เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2558
ย่านคลองสาน เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายมากแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ถึงแม้ว่าปัจจุบันสภาพของย่านคลองสานจะเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ร่องรอยความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประกอบด้วยผู้คนหลายชาติพันธุ์ยังคงปรากฏให้เห็นผ่านสถานที่ต่าง ๆ และในความทรงจำของคนในย่านที่ใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงยังคงไม่หยุดนิ่ง เนื่องด้วยมูลค่าของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีศักยภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่ชวนให้คิดถึงอนาคตของคลองสานและวิถีชีวิตของคนในย่านว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

บรรยากาศในอดีตของย่านคลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะเห็นเรือขนส่งสินค้าจอดกันหนาแน่น
จากประเด็นดังกล่าวนี้ จึงเป็นที่มาของการเสวนาในโครงการบางกอกศึกษาครั้งที่ ๒ เรื่อง “คลองสาน : ที่เป็นมาและเปลี่ยนไป” จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมหลวงวิเชียรแพทยาคม สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา การเสวนาเป็นการร่วมพูดคุยกันระหว่างคนภายในซึ่งเป็นคน ๒ รุ่นที่มองเห็นภาพอดีตของคลองสานในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ได้แก่ คุณชุณห์ คชพัชรินทร์และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี และคนจากภายนอกคือ รศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนถึงมุมมองในด้านการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำและความสำคัญของภาคประชาชนในการวางแผนพัฒนาพื้นที่เมือง จากการเสวนาพบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจและสามารถถ่ายทอดให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของย่านคลองสานตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และความเป็นไปได้ในอนาคต ดังนี้
ภาพจำ ‘คลองสาน’
ผู้คนและย่านการค้าริมน้ำ
“เมื่อสมัยที่ผมเด็ก ๆ คลองสานเป็นอำเภอที่เล็กก็จริง แต่พูดถึงในระดับเศรษฐกิจของประเทศ คลองสานของเราไม่แพ้สำเพ็ง อีกทั้งสำเพ็งเขาค้าขายปลีกย่อย ซึ่งวงเงินจะสู้ทางคลองสานไม่ได้”
คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ วัย ๗๘ ปี ผู้เติบโตขึ้นมาในย่านคลองสานและเป็นอดีตเจ้าของบริษัทใช่เฮงหลี ซึ่งเป็นบริษัทค้าของป่า กล่าวยืนยันถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของคลองสานในอดีตเพราะเมื่อนึกถึงย่านเศรษฐกิจที่เก่าแก่ของกรุงเทพฯ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงย่านการค้าในฝั่งพระนครเป็นหลัก เช่น ย่านเยาวราช สำเพ็ง ราชวงศ์ ทรงวาด แต่ขณะเดียวกันเมื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งธนบุรี พบว่ามีย่านการค้าเก่าแก่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะย่านคลองสานเลยไปจนถึงท่าดินแดง ถือเป็นย่านการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง ตลอดริมฝั่งแม่น้ำเป็นสถานที่ตั้งของโรงสีข้าว โรงงานต่าง ๆ รวมถึงโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่
คุณชุณห์ได้เล่าถึงโรงงานและบริษัทต่าง ๆ ที่เคยตั้งเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นับตั้งแต่ทางฝั่งด้านซ้ายของสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นเขตคลองสาน เรื่อยไปถึงท่าดินแดง ดังนี้
บริเวณพื้นที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เดิมเป็นที่ดินของคุณเล็ก นานา ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าส่งออก บริเวณที่ดินดังกล่าวเดิมมีชุมชนอยู่กันอย่างหนาแน่น ทั้งมุสลิมและคนจีน ใกล้ ๆ กับที่ดินของตระกูลนานา ตรงบริเวณเชิงสะพานพุทธ เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนไหหลำ ตรงนั้นมีร้านกวงหลี ซึ่งจะมีเรือที่บรรทุกของป่า เช่น สมุนไพร หนังสัตว์ เป็นต้น และสินค้าต่าง ๆ มาจอดที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด คนที่ต้องการจะซื้อต้องพายเรือไปตั้งแต่ตี ๓ เพื่อไปผูกจองสินค้าที่ต้องการ โดยใช้เชือกไปผูกที่เรือลำต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ไว้ จากนั้นจึงนั่งดื่มกาแฟไหหลำรอเวลาจนถึงรุ่งเช้าราว ๘ โมง จึงนำเรือยนต์มาลากเรือพ่วงกลับไปที่บริษัทหรือโกดังของตนเอง นอกจากจีนไหหลำแล้ว ย่านคลองสานยังมีพวกจีนแต้จิ๋ว มาทำการค้าขายและพวกฮกเกี้ยนมาเปิดกิจการค้าข้าว ซึ่งต้องการแรงงานกุลีเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้บริเวณดังกล่าวยังมีมัสยิดตึกแดง ซึ่งเป็นของมุสลิมกลุ่มเชื้อสายอินเดียและกลุ่มที่มาจากไทรบุรีที่เข้ามาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และในบริเวณใกล้เคียงกันเป็นที่ตั้งของโรงชัน ทำการผลิตชันผงและน้ำมันยาง ซึ่งเป็นยางไม้ที่ใช้สำหรับอุดรอยรั่วของเรือ ในย่านนี้มีอยู่ ๒ โรงด้วยกัน
ถัดไปจากมัสยิดตึกแดงมีศาลเจ้ากวนอูและบริเวณใกล้เคียงกันมี โรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ ซึ่งเป็นโรงน้ำปลาเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน มีชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการถัดไปมีโรงเกลือที่รับเกลือเม็ดมาจากจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ส่วนหนึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมทำหนังสัตว์ และส่วนหนึ่งนำมาล้างให้สะอาด เข้าเครื่องโม่บดละเอียด บรรจุกระสอบส่งขายทั้งในและต่างประเทศ

คุณชุณห์ คชพัชรินทร์ และคุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี วิทยากรในงานเสวนา
โดยมีคุณสุดารา สุจฉายา เป็นผู้ดำเนินรายการ
ถัดไปเป็น แถบตึกขาว บริเวณนั้นมีท่าเรือ โรงสีข้าวขนาดใหญ่ และมีมัสยิดเซฟีหรือมัสยิดตึกขาว โดยรอบเป็นชุมชนของพวกกลุ่มแขกตึกขาวที่เป็นพ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาในช่วงรัชกาลที่ ๕ ต่อมาทรัพย์สินที่ดินบางส่วนได้ขายให้ บริษัทเซ่งกี่ ทำเป็นโกดังเก็บสินค้า ที่ดินของพวกเซ่งกี่จึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางมากยาวไปจรดถึงตรอกช่างนาก โกดังเซ่งกี่ทำเป็นอาคารสองแถวยาวขนานกัน เปิดเช่าให้พวกที่ค้าของป่า สมุนไพร หนังสัตว์ ซึ่งในบริเวณย่านคลองสานในอดีตมีบริษัทย่อย ๆ ที่ทำธุรกิจค้าของป่าอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงย่านท่าดินแดงด้วยที่มีบริษัทค้าขายพวกครั่ง นุ่น มะขาม เป็นต้น มีโรงเก็บเครื่องยาสมุนไพร ปลาทูตากแห้ง โรงเลื่อยไม้ที่กิจการส่วนหนึ่งเป็นการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อบรรจุหนังสัตว์ส่งไปขายยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีโรงนึ่งปลาทูและปลาชนิดต่าง ๆ ที่คนจีนนิยมไปซื้อมารับประทานเป็นอาหารเช้า
จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง
“คลองสานเป็นเมืองปิด” คำจำกัดความสั้น ๆ ที่คุณสมบูรณ์ ศรีศุภภักดี ประธานชุมชนตรอกช่างนาก–สะพานยาว วัย ๕๒ ปี ผู้เกิดและเติบโตขึ้นมาในย่านคลองสาน ใช้อธิบายคลองสานในยุคที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง เดิมทีคลองสานเจริญเติบโตขึ้นเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่ได้เพราะทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เอื้อประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าของบริษัทและโกดังสินค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีคลองสาขาที่เชื่อมต่อระไปยังพื้นที่ต่าง ๆ คลองสำคัญ ในย่านคลองสาน เช่น คลองตลาดบ้านสมเด็จ เดิมเป็นคลองขนาดใหญ่ที่เข้ามาถึงวัดพิชัยญาติได้ โดยเรือต่าง ๆ สามารถเข้ามาได้โดยสะดวก สมัยก่อนมีด่านเก็บภาษีอากรอยู่ที่ปากคลองแห่งนี้ด้วย และยังเคยมี สะพานหัน ที่มีลักษณะอย่างสะพานหันที่ปากคลองโอ่งอ่าง ฝั่งพระนคร
เช่นเดียวกับที่มาของชื่อตรอกสะพานยาว เพราะสมัยก่อนบริเวณนั้นยังเป็นเรือกสวนเก่า เวลาเดินจะต้องผ่านร่องสวนของบ้านต่าง ๆ และบริเวณนี้เคยมีลำคลองอยู่ด้วย จึงมีการสร้างสะพานไม้เป็นทางเดินของคนในชุมชน เริ่มตั้งแต่ที่กิ่งอำเภอคลองสาน ตรงวัดทองล่างหรือวัดทองนพคุณ ทำเชื่อมต่อไปถึงแถววัดกัลยาณมิตร
จากความสำคัญของแม่น้ำลำคลองที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักในอดีต คนรุ่นก่อนจึงมักได้ยินคำโบราณที่บอกว่า “ลูกรักให้ที่ใกล้น้ำ ลูกชังให้ที่ปลายน้ำ” เพราะที่ดินใกล้น้ำย่อมสร้างประโยชน์และมูลค่าได้มากกว่าที่ที่อยู่ลึกเข้าไปไกลจากแม่น้ำลำคลอง
อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองย่อมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าการพัฒนานั้นอาจจะไม่สอดรับกับสภาพสังคมวิถีชีวิตที่มีมาแต่เดิม ย่านคลองสานก็เช่นเดียวกันที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของบ้านเมืองและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการคมนาคมทางบกที่เข้ามามีบทบาททดแทนแม่น้ำลำคลอง ทำให้กิจการห้างร้านต่าง ๆ ที่เคยอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าต่างพากันซบเซาไป ขณะที่ถนนตรอกซอยต่าง ๆ ที่เข้ามาถึงคลองสานก็ขาดการวางผังเมืองที่ดี ทำให้พื้นที่ริมน้ำจำนวนไม่น้อยกลายเป็นพื้นที่ปิดที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้จนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้เต็มศักยภาพ
การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกในย่านคลองสานเริ่มมาก่อนยุคการเกิดถนนหนทางคือ การสร้างสถานีรถไฟปากคลองสาน ในอดีตนั้นใช้เป็นสถานีต้นทางรถไฟสายแม่กลอง เริ่มเปิดทำการในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ต่อมาทางรถไฟช่วงปากคลองสานถึงวงเวียนใหญ่ถูกยกเลิกไปเมื่อปี ๒๕๐๔ ในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนปัจจุบันไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีกแล้ว การเข้ามาของรถไฟนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางไปยังตลาดแม่กลองและใช้ลำเลียงสินค้า เช่น ปลา ของทะเล เป็นต้น นอกจากนี้คุณชุณห์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าเดิมสองข้างทางรถไฟเป็นสวนผลไม้นานาชนิด
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ การตัดถนนประชาธิปก หลังจากการสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์หรือสะพานพุทธ ที่เริ่มต้นจากวงเวียนใหญ่ผ่านสี่แยกบ้านแขกตัดกับถนนอิสรภาพ ข้ามคลองสมเด็จเจ้าพระยา ผ่านวงเวียนเล็ก ตัดกับถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่และถนนสมเด็จเจ้าพระยาในพื้นที่คลองสาน ทำให้การพัฒนาต่าง ๆ หันหน้าออกสู่ถนน ขณะที่คลองสายเล็กสายน้อยต่าง ๆ จำนวนมากถูกถมไป ส่วนที่เหลืออยู่ไม่ได้มีการดูแลรักษาที่ดี แม้กระทั่งคลองสมเด็จเจ้าพระยาที่เป็นคลองสำคัญก็อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม เช่นเดียวกับการป้องกันน้ำท่วมโดยการสร้างเขื่อน ทำนบ ประตูน้ำ เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมของเรือสินค้าต่าง ๆ ทำให้โรงงานริมน้ำหลายแห่งที่เคยอาศัยประโยชน์จากเส้นทางน้ำได้รับผลกระทบตามกันไป เช่น โรงเกลือต่าง ๆ ที่กิจการซบเซาลง เพราะเรือเกลือไม่สามารถวิ่งไปมาได้ เส้นทางที่เคยใช้ถูกตัดขาดทั้งหมด และไม่มีถนนขนาดใหญ่เพียงพอที่จะนำรถบรรทุกเข้าไปถึงยังโรงงานที่อยู่บริเวณพื้นที่ริมน้ำได้ เช่นเดียวกับโรงงานหนังที่ต้องย้ายออกไปด้วยข้อกำหนดเรื่องสุขลักษณะของชุมชน แต่ปัจจุบันที่โกดังเซ่งกี่ยังมีผู้เช่าเพื่อใช้เก็บเครื่องเทศ สมุนไพร และของป่า เช่น หนังวัวควาย รังนก ฯลฯ
อนาคต ‘คลองสาน’
“การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเราโดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่ จะสามารถกำกับความเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชนได้อย่างไร?”
รศ. ดร. นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ได้กล่าวถึงโจทย์จากการพัฒนาที่คนในย่านต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ เนื่องด้วยฝั่งธนบุรีนั้นเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมากในการพัฒนา เช่นเดียวกับในย่านกะดีจีนและคลองสานที่เป็นย่านเก่าแก่ริมแม่น้ำด้วย อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างเรื่องการถือครองที่ดินในย่านกะดีจีนและคลองสาน คือย่านกะดีจีนนั้น ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของศาสนสถานซึ่งเป็นเครื่องช่วยการันตีได้ในส่วนหนึ่งว่าจะไม่มีการพัฒนาที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับทางฝั่งคลองสานที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของเอกชน
จากการทำงานด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูย่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อาจารย์นิรมลได้ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของย่านเก่าจะสมบูรณ์ได้ถ้ามีหลักฐานทางกายภาพมาช่วยยืนยัน เหตุนี้จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานต่าง ๆ เพื่อให้ภาพความทรงจำทางประวัติศาสตร์มีความชัดเจนขึ้น
แต่เรื่องการอนุรักษ์ให้คงอยู่นั้นเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ทำลายมรดกวัฒนธรรมดั้งเดิม ตัวอย่างที่ดีเรื่องการวางผังเมืองที่ผสมผสานระหว่างการดำเนินชีวิต วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่ดีมากคือในพื้นที่ย่านเก่า เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถออกแบบผังเมืองและปรับทัศนียภาพได้อย่างกลมกลืน ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพลังในจิตใจคนและสำนึกหวงแหนถิ่นที่อยู่
กรุงเทพมหานครมอบหมายให้ศูนย์ออกแบบพัฒนาเมือง (UddC) ทำการศึกษาวิจัยเพื่อวางแผนการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นที่การมีส่วนร่วมของคนในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง ดังนี้
๑. ผังเมืองรวม เป็นผังที่ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะที่มองเป็นภาพใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่เรื่องความหนาแน่นของการใช้ประโยชน์ที่ดิน การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ เช่น โรงงาน โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นการมุ่งไปที่เศรษฐกิจ สวัสดิภาพและสาธารณสุขของผู้อยู่อาศัยมากกว่าการให้คุณค่าด้านการอนุรักษ์
๒. ข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นสิ่งที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถทำได้เลย ซึ่งสามารถครอบคลุมไปถึงเรื่องการอนุรักษ์ การสร้างออกแบบอาคารและทัศนียภาพภายในพื้นที่
๓. การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร ดังเช่นที่ย่านคลองสานมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้วอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น วัด ป้อมป้องปัจจามิตร ฯลฯ ซึ่งต่อไปจำเป็นที่จะต้องออกข้อบัญญัติท้องถิ่นขึ้นมารองรับเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน

สภาพคลองสมเด็จเจ้าพระยาในอดีต
สำหรับกระบวนการศึกษาวางแผนเพื่อออกข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยทางศูนย์ออกแบบพัฒนาเมืองมีทั้งในระดับกว้างคือกรุงเทพมหานคร และระดับเขตที่เป็นพื้นที่นำร่องคือย่านกะดีจีนและคลองสาน ที่ผ่านมาได้มีการทำ Workshop ร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ เพื่อนำข้อคิดเห็นมานำเสนอในโครงการ มุ่งเน้นไปที่การมองภาพยาวถึงอนาคตของย่านโดยเชิญตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิเช่น ผู้นำทางศาสนา, ครูอาจารย์, ข้าราชการจากสำนักงานเขตและหน่วยงานราชการในพื้นที่ ตัวแทนชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมและภาคเอกชนและนักพัฒนาที่ดินที่กำลังมีบทบาทอย่างสูงต่อย่านในปัจจุบัน
ผลจากการพูดคุยร่วมกันพบว่าภาคส่วนต่าง ๆ เห็นตรงกันว่ามรดกวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต้องรักษาไว้ แต่ขณะเดียวกันอนาคตของคลองสานจะพลิกโฉมหน้าเปลี่ยนไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ทั้งการอพยพเข้ามาของประชากร การพัฒนาการขนส่งมวลชนระบบรางที่กำลังเข้ามาสู่ย่านคลองสาน นำมาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คนในรุ่นปัจจุบันต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือการตั้งกฎกติการ่วมกันเพื่อกำหนดการพัฒนาของย่านให้เป็นไปในทิศทางที่ไม่ใช่การทำลายอัตลักษณ์ของตนเอง โดยนำภาพความรุ่งเรืองในอดีตมาใช้เป็นบทเรียนและเพื่อสร้างพลังร่วมกันให้คนในท้องถิ่น
อภิญญา นนท์นาท
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments