top of page

ความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม กบินทร์บุรี เมืองด่านภาคตะวันออก

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 16 ก.ค. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2557


แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองกบินทร์บุรี ซึ่งอยู่ในที่สบกันของลำน้ำ


บริเวณกบินทร์บุรีได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำเพราะสภาพแวดล้อมเอื้อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และมีเส้นทางเดินทางทั้งทางน้ำและทางบกเชื่อมต่อได้ตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณที่เป็นเส้นทางเดินทัพและติดต่อกับบ้านเมืองในเขตเขมรต่ำและเขมรทะเลสาบตลอดจนทางภาคอีสานที่ผ่านช่องเขาของเทือกเขาพนมดงเร็กเข้าสู่อีสานใต้หรือเข้าสู่ลุ่มน้ำโขง


หลังศึกทางฟากตะวันตกทางฝ่ายพม่าจบสิ้นลงเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๙๓สยามก็มีการศึกกับบ้านเมืองทางฟากตะวันออกคือ ลาวเขมรและญวนกว่า๑๔ปีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดรูปแบบหัวเมืองใหม่ยกชุมชนหน้าด่านหลายแห่งขึ้นเป็นเมืองเช่น“ด่านกบแจะ”ยกเป็น“เมืองประจันตคาม” “ด่านหนุมาณ” ยกเป็น “ เมืองกบินทร์บุรี” ยก “บ้านแร่หิน” เป็น “เมืองอรัญประเทศ” ยก “บ้านเขยก” เป็น “เมืองวัฒนานคร” และยก “บ้านสวาย”

ขึ้นเป็น “เมืองศรีโสภณ” ฯลฯ (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาธิบดี, กรมศิลปากร)


และเมื่อมีการกวาดต้อนครัวลาวจากหัวเมืองหลายแห่งที่เคยขึ้นต่อทั้งเวียงจันทน์และหลวงพระบางก็มีการเทครัวมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่บริเวณเมืองด่านทั้งหลายคือ ประจันตคาม กบินทร์บุรี สระแก้ว วัฒนานคร อรัญประเทศ ตลอดจนไปถึงศรีมหาโพธิที่ต่อเนื่องไปถึงเมืองปราจีนบุรี บ้านสร้าง พนมสารคาม ฉะเชิงเทรา เป็นต้น บ้านเมืองทางหัวเมืองฟากตะวันออกนี้จึงมีความเป็นปึกแผ่นอันเนื่องมาจากจํานวนครัวชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาตั้งบ้านตั้งเมืองใหม่นี่เอง


ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เอง โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลอง “บางขนาก” จากหัวหมากไปถึงเมืองฉะเชิงเทราเป็นเส้นทางลําเลียงเสบียงอาหารและกําลังพลอาวุธต่าง ๆ เพื่อใช้ในการทําศึกทางฟากตะวันออก ต่อมาทั้งสองฝั่งคลองได้มีการเข้าไปบุกเบิกตั้งถิ่นฐานตามเส้นทางดังกล่าว จนกลายเป็นเส้นทางคมนาคมสําคัญระหว่างเมืองฉะเชิงเทราและพระนคร


“ด่านหนุมาณ” น่าจะเป็นชุมชนด่านในระดับหมู่บ้านหรือเมืองขนาดเล็กและน่าจะตั้งอยู่บริเวณใกล้กับศาลเจ้าพ่อหนุมานบริเวณริมแควหนุมานฝั่งตะวันตกบริเวณบ้านเมืองเก่าที่คงมีจํานวนผู้คนไม่มากนัก เพราะในสมัยกรุงศรีอยุธยาผู้คนไพร่พลมีจํานวนน้อยและมักมีเหตุให้มีการเข้ามากวาดต้อนผู้คนจากบ้านใกล้เรือนเคียงเสมอ ดังนั้นยิ่งเมื่อเป็นเมืองด่านผู้คนพลเมืองจึงน้อยตามไปด้วย


เราจึงไม่พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีของการตั้งถิ่นฐานปรากฏอยู่นอกจากความเชื่อที่ยังคงสืบต่อกันมา เช่น การสร้างศาลเจ้าพ่อพระปรง ชุมชนบ้านด่านเมืองด่านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักกับด่านหนุมาณ


ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดําริให้สร้างป้อมเมืองปราจีนบุรี แต่สร้างแล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพราะอยู่ในเส้นทางไปสู่เขมรและญวนซึ่งกําลังตกอยู่ในช่วงยุคแห่งการล่าอาณานิคม ความสําคัญของบ้านเมืองบริเวณนี้ที่ถือว่าอยู่ในเขตชายแดนจึงมีความสําคัญทั้งในการเริ่มสร้างขอบเขตดินแดนตามแผนที่อย่างสากลและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ฝรั่งเศสอ้างสิทธิ์ในการปกครองกัมพูชาในสมัยพระเจ้านโรดมแทนไทย โดยอ้างว่าฝรั่งเศสมีอํานาจปกครองญวนก็ต้องมีอํานาจปกครองกัมพูชาด้วยเพราะญวนมีอํานาจปกครองกัมพูชา


หัวเมืองที่เคยถูกปกครองโดยตระกูลพระยาอภัยวงศ์ ตั้งแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางไทยออกไปกินเมือง โดยตอบแทนความดีความชอบแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)  ที่ทําสงครามและร่วมจัดการความวุ่นวายในเขมรจึงทรงขอเมืองที่ติดกับสยามจากสมเด็จพระนารายณ์ฯ (นักองค์เอง) ให้พระยาอภัยภูเบศรเป็นผู้ปกครองให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ โดยตรงเพื่อคอยคุ้มครองเขมรอย่างใกล้ชิด เขมรจึงถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนที่ขึ้นกับสยามโดยตรง เรียกว่า “เขมรส่วนใน” ประกอบด้วยหัวเมืองหลัก ๆ คือ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ โปริสาท (โพธิสัตว์) และอุดงฤไชย และ “เขมรส่วนนอก” ตั้งแต่พนมเปญ ไปจนจรดเขตแดนภาคตะวันออกติดชายแดนญวน มีเจ้าเขมรปกครอง 


การปกครองในเขตนี้มีลักษณะพิเศษเพราะถึงแม้จะขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ให้ปกครองกันเองตามประเพณีเขมร และให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) เก็บภาษีอากรใช้จ่ายในการปกครองได้ด้วยตนเอง


ตําแหน่งเจ้าเมืองพระตะบองอันเป็นศูนย์กลางของการปกครองเขมรส่วนใน จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลูกหลานเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) ต้นสกุลอภัยวงศ์ตลอดมารวมเวลา ๑๑๒ ปี (พ.ศ. ๒๓๓๗-๒๔๔๙) และเมื่อเปลี่ยนจากระบบเจ้าเมืองเป็นการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองเขมร ส่วนนอกอยู่ใน “มณฑลบูรพา” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ประกอบด้วย เมืองเสียมราฐ พระตะบอง พนมศก และศรีโสภณ หลังจากนั้นอีกราว ๓ ปี รัฐบาลสยามต้องทํา “อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔” แลกกับความเสียเปรียบในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากจันทบุรีซึ่งต่อเนื่องจนถึงการแลกเปลี่ยนเมืองตราดและด่านซ้ายในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ซึ่งทางสยามต้องมอบพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ


ทําให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้ายและเป็นสมุหเทศาภิบาลสําเร็จราชการ

มณฑลบูรพาก็พาผู้สมัครใจทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนติดตามมาอยู่ ณ เมืองปราจีนบุรี ต่อมาท่านบริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล บูรณปฏิสังขรณ์วัดแก้วพิจิตรโดยเป็นผู้อํานวยการก่อสร้างและออกแบบเอง และเป็นท่านตาของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงสร้างตึกอภัยภูเบศร ซึ่งตั้งใจรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในขณะนั้น โดยเป็นตึกทรงเดียวกับที่พํานักในเมืองพระตะบอง ตึกดังกล่าวนี้ภายหลังเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรที่ท่านบริจาคที่ดินให้


เมื่อเริ่มปฏิรูปการปกครองเป็นระบบเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงได้ใช้เมืองปราจีนเป็นที่ว่าการ “มณฑลปราจีน” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ประกอบด้วยเมืองปราจีนบุรี เมืองชลบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา เมืองบางละมุง เมืองพนัสนิคม เมืองพนมสารคาม หมายถึงเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นในภูมิภาคตะวันออก และอีกประการหนึ่งคือมีการค้นพบแหล่งทองคําที่เมืองกบินทร์บุรี มีการทําเหมืองทองคําในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทําให้หัวเมืองปราจีนบุรีมีความสําคัญในฐานะที่หวังจะให้เป็นเมืองทางอุตสาหกรรมแร่ที่ให้คุณค่าทางเศรษฐกิจ


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาส ปราจีนบุรี ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ และครั้งที่ ๒ เมื่อ

พ.ศ. ๒๔๕๑ โดยเสด็จจากพระนครลัดเลาะไปออกแม่น้ำนครนายก และเข้าสู่แม่น้ำบางปะกงที่ปากน้ำโยทะกา ส่วนขากลับเสด็จ พระราชดําเนินมาทางแม่น้ำปราจีนบุรีแล้วเข้าปากคลองบางขนากในอําเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วตัดมาออกที่ปากน้ำเมืองสมุทรปราการ 


ผู้คนในเส้นทางเมืองด่านชายแดน


ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรีจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สยามยกทัพไปตีหัวเมืองลาวทั้งทางหลวงพระบางทางตอนเหนือ ทางเวียงจันทน์ทางตอนกลาง และทางจําปาสักในเขตลาวใต้ จนตกเป็นประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และได้กวาดต้อนผู้คนทั้งไพร่พลและเจ้านายมาไว้ยังบ้านเมืองต่าง ๆ หลายครั้งหลายคราว จนครั้งสุดท้ายเมื่อครั้งรบกับเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. ๒๓๖๙ ที่ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์และเผาเมืองจนแทบไม่เหลือหลักฐานบ้านช่องและร้างผู้คน แล้วกวาดต้อนผู้คนทั้งหมดมายังฝั่งสยามให้ตั้งบ้านเรือนอยู่หลากหลายท้องถิ่นที่ ปรากฏว่ามีมากก็ที่เขตเขมรป่าดงเมืองศรีษะเกษ เมืองขุขันธ์ และขุนหาญ ปรากฏชุมชนลาวเวียงตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ร่วมกับผู้คนเชื้อสายเขมรจากศรีษะเกษเดินทางผ่านช่องตะโกลงมายังเขตเมืองกบินทร์บุรี อรัญประเทศ และประจันตคามมีชุมชนลาวเวียงปรากฏอยู่จนทําให้บริเวณท้องถิ่นนี้เป็นเขตที่มีการอยู่อาศัยของชาวลาวและพูดภาษาลาวอย่างชัดเจน โดยทางอรัญประเทศยังปรากฏกลุ่มชาวญ้อซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาลาวสําเนียงทางหลวงพระบาง ซึ่งชาวญ้อ เป็นคนกลุ่มใหญ่ในจังหวัดสกลนครที่เคลื่อนย้ายเข้ามาสู่สยามในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนกลุ่มคนพวนที่มาจากแถบเมืองเชียงขวางก็เป็นคนกลุ่มใหญ่ทางศรีมหาโพธิและปราจีนบุรีไปจนถึงลุ่มน้ำท่าลาด จากสนามชัยเขต เกาะขนุน และพนมสารคาม บริเวณและ ฉะเชิงเทรา รวมทั้งพนัสนิคมในจังหวัดชลบุรี


เส้นทางการกวาดต้อนผู้คนจากทางฝั่งเชียงขวา’ และเมืองพวนรวมทั้งทางฝั่งเมืองเวียงจันทน์ก็ผ่านช่องทางด้าน “ช่องตะโก” ผ่านด่านพระจารึกด่านพระปรง ด่านหนุมาณ และเดินทางสู่ ท้องถิ่นต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกก็ใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสําคัญทางหนึ่ง


กลุ่มลาวเวียงที่มีจํานวนไม่น้อยตั้งถิ่นฐานที่หัวเมืองแถบสระบุรีและนครนายก เช่น แถบแก่งคอย หนองแค หนองแซง เสาไห้ วิหารแดง บ้านหมอ ปะปนไปกับลาวแง้วที่มาจากทางแถบหลวง พระบางและคนยวนจากเชียงแสนที่เข้ามาก่อนหน้านั้นในช่วงเวลา ต่างกันเล็กน้อย และเลยไปถึงลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ ที่มีทั้งลาวเวียง ลาวแง้วและคนพวนที่เป็นกลุ่มไทดําจากเมืองพวน แถบเชียงขวาง และข้ามไปทางภาคตะวันตกที่อุทัยธานี สุพรรณบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี


ดังนั้นผู้คนที่เป็นประชากรโดยพื้นฐานของบริเวณ “บ้านด่าน” ชายแดนสยามประเทศในบริเวณ “ด่านพระจารึก”

“ด่านพระปรง” และ “ด่านหนุมาณ” คือชาวลาวจากฝั่งขวาของแม่น้ำโขงที่ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รวมเวลาแล้วอยู่ในช่วงกว่า ๒๐๐ ปีมาแล้วและมีลูกหลานสืบเชื้อสายสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนจนสามารถตั้งขึ้นเป็น “เมือง” เช่น เมืองกบินทร์บุรีที่ตั้งขึ้นจากบ้านด่านหนุมาณกลายเป็นเมืองหน้าด่านทางภาคตะวันออกของสยามในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  


ที่เมืองกบินทร์บุรี ชุมชนชาวลาวเวียงที่เป็นกลุ่มใหญ่ ที่สุดอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าตําบลเมืองเก่า บริเวณแควหนุมาน

ที่บ้านด่าน เรียกว่า “ด่านหนุมาณ” ซึ่งเป็นชุมชนมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นบ้านด่านสําหรับเฝ้าระวังในเส้นทางเดินทัพไปยังเขมร


พบว่าน่าจะเป็นจุดที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อหนุมานบริเวณริมแควหนุมานฝั่งตะวันตกห่างจากบ้านใต้ของบ้านเมืองเก่าราว

๑ กิโลเมตร และชาวบ้านรื้อถอนเพื่อบูรณะและให้มาอยู่ใกล้กับชุมชนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ปัจจุบันตั้งอยู่ติดกับ “หนองหนุมาน” บริเวณบ้านใต้ ๑ กิโลเมตร 


เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) อพยพผู้คนจากเมืองพระตะบองมายังเมืองปราจีนบุรีหลังจากสยามเสียดินแดนเขมรส่วนในรวมทั้งพระตะบองให้กับฝรั่งเศส


สภาพแวดล้อมบริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มใกล้ลําน้ำซึ่งมีทั้งแควหนุมานและห้วยโสมง โดยบริเวณบ้านเรือนจะตั้งอยู่บนโคกเนินที่เป็นแนวยาว บ้านเมืองเก่าประกอบไปด้วยบ้านเหนือ บ้านกลาง บ้านใต้ ต่อด้วยบ้านเลียบ บ้านหนองรู บ้านโนนแดง บ้านงิ้ว และบ้านม่วง มีหนองน้ำขนาดใหญ่คือ หนองรูและหนองปลาแขยงที่บางส่วนปรับมาเป็นอุทยานกบินทร์เฉลิมราช ชาวบ้านจึงมีการปลูกผักกระเฉดซึ่งมีวิธีการทําให้ยอดผักกระเฉดอ่อนและกรอบอร่อย เรียกว่า

“ผักกระเฉดชะลูดน้ำ” ก็มีแหล่งที่มาจากบริเวณนี้


บริเวณบ้านเมืองเก่าซึ่งเป็นบ้านด่านแต่เดิมคงมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มาก แต่เมื่อมีการกวาดต้อนอพยพคนลาวจากทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงจึงมีการให้ชาวลาวเวียงจํานวนหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านด่านหนุมาณ ช่วงเวลานี้ไม่น่าจะเกินราว พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๗๐ จากเมื่อครั้งศึกเจ้าอนุวงศ์ ชุมชนที่นี่จึงขยายใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังไม่มีการลงหลักฐานที่มั่นคงเพราะมีสงครามต่อเนื่องกับทางเขมรและ อันนัมหรือญวนอีกกว่า ๑๐ ปี ชาวบ้านที่นี่ยังคงเล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวบ้านที่เป็นลาวเวียงที่บ้านเมืองเก่าต้องถูกเกณฑ์ไปรบในทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองเขมร ได้รับความยากลําบากอย่างยิ่ง ต้องทําถนนเพื่อเดินทัพทางบกจากด่านหนุมาณไปยังเมืองเขมรและเป็นกําลังสําคัญในการสู้รบด้วย


รูปปั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่วัดพระยาทำริมลำน้ำหนุมาน เมืองกบินทร์บุรี


มีวัดสําคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการตั้งทัพและเดินทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาคือ “วัดหนองรู” บ้านหนองรูซึ่งเปลี่ยนเป็นชื่อ “วัดแก้วฟ้ารังษี” ในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ บริเวณนี้อดีตเคยใช้บริเวณวัดเป็นกองบัญชาการตั้งทัพเพื่อไปรบกับเขมร และเป็นสถานที่ สําหรับทําพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการในหัวเมืองแถบนี้ปัจจุบันยังคงเหลือรูปแบบทางศิลปกรรม เช่น พระอุโบสถและพระพุทธรูปที่เป็นแบบลาวอยู่บ้างเล็กน้อย อีกแห่งหนึ่งคือ ที่บ้านดงเย็นวัดที่บ้านนี้มีประวัติว่าเจ้าพระยาบดินทรเดชาเมื่อกลับจากสงครามแล้วจึงได้สร้างวัดหลวงบดินทรเดชา และนําพระพุทธรูปปางมารวิชัยจากเขมรมาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ 


ทั้งสองแห่งยังพบร่องรอยความทรงจําของผู้คนในปัจจุบัน ที่มีต่อเส้นทางเดินทัพไปรบกับญวนและเขมร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและการเกณฑ์แรงงานชาวลาวไปทําถนนและสู้รบแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาเกือบสองร้อยปีก็ตาม


ต่อมามีการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งชุมชนริมแม่น้ำที่ “บ้านปากน้ำ” ซึ่งเป็นที่สบกันของแควพระปรงและแควหนุมานเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำบางปะกง และกลายเป็นศูนย์รวมการคมนาคมในราว พ.ศ. ๒๔๔๙ ซึ่งตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นช่วงเวลาที่สยามต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา ได้แก่ เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจังหวัดตราดและเกาะทั้งหลายรวมทั้งเกาะกูดคืน


ในเขตลุ่มน้ำบางปะกงในยุคสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมามีการปลูกอ้อยเพื่อหีบใช้ทําน้ำตาลและเป็นสินค้าส่งออกที่สําคัญและยังมีการปลูกข้าวหมาก ผลไม้จากสวนต่าง ๆ ของป่าจากเทือกเขาภายใน จึงเป็นเขตพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเกษตรและของป่าที่สําคัญของสยามประเทศ และเป็นช่วงเวลาที่สยามทําสนธิสัญญาเปิดการค้าเสรีกับทางอังกฤษมีการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานชาวจีนจํานวนมากตั้งแต่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว แรงงานชาวจีนนี้ส่วนใหญ่แต่แรกเริ่มเข้ามาขายแรงงานเพื่อการสาธารณูปโภคเพิ่มเติมกับแรงงานไพร่ส่วยที่มีไม่เพียงพอและกระจายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ


กลุ่มคนจีนมักรวมกลุ่มกันตามที่มาจากท้องถิ่นต่าง ๆ ในเมืองจีน เป็นจีนกวางตุ้ง แคะ ไหหลํา แต้จิ๋ว เพื่อช่วยเหลือระหว่างกันในกลุ่มผู้มาก่อนและกลุ่มผู้มาใหม่ และมักมีการตั้งหัวหน้าที่ได้รับ ความนับถือกันในกลุ่มเรียกว่า “ตั้วเหี่ย” ในภาษาแต้จิ๋ว หรือ “ตั้วก่อ” ในภาษาฮกเกี้ยน ที่แปลว่า “พี่ใหญ่”


นอกจากทํางานขุดคลองบางขนากเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๐ แล้ว แรงงานชาวจีนที่มีการรวมกลุ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่กันจึงมีความชํานาญในการทําอุตสาหกรรมน้ำตาล รวมทั้งเป็นช่างต่อเรือ ช่างไม้ และสามารถในการเดินเรืออีกด้วย เมืองฉะเชิงเทราในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ที่มีการบุกเบิกพื้นที่เป็นเส้นทางเดินทัพและมีแหล่งทรัพยากรสําคัญจึงมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย จํานวนมากรวมทั้งชาวจีนด้วย จึงมีการปลูกอ้อยและทําโรงน้ำตาล มากขึ้น


ขณะเดียวกันภาครัฐได้ให้ความสนใจก่อสร้างโรงงานน้ำตาล ของหลวงขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ขาดทุนเนื่องจากการทุจริตของข้าราชการและการขาดประสบการณ์ทางธุรกิจ แตกต่างจากชาวจีนที่มีความเชี่ยวชาญการผลิตน้ำตาลทุกขั้นตอน เป็นทั้งแรงงานและผู้ประกอบการ เพราะมีความชํานาญเป็นหัวหน้าคนงานเสมียน และ ผู้จัดการอย่างเบ็ดเสร็จ สามารถผลิตเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตน้ำตาลเช่น เครื่องหีบอ้อย พลั่ว จอบ เสียม กระทะ และสามารถในการเดินเรืออีกด้วย เมืองฉะเชิงเทราในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ที่มีการบุกเบิกพื้นที่เป็นเส้นทางเดินทัพและมีแหล่งทรัพยากรสําคัญจึงมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัยจํานวนมากรวมทั้งชาวจีนด้วย จึงมีการปลูกอ้อยและทําโรงน้ำตาลมากขึ้น


กรณีจีนตั้วเหี่ยครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๗ ที่เมืองจันทบุรีเกิดจากการวิวาทระหว่างจีนฮกเกี้ยนและจีนแต้จิ๋วและเกิดขึ้นตามมาอีกหลายแห่ง เช่นที่เมืองนครชัยศรี และเมืองสาครบุรี และอีกหลายจุด โดยทําฝ่าฝืนกฎหมายและยังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่น


การจลาจลของจีนตั้วเหี่ยที่เมืองฉะเชิงเทราเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๑ เกิดขึ้นจากแรงงานคนจีนต่อต้านการข่มเหงของขุนนางท้องถิ่นโดยเฉพาะจากเจ้าเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงโทษแต่บรรดาแกนนําอย่างรุนแรง ส่วนผู้ร่วมเหตุการณ์ระดับล่างจํานวนมากได้รับการปล่อยตัว แต่ก็มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ มากกว่าครั้งใด ๆ ถึง ๓,๐๐๐ คน หลังจากนั้นจึงทรงปรับปรุงการแต่งตั้งเจ้าเมืองโดยให้ขุนนางเชื้อสายจีนจากกรมท่าซ้ายเป็นเจ้าเมืองคนใหม่เพื่อปกครองเมืองฉะเชิงเทราที่มีคนจีนอยู่มาก


(นนทพร อยู่มั่งมี, “เผาบ้าน เผาเมือง จลาจลโรงน้ำตาล กรณีจีนตั้วเหี่ยเมืองฉะเชิงเทรา สมัยรัชกาลที่ ๓” ศิลปวัฒนธรรม หน้า ๘๘-๑๐๒)


ความเป็นเมืองท่าใกล้ปากน้ำชายทะเลของเมืองฉะเชิงเทราจึงเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าและส่งออกสินค้าการเกษตรพวก น้ำตาล ข้าว หมากและผลไม้และของป่า จึงกลายเป็นศูนย์กลางที่คนจีนโพ้นทะเลจะอพยพเข้ามาทํางานอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานับศตวรรษ และเมื่อสะสมทุนพอได้หรือมีเครือข่ายญาติพี่น้องหรือ คนในกลุ่มเดียวกันอยู่ที่ใดก็จะโยกย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานตามท้องถิ่น ภายในริมลํานํ้าบางปะกงที่เรียกเป็นช่วง ๆ ว่าแม่นํ้านครนายกและ แม่นํ้าปราจีนบุรี ดังพบได้ตามตลาดท่าน้ำริมน้ำสําคัญ ๆ ที่มีผู้คนเชื้อสายจีนซึ่งมักแต่งงานกับคนท้องถิ่นแล้วทําการค้าเป็นหลักจนทําให้เกิดตลาดหรือเมืองริมแม่น้ำ เช่น ที่บางคล้า พนมสารคาม ปราจีนบุรี ท่าทรายหรือท่าประชุมที่ดงศรีมหาโพธิ จนมาสิ้นสุดเส้นทางเดินทางนํ้าที่เป็นชุมชนตลาดขนาดใหญ่ที่ไกลที่สุดจากปากน้ำบางปะกงก็คือที่ “ตลาดกบินทร์บุรี” บนจุดบรรจบของแควหนุมานและแควพระปรงต้นแม่น้ำบางปะกงนั่นเอง

ส่วนทางบางคล้ามีการอพยพของคนจีนรุ่นเก่าเข้ามา


ทําสวนยกร่องในเขตที่มีอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนเข้ามาได้และ มีสภาพเป็นและต้องเสียค่าอากรสวนให้แก่รัฐได้มาก สามารถเดินทางแยกออกไปทางนครนายกสู่พนมสารคาม ซึ่งเป็นชุมทางค้าควายและมีกองเกวียนค้าขายแหล่งใหญ่ที่พ่อค้าและนายฮ้อยชาวอีสานเดินทางมาจากช่องตะโกและมาพักเกวียนแถบนี้ และสามารถติดต่อกับปราจีนบุรีที่เดินทางขึ้นไปถึงดงศรีมหาโพธิที่มีชุมทางใหญ่อยู่ที่ “ท่าหาดหรือท่าเขมร” ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “ท่าประชุม”

อันเป็นชุมทางซึ่งมีทั้งโรงสีข้าวและโรงเลื่อยอยู่ไม่น้อย ต่อเนื่องขึ้นไปถึงเมืองกบินทร์บุรีซึ่งเป็นชุมชนภายในที่ติดต่อกับเขตชายเทือกเขาที่มีการบุกเบิกทําไม้ซุงและทํานาไม่ใช่น้อย ทําให้มีคนจีนไปสร้างหลักแหล่งในฉะเชิงเทรามากขึ้นจนสามารถสร้างโรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล โรงเลื่อย อันส่งผลให้เมืองฉะเชิงเทรากลายเป็นศูนย์กลางความเจริญแทนเมืองปราจีนบุรีที่เจริญขึ้นมาตั้งแต่เป็นจุดพักสําคัญใน เส้นทางเดินทัพสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


เมืองกบินทร์บุรีเคยยกฐานะขึ้นเป็น “จังหวัดกบินทร์บุรี” เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยมีอําเภอกบินทร์บุรี

อําเภออรัญประเทศ อําเภอสระแก้ว และอําเภอวัฒนา จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ จึงยุบเป็นอําเภอกบินทร์บุรีขึ้นกับจังหวัดปราจีนบุรี 


ต่อมามีการสร้างทางรถไฟต่อจากเมืองฉะเชิงเทราไปเชื่อมกับทางรถไฟกับกัมพูชาที่คลองลึกอําเภออรัญประเทศเปิดการเดิน รถไฟจากฉะเชิงเทราถึงกบินทร์บุรีระยะทาง ๑๐๐ กิโลเมตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ และเปิดการเดินรถไฟจากกบินทร์บุรี ถึงตําบลคลองลึก อําเภออรัญประเทศระยะทาง ๙๔ กิโลเมตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เชื่อมกับเส้นทางรถไฟของกัมพูชาหรืออินโดจีนฝรั่งเศสในขณะนั้นสิ้นสุดที่เมืองพนมเปญ ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕


รูปปั้นที่ศาลเจ้าพ่อพระปรง ด่านสำคัญในเส้นทางสู่เขมรแต่โบราณ


มณฑลเทศาภิบาลปราจีนบุรีถูกยกเลิกไปเมืองปราจีนบุรี มีฐานะเป็นจังหวัดปราจีนบุรีเมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่เนื่องจากจังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่กว้างขวางจึงแยกออกเป็นจังหวัดนครนายก ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ และจังหวัดสระแก้วใน พ.ศ. ๒๕๓๖


สําหรับเหตุการณ์สําคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือ สงครามมหาเอเชียบูรพาที่ทําให้เกิดความทรงจําในสภาพของ สงครามและความเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดปราจีนบุรีและกบินทร์บุรี ก็คือ ญี่ปุ่นได้ยกกองทัพสู่ประเทศไทยทางตะวันออกด้าน อําเภออรัญประเทศผ่านวัฒนานคร สระแก้ว กบินทร์บุรี เพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยที่กบินทร์บุรีทหารญี่ปุ่นใช้พื้นที่วัดต่าง ๆ เช่น วัดพระยาทํา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดเก่าเป็นที่พักแรมของทหารญี่ปุ่น ชาวบ้านที่ตลาดเก่าซึ่งเกิดทันยังจดจําเรื่องราวเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเรื่องสะพานดําหรือสะพานข้ามทางรถไฟที่ตลาดกบินทร์ไม่ถูกระเบิดจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนจีนในตลาดยังจดจําได้มาจนถึงปัจจุบัน


หลังจากการบุกครองอินโดจีนของญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรั่งเศสถูกบีบยินยอมอนุญาตให้ญี่ปุ่น

ตั้งฐานทัพในอินโดจีนและภายหลัง เมื่อสิ้นสุดกรณีพิพาทโดยมีญี่ปุ่นเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส มีการลงนามในอนุสัญญาสันติภาพที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงทําให้ไทยได้ดินแดนพิพาทมาอยู่ในปกครอง และจัดตั้งเป็นจังหวัดใหม่ขึ้น ๔ จังหวัด คือ นครจัมปาศักดิ์ ลานช้าง พิบูลสงคราม และพระตะบองซึ่งจังหวัดดังกล่าวนี้ไทยได้ปกครองในช่วงเวลาสั้น ๆ จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘


 

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:




Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page