เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2552

หนังใหญ่แฝงไว้ด้วยความเชื่อ เห็นได้จากก่อนทำการแสดงทุกครั้งจะต้องมีการไหว้ครูหนังใหญ่ก่อน

ปัจจุบันหนังใหญ่วัดขนอนจะจัดแสดงเพื่อการเผยแพร่และอนุรักษ์ให้หนังใหญ่สืบทอดต่อไป
ในการทำความเข้าใจวัฒนธรรม ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่หยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว แต่เอาเข้าจริง วัฒนธรรมกลับมีท่วงทำนองที่ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ เหมือนเช่นหนังใหญ่ที่มีความหมายแตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย
หนังใหญ่นั้นสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ “หนังใหญ่หลวง” และ “หนังใหญ่ราษฎร์” หนังใหญ่หลวง หมายถึง หนังใหญ่ที่จัดแสดงในพระราชพิธีหรือในงานที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ ส่วนหนังใหญ่ราษฎร์เป็นการแสดงของชาวบ้านที่นำความเป็นของหลวงมาปรับให้เข้ากับสังคมชาวบ้าน จะต่างกันตรงที่หนังใหญ่แบบชาวบ้านการดำเนินเรื่องรวดเร็ว ผู้แต่งบทพากย์จะใช้ถ้อยคำให้เป็นที่เข้าใจกับคนในท้องถิ่น
แต่เดิมหนังใหญ่เป็นการแสดงของราชสำนัก เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หนังใหญ่จึงมักเล่นเพียงเรื่องรามเกียรติ์ แม้ต่อมาในภายหลังจะมีผู้แต่งเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์และอนิรุทธ์คำฉันท์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม
ขั้นตอนในการทำตัวหนังใหญ่สัมพันธ์กับระบบความเชื่อ เริ่มตั้งแต่การทำตัวหนังจนถึงการแสดง กล่าวคือ หนังพระอิศวรและพระนารายณ์จะต้องทำจากหนังวัวที่ถูกฟ้าผ่าตายหรือออกลูกตาย ส่วนตัวฤษีนั้นจะต้องหาหนังที่มีอำนาจ เช่น หนังเสือ หนังหมี ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้เขียนและผู้สลักตัวหนังจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและถือศีล พร้อมทั้งจัดเตรียมสิ่งของคำนับบูชาครูด้วยเครื่องพลีกรรม การทำหนังเจ้าต้องให้เสร็จภายในวันเดียว
หากเราย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ ๑ หนังใหญ่จะแสดงในโอกาสต่างๆ ทั้งให้เจ้าวังหรือเจ้าของบ้านดูเป็นการเฉพาะ สมโภชในวังหรือนอกวัง และจัดแสดงตามงานที่มีเจ้าภาพว่าจ้าง เช่น งานโกนจุก งานศพ เป็นต้น สำหรับหนังใหญ่แล้วคงเป็นที่แพร่หลายและได้รับความนิยมมากจนเกิดการตั้งคณะหนังของเอกชนขึ้นในเวลาต่อมา
ระบบอุปถัมภ์คณะหนังใหญ่...จากเวียงวังสู่วัดวา
การแสดงหนังใหญ่เดิมเป็นการแสดงแบบหลวงและอยู่ในอุปการะของผู้มีฐานะและบารมี อย่างเช่น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ทรงเป็นเจ้าของโขน หุ่น ละคร งิ้ว มโหรี ปี่พาทย์ ฯลฯ เนื่องจากในการแสดงหนังใหญ่แต่ละครั้งต้องมีองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งทุน แรงงาน เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวหนัง การแกะสลักรูปหนัง พิธีกรรมตามความเชื่อ เช่น การไหว้ครูเชิด การเชิด ไปจนถึงการขนย้าย
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ รัฐได้รวมศูนย์อำนาจการปกครอง โดยการยุบตำแหน่งเจ้าเมืองและแต่งตั้งคนจากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทน จึงส่งผลกระทบกับมหรสพที่เจ้าเมืองเคยอุปถัมภ์ แต่อย่างไรก็ตามมหรสพแบบเดิมก็ยังคงได้รับความนิยมจัดแสดงตามงานประเพณีต่างๆ จึงทำให้เกิดกลุ่มผู้อุปถัมภ์กลุ่มใหม่ คือ วัด หากยิ่งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ที่มีชื่อด้วยแล้ว จะสามารถสร้างขอบข่ายความสัมพันธ์กับคนภายนอกได้มาก ทำให้ได้รับแหล่งทุนจากการบริจาค จัดกฐิน ผ้าป่า และงานประจำปีให้คนต่างถิ่นเข้ามาเที่ยวทำบุญ เพื่อนำไปบริหารงานในวัดและอุปถัมภ์คณะมหรสพต่อไป
เช่นเดียวกับวัดขนอน หลังประกาศเลิกด่านขนอนไป ขุนพินิจอักษรและหมื่นนรากรภักดีรับราชการอยู่ในเมืองราชบุรีได้รู้จักกับครูอั๋งซึ่งเป็นโขนคณะพระแสนทองฟ้า เจ้าเมืองราชบุรีได้พามาฝากตัวกับท่านพระครูศรัทธาสุนทรหรือหลวงปู่กล่อม
หลวงปู่กล่อมเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไปในละแวกชุมชนวัดขนอน จากคำบอกเล่าของศิษย์วัดรุ่นเก่า ทำให้ทราบชื่อเสียงของหลวงปู่กล่อมโด่งดังไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลอง นอกจากนี้ในงานพิธีมงคลใด ๆ ก็มักนิมนต์หลวงปู่กล่อมไปเป็นประธานเสมอ
ด้วยครูอั๋งเห็นหนังวัวที่วัดมีเป็นจำนวนมากและมีความศรัทธาในตัวของหลวงปู่กล่อม ครูอั๋งจึงได้ช่วยหลวงปู่กล่อมทำหนังใหญ่ ต่อมาได้ไปชักชวนช่างจากที่อื่น ๆ มาเพิ่มเติม เช่น ช่างจาด ช่างจ๊ะ เป็นชาวมอญในอำเภอบ้านโป่ง ช่างพ่วง ช่างในจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยชาวบ้านวัดขนอนได้ร่วมกันสร้างหนังใหญ่ขึ้น คือ ชุดหนุมานถวายแหวน และได้สร้างเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น ๑๑ ชุด หลังจากนั้นคณะหนังใหญ่วัดขนอนจึงได้เริ่มออกแสดงตามงานต่าง ๆ เป็นต้นมา
ในอดีตการรับงานแสดงหนังใหญ่ในรูปแบบเก่า มักรับแสดงในงานศพ งานวันเกิด งานวัด งานบุญ และงานเทศกาลประจำปีต่าง ๆ
จากหนังเจ้าสู่หนังชาวบ้าน
หนังใหญ่วัดขนอนโดยเฉพาะบทพากย์เป็นวรรณกรรมแบบชาวบ้าน หนังใหญ่วัดขนอนเป็นหนังใหญ่แบบชาวบ้าน บทพากย์และบทเจรจาเป็นของนายละออ ทองมีสิทธิ์ เป็นผู้ริเริ่มพากย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ และได้รับถ่ายทอดมาจากหมื่นพินิจอักษร (เพิ่ม ทองมีสิทธิ์) ผู้เป็นอา
ผู้แต่งบทพากย์ได้เค้าเรื่องมาจากบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ แต่ได้นำมาดัดแปลงให้เหมาะกับสังคมท้องถิ่นในสมัยนั้น และได้สอดแทรก ค่านิยม จริยธรรมของชาวบ้าน เช่น แสดงถึงธรรมเนียมแบบชาวบ้าน บทพากย์ในการแสดงหนังใหญ่ของวัดขนอนมีการแทรกขนบและวิถีชีวิตเข้าไป เช่น ตอนหนุมานถวายแหวน
“หนุมานสำราญใจยิ้มแย้มกระแอมไอออกวาจา เออไฉนไยแก้วตาจึงสะเทิ้นเขินอายไม่ผินพักตร์มาทักทายพี่บ้างเลย เฝ้าผินหลังนั่งนิ่งเฉยไม่พูดจา”
หรือสำนวนราชาศัพท์แบบชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นคำราชาศัพท์ที่คำบางคำชาวบ้านไม่เข้าใจ เพื่อความเข้าใจง่ายในการแสดงจึงทำให้เกิดสำนวนราชาศัพท์แบบชาวบ้าน เช่น ตอน ศึกอินทรชิตครั้งที่หนึ่ง
“มิให้องค์สมเด็จพี่ร้อนพระทัย สงครามครั้งนี้ไซร้พระองค์อย่าวิตก ยกไว้ให้กับข้าพระเจ้า เจียวละ ระเจ้าข้า”
หลังสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา มหรสพความบันเทิงแบบเดิม เช่น โขน ละคร หุ่น หนังใหญ่ ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเช่นแต่ก่อน เพราะรูปแบบและเนื้อหาการแสดงต้องใช้เวลาฝึกหัดเป็นนานและลงทุนสูงต่างจากวัฒนธรรมความบันเทิงรูปแบบใหม่ เช่น ลิเก ลำตัด ละครร้อง เป็นต้น ที่ใช้เวลาฝึกหัดไม่นานก็สามารถออกแสดงได้
อย่างไรก็ตามงานประเพณีพิธีกรรมยังเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนไทย ย่อมทำให้วัฒนธรรมความบันเทิงที่มีมาแต่ก่อนอย่างหนังใหญ่ยังอยู่ร่วมกับงานประเพณี แต่มีการปรับวิธีการเล่นให้เข้ากับรสนิยมแบบชาวบ้าน คือดำเนินเรื่องกระชับ เน้นความสนุกสนาน และสอดแทรกบทพากย์บางตอนให้เข้ากับยุคสมัย
ด้วยลักษณะความบันเทิงที่มีให้เลือกชมมากขึ้น บวกกับวัฒนธรรมความบันเทิงในการรับชมของผู้คนได้เปลี่ยนไป หนังใหญ่จึงไม่ได้รับความนิยมเหมือนเช่นแต่ก่อน และที่สำคัญในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หนังใหญ่วัดขนอนต้องหยุดการแสดงไป เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่อำนวย
หนังใหญ่วัดขนอนเริ่มฟื้นฟูอีกครั้งประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เมื่อฝ่ายนักวิชาการและสถาบันต่างๆ พยายามบันทึกศึกษาเรื่องหนังใหญ่ให้เป็นภาพยนตร์ หนังสือ หรือแม้แต่การพิมพ์เป็นรูปแจกเยาวชน
ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๓ พระครูสังฆบริบาลและพระนุชิต วชิรวุฑโฒ และคณะ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายภาพหนังใหญ่วัดขนอน ๑ ชุด แล้วถวายรายงานเรื่องการชำรุดของหนังชุดนี้ ในที่สุดสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้จัดทำหนังชุดใหม่ขึ้นไว้แสดงแทนชุดเก่าที่ทรุดโทรมมาก
จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้วัดขนอนนำไปแสดงแทนชุดเก่า และให้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงตัวหนังชุดเก่าที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี
หนังใหญ่ได้รับความนิยมขึ้นใหม่อีกครั้งจากสังคมไทย โดยการสนับสนุนจากกระแสการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของรัฐที่ต้องการให้หนังใหญ่ยังคงอยู่และสืบทอดต่อไป งานส่วนใหญ่ที่รับแสดงในปัจจุบันจึงเป็นงานที่เน้นการส่งเสริมทางวัฒนธรรม ตามหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เป็นผู้ว่าจ้าง บางครั้งเป็นงานเพื่อประชาสัมพันธ์หรือต้อนรับบุคคลสำคัญ
นอกจากนี้หนังใหญ่วัดขนอนยังได้จัดแสดงเพื่อการเผยแพร่และฝึกฝนฝีมือการเชิด หากมีผู้ชมเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะในวันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปี วัดขนอนจะจัดแสดงหนังใหญ่แบบโบราณ คือ การใช้กะลามะพร้าวเผาไฟให้แสงสว่าง
วันนี้บทบาทของหนังใหญ่เปลี่ยนไป จากมหรสพการแสดงในงานพิธีกรรมกลายเป็นมหรสพพื้นบ้านและกลายเป็นมหรสพการแสดงเพื่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม แต่หนังใหญ่กำลังจะลาโรงไปจากความทรงจำของคนไทยโดยสิ้นเชิงหรือไม่ คำตอบคงอยู่ที่เราจะอนุรักษ์หนังใหญ่อยู่ในเพียงพิพิธภัณฑ์หรือจะสร้างให้หนังใหญ่โลดแล่นต่อไปในชีวิตวัฒนธรรมของพวกเรา และเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมที่เคลื่อนไหวและมีชีวิตอย่างไร
ปกรณ์ คงสวัสดิ์
อ้างอิง
ผะอบ โปษะกฤษณะ. “ความเป็นมาของหนังใหญ่วัดขนอน” การศึกษาการถ่ายทอดวัฒนธรรม : กรณีศึกษาหนังใหญ่. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาคณะครุศาสตร์ ครบ ๓๗ ปี เมื่อวันที่ ๘ - ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๗ . คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments