เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ค. 2551

ข้าพเจ้าเพิ่งไปภูฏานร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับความหมายของ ความสุขมวลรวมประชาชาติ-GNH [Gross National Happiness] อันเป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ของภูฏานทรงสร้างให้เป็นอุดมคติของประเทศชาติในลักษณะเดียวกันกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ก่อนได้ไปได้เห็นอันเนื่องมาจากได้ยินและได้อ่านนั้น ยังคิดอะไรไม่ออก แต่หลังจากได้ไปได้เห็นอย่างมีประสบการณ์ แม้ว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง ๑๐ วันก็พอเข้าใจ ความสุขประชาชาตินั้นคือ วาทะกรรมตอบโต้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ-GNP [Gross National Product] ที่ความแตกต่างกันอยู่ที่ฝ่ายแรกให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางวัฒนธรรม แต่ฝ่ายหลังเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
หัวใจการพัฒนาทางเศรษฐกิจของคนไทยอยู่ที่ “เงิน” ดังในคำขวัญของประเทศครั้งแรกการพัฒนาในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นป้ายและโฆษณาในทีวีว่า “เงินคืองาน บันดาลสุข” ความสุขของคนไทยยุคพัฒนาจึงอยู่ที่เงินที่จะได้มาด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการผลิตด้านอุตสาหกรรม การตลาด การบริการที่จะบันดาลให้เกิดบ้านเมืองแบบใหม่ที่ทันสมัยแบบตะวันตกและคนไทยแบบตะวันตกขึ้นมา
ในยุคพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐให้ความหวังกับการผลิตนักวิชาการ ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์เป็นอันดับแรก อย่างเช่นการให้ทุนกับนักศึกษาและข้าราชการไปเรียนต่อ ก็มักให้กับวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นอันดับแรก นักเศรษฐศาสตร์คือนักรบผู้ยิ่งใหญ่ มีขุนพลทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมายทั้งในสถาบันวิชาการ การปกครอง และการบริหารประเทศ รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจอีกมากเป็นลำดับมาจนทุกวันนี้
จากการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ [Gross National Product] ที่จะก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติอย่างเป็นเงินอันเป็นความสุขตลอดเวลากว่า ๔๐ ปี ได้ทำให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรม จากสังคมชาวนา [Peasant society] มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมในลักษณะก้าวกระโดด จนไม่อาจจัดระเบียบและรูปแบบทางสังคมได้
เพราะระบบเศรษฐกิจที่ใช้ในการพัฒนานั้นลอกเลียนมาจากทางตะวันตกทั้งดุ้นเลยก็ว่าได้ เป็นเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เน้นความสำเร็จของปัจเจกบุคคลและพรรคพวก โดยอาศัยการตลาดและระบบเงินตราเป็นกลไกที่สำคัญ คนหรือมนุษย์กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่มุ่งการผลิตให้ได้ผลมากตลอดเวลา มีการแข่งขันกันตลอดเวลา ทั้งคนเองก็ถูกสอนไม่ให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ต้องหาทางเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา
จึงเพิ่งมาถึงปัจจุบันนี้ ถ้าหากจะมีคำถามว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือรายได้ประชาชาตินั้น เป็นจริงแค่ไหนละก็ใคร่ตอบว่าแลไม่เห็นเลย นอกจากการมีรายได้ที่ไม่ทัดเทียมกันของผู้คนในสังคม คือมีคนจน คนขัดสน คนด้อยโอกาสมากมาย ในขณะที่คนรวยมีไม่มากแต่กลับรวยกันอย่างมหาศาล รวยเฉพาะตัวเองและพรรคพวกแล้วยังไม่พอ พากันไปชักชวนนักธุรกิจข้ามชาติให้มาลงทุน จนพากันร่ำรวยไปหมด
สังคมอุตสาหกรรมของคนไทยทุกวันนี้เป็นสังคมที่มีคนเพิ่มจำนวนขึ้นมาก เป็นการเพิ่มจากการเคลื่อนย้ายของคนจากข้างนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานทั้งในระดับชนชั้นสูงและชั้นล่าง มีการโยกย้ายกระจายตัวไปอยู่ตามแหล่งอุตสาหกรรม ต่าง ๆ อย่างไม่มีระเบียบทำให้ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ หรือชุมชนหนึ่ง ๆ เป็นที่อยู่ร่วมกันของผู้คนที่ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ผู้คนไม่อยู่ติดที่อย่างเป็นหมู่เหล่ากันแบบแต่ก่อน มีการเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งทำให้ในทุกวันนี้เกิดการขาดแคลนพลังงานอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะน้ำมันที่มีราคาแพงกันทั้งโลก คนไทยทั่วไปในสังคมอุตสาหกรรมที่มีชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานอย่างไม่มีถิ่นไม่มีฐาน จนต้องสิ้นเปลืองคำใช้จ่ายในเรื่องน้ำมัน เพื่อการขนส่งและคมนาคม กลายเป็นอมทุกข์มากกว่าอมสุขไป
ซึ่งถ้ามองในภาพรวมขณะนี้ก็คือ สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความทุกข์มวลรวมประชาชาติ [Gross National Suffering] นั่นเอง
ในทำนองตรงข้าม การขับเคลื่อนการพัฒนาของบ้านเมืองให้เกิดความสุขของประชาชาติของคนภูฎานนั้น ภูฎานไม่ใช้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเพื่อปรับประเทศเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมในกระแสโลกาภิวัตน์ แต่ใช้ การพัฒนาทางวัฒนธรรม [Culture] เป็นหลัก
คำว่า วัฒนธรรม ในที่นี้ไม่ใช่ศิลปวัฒนธรรม อย่างที่เข้าใจและรับรู้กันในสังคมไทย อันเป็นวัฒนธรรมที่ไม่แลเห็น คน หากเป็นสังคมและวัฒนธรรมที่หมายถึง ชีวิตวัฒนธรรมของกลุ่มชนทางสังคม ซึ่งอาจจะเรียกว่าวิถีชีวิตก็ได้ เป็นวิถีชีวิตของกลุ่มชนที่อยู่รวมกันในพื้นที่ใดที่หนึ่งในเวลาใดเวลาหนึ่ง
สังคมภูฎานแต่เดิมมาจนปัจจุบันมีพื้นฐานเป็นสังคมชาวนา [Peasant society] ที่ผู้คนอยู่กันเป็นกลุ่มเหล่า [Local community] ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในลักษณะที่มีถิ่นฐานบ้านช่อง รู้จักกันว่าใครเป็นใคร ต่างกับคนในสังคมอุตสาหกรรมที่ผู้คนแห่กันมาตั้งบ้านเรือนกันอย่างไม่รู้จักกัน ไม่มีหัวนอนปลายตีน
หัวใจของการพัฒนาความสุขประชาชาติของภูฏาน ซึ่งอยู่ตรงสังคมท้องถิ่นนี้ คือพยายามให้คนในท้องถิ่นอยู่ติดที่ไม่เคลื่อนย้าย โดยให้การศึกษาตั้งแต่ขั้นประถมไปถึงขั้นอุดมศึกษาและการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้กับคนท้องถิ่นรุ่นใหม่ ๆ ได้อยู่และมีงานทำในท้องถิ่นของคน โดยไม่ต้องร่อนเร่ไปหาที่อยู่หรือไปทำมาหากินในที่อื่น ๆ อีกทั้งไม่มีแผนและนโยบายที่จะสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐาน [Infra structure] เช่นถนนหนทาง เขื่อนพลังงานไฟฟ้า แหล่งอุตสาหกรรมและการขยายเขตเมืองเข้าไปรุกพื้นที่ธรรมชาติและชนบทในการเร่งรัฐพัฒนา โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับพลังงานที่ทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติอย่างเช่นของไทย แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่ภูฏานข้าพเจ้าแลเห็นการเติบโตของเมือง [Urban area and urbanization] มักอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ บางแห่งเท่านั้น โดยเฉพาะที่เมืองทิมปูอันเป็นเมืองหลวง แต่ก็ดูไม่เร่งรีบในการลงทุนจากภายนอก รวมทั้งการตลาด การบริการให้ทันสมัยอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด สิ่งที่โดดเด่นทางเศรษฐกิจอันน่าจะทำรายได้ให้กับภูฏานมากที่สุดก็คือ การท่องเที่ยว เพราะภูฏานเป็นประเทศหนึ่งในโลกหิมาลัยที่มีภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมสวยงาม ผู้คนไม่หนาแน่นและมีชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบประเพณีที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ซึ่งภูฏานเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่แสดงอาการอันใดที่จะมีการพัฒนาให้เกิดรายได้อย่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างประเทศไทยซึ่งดูเหมือนจะพัฒนามากในสิ่งที่ว่าจำเป็นแก่การคมนาคมเป็นสำคัญ
เหตุนี้เมื่อไปถึงภูฏานจึงได้เห็นถนนหนทางที่ดี มั่นคงและปลอดภัยทั้งในเขตเมืองชนบทและการติดต่อระหว่างบ้านเมืองในหุบเขาต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ทิวทัศน์ระหว่างหุบเขาบนเส้นทางขึ้นเขาผ่านเหวและลงห้วยแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามยิ่ง แต่ภูฏานได้ไม่รับนักท่องเที่ยวจนเกินขอบเขตในการควบคุม ไม่พัฒนาโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอื่น ๆ ให้ทันสมัย อีกทั้งสร้างกติกาต่าง ๆ ในการเข้าประเทศเพื่อป้องกันการเข้ามาของนักท่องเที่ยวแบบปลดปล่อยตัวเองและล้างผลาญวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นอย่างที่เป็นอยู่ในเมืองไทยขณะนี้
ภูฎานใช้สังคมชาวนาเป็นพื้นฐานในการพัฒนา โดยตรึงคนในชนบทไม่ให้เคลื่อนย้ายและหลั่งไหลเข้าเมือง จึงสามารถสร้างดุลยภาพระหว่างของเก่าและของใหม่ในกระแสการพัฒนาได้ คือคนในไม่ออกไปมากและคนนอกไม่เข้ามามาก แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องถูกท้องถิ่นบูรณาการให้เป็นคนท้องถิ่นไป ท้องถิ่นจึงเป็นชุมชนทางจินตนาการอันดับแรกที่ทำให้คนเก่าและใหม่อยู่ด้วยกันได้ในกติกาท้องถิ่น เมื่อท้องถิ่นมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมความขัดแย้งก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน เมื่อไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่โดยมนุษย์ข้ามชาติ แต่มีโรงงานขนาดเล็กในระดับครอบครัวและชุมชน [Cottage industry] ก็ไม่ต้องทำเขื่อนพลังงานไฟฟ้าที่ดีแต่สร้างความพินาศให้กับสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนในท้องถิ่น ไม่มีผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่ทับถมในท้องถิ่นอย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน บ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียมที่เป็นคอกสัตว์ รังสัตว์ก็ไม่เกิด การคมนาคมภายในท้องถิ่นและบริเวณที่เกี่ยวข้องก็อยู่ในขอบเขตที่ไม่ต้องใช้รถยนต์และน้ำมันที่กำลังมีราคาแพงเท่าใด เพราะบรรดาสถานที่ทำงาน โรงเรียน และอื่น ๆ ล้วนอยู่ไม่ห่างไกลกัน อีกทั้งไม่จำเป็นต้องมีย่านตลาดใหญ่โต มีซูเปอร์มาเก็ตและศูนย์การค้าที่ ชอปปิ้งกันด้วยเครื่องกลเครื่องไฟฟ้าแต่อย่างใด สภาพเช่นนี้ยังแลเห็นได้ในสังคมท้องถิ่นของภูฏาน
แต่สิ่งที่ยังดำรงอยู่อย่างหนักแน่นและเปลี่ยนแปลงน้อยมากก็คือ เรื่องความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องความเชื่อทางศาสนาที่ครั้งหนึ่งในสังคมชาวนาของคนไทยเคยมี แต่บัดนี้กลายเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ไปหมดแล้ว
คนภูฏานนับถือทั้งผีและพุทธมหายาน ทั้งสองศาสนาอยู่ด้วยกันได้ พุทธเป็นสิ่งสูงสุดเพื่อชีวิตในโลกหน้า ผู้คนปรารถนาความสุขในโลกหน้าก็ต้องทำดีอยู่ในศีลอยู่ในธรรม ในขณะที่ผีคือกลไกที่ควบคุมชีวิตความเป็นอยู่ของคนในโลกนี้ที่มีทั้งให้คุณและให้โทษ เป็นสิ่งที่ทำให้คนท้องถิ่นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางสังคมอย่างมีจารีตประเพณี ผีมีอยู่แทบทุกแห่งในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ไม่ว่าบ่อน้ำ หนองน้ำ โขดหิน ภูผา ล้วนมีผีดูแล โดยเฉพาะผีนาคที่ดูแล้วคล้าย ๆ กันกับความเชื่อเรื่องนาคในลุ่มน้ำโขงของไทยและลาว
แต่ทั้งศาลผีหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผีก็ดูไม่โดดเด่นเท่ากับสิ่งที่เป็นศาสนสถานของพุทธ เช่น วิหาร สถูป มณฑปน้ำ กำแพงสวด และถุงมนต์ ศาสนสถานเหล่านี้เป็นที่ผู้คนที่ผ่านไปมาในชีวิตประจำวันสามารถประกอบพิธีกรรมได้ทุกเมื่อด้วยการสวดมนตรา “โอม มณี ปัทเม หุม” อันเป็นคาถาเพื่อสร้างความเบิกบานให้แก่จิตใจ คนภูฏานสวดมนตรานี้ได้ทุกขณะเมื่อมีเวลาว่างเพื่อหยุดความต้องการทางกิเลส คล้าย ๆ กันกับคนมุสลิมที่ต้องทำละหมาดวันละ ๕ ครั้งฉะนั้น
จากการที่ได้ไปเห็นไปสัมผัส แม้ว่าจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยไม่ถึง ๑๐ วันก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความสุขประเทศของคนภูฏานนั้นสถิตอยู่ในมิติทางจิตวิญญาณนี้เอง ข้าพเจ้าได้พบเห็นว่าคนภูฏานไม่มีจิตใจที่คดโกง หลอกลวงเมื่อเวลาติดต่อซื้อขายสิ่งของและการบริการ รวมทั้งไม่มีขโมยขโจรให้แลเห็น ผิดกับคนในสังคมปากว่าเป็นคนพุทธของคนไทยในสมัยโลกาภิวัตน์ทุกวันนี้
จึงใคร่สรุปเปรียบเทียบการพัฒนาสังคมของไทยกับภูฏานอย่างสั้น ๆ ในที่นี้ว่า
ความสุขของคนไทยอยู่ที่เงิน ที่แสดงออกจากวัตถุนิยมและบริโภคนิยม เป็นความทันสมัยทันโลกที่กำลังเดินทางส่งความทุกข์ ความวิบัตินานาประการ ในขณะที่คนภูฏานให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัฒนธรรมจากพื้นฐานสังคมชาวนานั้น เป็นสังคมที่มีความสุขแต่เป็นความสุขในมิติทางจิตวิญญาณของสังคมชาวนาที่ไม่เลอเลิศแต่ฉิบหายเท่ากับสังคมอุตสาหกรรมแบบทันโลกของคนไทย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments