เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2537
ทุกวันนี้คนทั่วไปในสังคมดูเหมือนรับรู้กันแต่เพียงว่ากรุงศรีอยุธยาคือราชธานีของชนชาติไทยที่สืบเนื่องมาจากกรุงศรีอยุธยามีอายุยาวนานถึง ๔๑๗ ปี ก่อนที่จะถูกเผาผลาญจนเป็นกรุงเก่าไปเพราะน้ำมือพม่าข้าศึก แล้วจึงมีกรุงธนบุรีกับกรุงเทพมหานครขึ้นมาแทนจนกระทั่งปัจจุบันสิ่งที่เหลือให้เห็นอยู่เป็นรูปธรรมก็คือ เกาะเมืองที่มีแม่น้ำล้อม มีซากหักพังของโบราณสถานที่เป็นวัดวาอารามและปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนล่อตาล่อใจให้นักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ ทั้งภายและนอกประเทศไปชมกัน

แต่โดยความเป็นจริง กรุงศรีอยุธยามีความหมายต่อคนในสังคมไทยมากมายกว่านี้ ถ้ามองให้กว้างออกไปก็นับได้ว่าเป็นมรดกทางอารยธรรมแห่งหนึ่งของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความในการการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่แพ้คนในภูมิภาคอื่นของโลก
ภาพของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาที่ชาวตะวันตกในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เขียนแสดงไว้อย่างเด่นชัดนั้น ถึงแม้ว่าไม่ถูกต้องในทางสัดส่วนของความเป็นจริงทั้งหมดก็ตาม ก็เป็นการบันทึกภาพที่ระคนไปด้วยภาพพจน์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงและความชื่นชมในภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อมและความงดงามของพระนครที่เต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลองปราสาทราชวัง และวัดวาอารามที่มีสีสันจนเรียกได้ว่าเป็นนครเวนิสตะวันออก
คงไม่มีนครร่วมสมัยใดที่ตั้งอยู่ในที่ชุมทางของแม่น้ำและมีลำคลองตัดผ่านกันมาอย่างมีระเบียบเรียบร้อยเช่นพระนครศรีอยุธยาในภูมิภาคนี้ของโลก
ในด้านการศึกษาทางประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยาคือนครประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่ายิ่งของคนในประเทศชาติ เพราะบรรดาสถานที่ต่างๆ ของบ้านเมือง เช่น ถนนหนทาง คูคลอง วัดวาอาราม และปราสาทราชวังทั้งหลายแหล่ที่ยังมีร่องรอยเหลืออยู่เหล่านั้น หาได้เป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือนไปจนสอบค้นหาความหมายและความเป็นมาไม่ได้ หากมีเอกสารโบราณทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ถ่ายทอดกันสืบมาช้านาน เล่าไว้ กล่าวไว้ และบันทึกไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ ทำให้ไม่ยากแก่การสร้างจินตนาการและการสร้างภาพพจน์ที่มีชีวิตชีวาอันใกล้เคียงกับความเป็นจริงในอดีตจากบรรดาซากหักพังของสถานที่ต่างๆ ของบ้านเมืองได้
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พระนครศรีอยุธยาก็คือนครที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของผู้คนที่อยู่ในดินแดนภาคกลางของประเทศไทยมาช้านาน นับแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมา ซึ่งเป็นการพัฒนาจากการเกิดของบ้านเล็กเมืองน้อยที่อยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำขึ้นเป็นรัฐอิสระที่มีการนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกับบรรดารัฐอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกันแล้วต่อมาก็มีภาษาเดียวกัน จนถึงการรวมตัวเป็นรัฐใหญ่ที่เรียกว่าอาณาจักร
กรุงศรีอยุธยาคือราชอาณาจักรแห่งแรกของประเทศสยามหรือที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน และพระนครศรีอยุธยาก็คือราชธานีแห่งแรกของประเทศนี้ที่แท้จริง ก่อนที่จะมีกรุงธนบุรีและกรุงเทพมหานครต่อมาตามลำดับ
ความสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษเฉพาะตัวเองอีกอย่างหนึ่งของพระนครศรีอยุธยาก็คือ เป็นนครในระดับนานาชาติที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ในดินแดนประเทศไทย เห็นจะมีเปรียบเทียบได้ก็มีแต่กรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว

ตลอดช่วงเวลา ๔๑๗ ปีที่ดำรงอยู่นั้น พระนครศรีอยุธยามีพัฒนาการทางฝังเมือง ขนาดของเมืองและขอบเขตของเมืองจนเป็นศูนย์กลางของสังคมเมือง [Urban center] ที่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับนครใหญ่ๆ ในโลกที่ร่วมสมัยเดียวกัน นั่นก็คือนอกจากการเป็นเมืองที่มีแม่น้ำธรรมชาติล้อมรอบเป็นคูเมือง มีกำแพงและป้อมปราการก่ออิฐถือปูนที่มั่นคงแข็งแรกและมีถนนคูคลองที่ตัดเป็นตาตะแกรงเพื่อการคมนาคม การระบายน้ำ และความมีระเบียบแบบแผนนอย่างสวยงามแล้ว ยังมีการแบ่งผังบริเวณของพระนครออกเป็นย่านหรือบริเวณต่างๆ กัน ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของบ้านเมืองอย่างชัดเจน
นับแต่บริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังอันเป็นที่ประทับและเป็นที่บริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ วัดวาอาราม ทั้งที่เป็นวัดหลวงและวัดราษฎร์ ย่านตลาดร้านค้า ย่านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ไปจนถึงย่านที่อยู่อาศัย และสถานที่พักสินค้า ห้างโกดังเก็บสนค้าของชาวต่างประเทศหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย
ความเป็นชุมชนในระดับนครของกรุงศรีอยุธยานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในบริเวณเกาะเมืองที่มีกำแพงป้อมปราการและแม่น้ำล้อมรอบเท่านั้น แต่มีรัศมีแผ่กว้าง ครอบคลุมบริเวณรอบๆ เมืองที่อยู่ภายนอกในรัศมี ๓–๔ กิโลกเมตร โดยอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นเครือข่ายโยงโยบริเวณตัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางเข้ากับบรรดาย่านอุตสาหกรรม หัตถกรรม ย่านตลาด ย่านที่พักอาศัย และเก็บสินค้าของบรรดาพ่อค้านานาชาติที่เข้ามาในพระนคร

ดังเช่นบริเวณตอนใต้ของพระนคร เป็นบริเวณที่มีแม่น้ำเจ้าพระยากว้างใหญ่ อันเนื่องมาจากการรวมกับแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรีไหลลงไปทางใต้ เป็นบริเวณที่บรรดาเรือสินค้าและเรือเดินทะเลของนานาชาติมาจอดทอดสมอ มีบรรดาชุมชนและที่พักสินค้าของชาวต่างชาติที่เป็นชาวตะวันตกเรียงรายไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำ
ต่างกันกับบริเวณตอนเหนือแถวย่านตลองสระบัว ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและย่านที่อยู่อาศัยของคนไทย คนลาว และอื่นๆ ที่เป็นพวกชาวนาและพวกช่างฝีมือต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและวัดวาอารามตามริมแม่น้ำลำคลองเหล่านั้นทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้น ความสำคัญที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาก็คือ ในช่วงเวลา ๔๑๗ ปี ที่พระนครมีตัวตนอยู่ได้ทิ้งร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงแลการสืบทอดกันมาหลายสมัย พร้อมๆ กันกับการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนในกรุงศรีอยุธยา ที่รับเอาอารยธรรมและวัฒนธรรมอื่นจากภายนอกเข้ามาผสมผสานปรุงแต่งให้เกิดประโยชน์และความก้าวหน้าแก่บ้านเมือง
อาจกล่าวได้ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นคือพื้นฐานหรือรากเหง้าของกรุงเทพมหานครในสมัยต่อมา ถึงกับผู้รู้บางท่านมักกล่าวบ่อยๆ ว่า ถ้าไม่มีกรุงศรีอยุธยาแล้ว กรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพมหานครในทุกวันนี้คงไม่มีวันเกิดแน่
พระนครศรีอยุธยาคือนครที่เป็นอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน คือนับแต่การเป็นราชธานีที่เป็นศูนย์กลางการปกครอง เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ มาเป็นเมืองที่ค้าขายติดต่อกับนานาชาติ ศูนย์กลางของการคมนาคมภายในกับบรรดาบ้านเมืองที่อยู่บริเวณเหนือน้ำขึ้นไป และในที่สุดก็เป็นศูนย์กลางแห่งศิลปวัฒนธรรมที่แผ่อิทธิพลไปยังบ้านเล็กเมืองน้อยอื่นๆ ทั่วประเทศ
บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๗)
Comments