่านักโบราณคดีไทยทั้งที่เรียนมาจากต่างประเทศและในประเทศ วิเคราะห์ไม่เป็น ทำเป็นแต่แจกแจงรูปแบบศิลปะแต่ละยุคแต่ละสมัยหรือไม่ก็แยกแยะชั้นดิน ชั่งเศษหม้อเศษไหเพื่อกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีเท่านั้น
เมื่อไม่มีการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่จะเชื่อมโยงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มชน นักประวัติศาสตร์ก็ไม่สามารถเอาหลักฐานทางด้านเอกสารมาเชื่อมโยงและตีความได้ เพราะหลักฐานลายลักษณ์ในด้านจารึกนั้นกระท่อนกระแท่น ในขณะที่หลักฐานทางตำนานส่วนใหญ่เป็นเรื่องสร้างขึ้นทีหลัง เลยทำให้บรรดานักประวัติศาสตร์ไม่กล้าใช้ตำนานมาสร้างเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
แต่สุจิตต์มีแนวคิดและวิธีการทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงหลักฐานทางโบราณคดีให้เข้ากับหลักฐานทางลายลักษณ์เช่นจารึกและตำนานพงศาวดารได้ดี คือมองหลักฐานทางโบราณคดีในลักษณะที่เชื่อมโยงเป็นชุมชนบ้านเมืองและเส้นทางคมนาคมที่โยงใยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองเข้าด้วยกัน จึงทำให้เห็นการเกิดและเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและผู้คนในแต่ละยุคแต่ละสมัย
สุจิตต์แลเห็นการเคลื่อนไหวของผู้คนทั้งจากภายนอกและภายในบนเส้นทางบกและทางทะเล ที่เข้ามาสัมพันธ์กันจนทำให้เกิดบ้านเมืองและรัฐขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘–๑๙ ลงมา ที่เกิดบ้านเมืองใหม่ ๆ ที่มีชื่อบ้านนามเมืองสืบมาจนทุกวันนี้ เช่น นครศรีธรรมราช ปัตตานี เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สุโขทัย และอยุธยา เป็นต้น บ้านเมืองเหล่านี้มีตำนานพงศาวดารที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และเส้นทางคมนาคมแล้ว ยังกล่าวถึงชื่อคนสำคัญทั้งที่เป็นบุคคลในตำนานอันเป็นเรื่องสมมติและที่มีตัวตนในความเป็นจริงที่ทำให้เห็นได้ว่า บรรดาผู้คนในดินแดนประเทศไทยตามเมืองต่าง ๆ ที่เอ่ยชื่อมานั้นมีทั้งที่มาจากภายนอกทั้งทางบกและทางทะเล จึงเป็นเหตุให้ รองศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ ผู้ภรรยา นำความคิดไปอธิบายกำเนิดของคนบนพื้นแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์เชิงสัญลักษณ์เป็นรูปของน้ำเต้าปุงและเรือสำเภาที่แสดงไว้ในห้องนิทรรศการทางวัฒนธรรม ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

เรือสำเภาคือสัญลักษณ์ของคนที่เข้ามาทางทะเล ที่สุจิตต์เห็นว่าสอดคล้องกับตำนานของพระเจ้าอู่ทองที่มีระบุไว้ในจดหมายเหตุฟอนฟลิตว่า เป็นลูกเจ้ากรุงจีนถูกเนรเทศเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปัตตานี นครศรีธรรมราช กุยบุรี เพชรบุรี และอยุธยาตามลำดับ แต่สุจิตต์ไม่สนใจว่า พระเจ้าอู่ทองมีตัวตนจริงหรือไม่ หากเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการเคลื่อนเข้ามาของคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ที่เข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองตั้งแต่ปากน้ำเพชรบุรี แม่กลอง ท่าจีน จนถึงเจ้าพระยา ผู้คนตามบ้านเมืองเหล่านี้โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ นนทบุรี ถึงอยุธยา คือผู้คนที่มาจากทางทะเลนั่นเอง และคนเหล่านี้แหละที่มีการสังสรรค์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองกับคนที่อยู่ภายในที่เคลื่อนย้ายมาจากภายนอกทางบกไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย พิษณุโลก เชียงใหม่ ทำนองนั้น
ดังนั้นในสำนึกไพร่ของสุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งแม่เป็นลูกเจ๊กผู้เป็นเชื้อสายของคนที่เข้ามาทางทะเล ในขณะที่พ่อเป็นคนลาวเป็นพวกมาจากทางบก นี่คือความเป็นจริงทางชาติพันธุ์ แต่ถ้าเชื่อเรื่องสมมติก็เป็นคนไทย เพราะอยู่ในดินแดนประเทศไทย นับถือพระพุทธศาสนา และพูดภาษาไทยสื่อกับคนอื่น ๆ ได้ทั้งราชอาณาจักร
แต่ถ้าเชื่อตามฝรั่งบอก ฝรั่งสอน ความเป็นคนไทยมาจากทะเลก็คือความโง่เพียงอย่างเดียว
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments