top of page

จะหันไปทางไหน..ชีวิตอะไรอย่างนี้ในสามจังหวัดภาคใต้

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 4 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549


บนถนนสายยะลา-ปัตตานี


เพราะการเข้าไปมีส่วนร่วมจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของมูลนิธิฯ ที่ผ่านมาในแต่ละแห่งต้องใช้เวลาทำงานนานพอควร ข้อค้นพบอย่างหนึ่งในหลายปีเหล่านั้นก็คือ การสร้างองค์ความรู้ท้องถิ่นในแต่ละแห่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการไม่ใช่ “คนใน” ทำให้ต้องใช้เวลามากเหลือเกินในการทำความเข้าใจชุมชนหนึ่ง ๆ ให้ถึงหลากหลายแง่มุม หากลองเปลี่ยนมาสนับสนุน “คนใน” เป็นผู้ทำการศึกษาชุมชนของตนเอง จะลดทอนเวลาในการสร้างความคุ้นเคยในพื้นที่และผู้คนไปได้มาก แถมยังได้ข้อมูลลึก ๆ ที่คนนอกอย่างพวกเราอาจจะมีโอกาสน้อยในการรับรู้


เพียงแต่ต้องทดลองแนวทางในการคิดสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานวิชาการซึ่งมีทั้งการเก็บข้อมูล ตั้งคำถาม วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนเขียนรายงานในระดับเป็นที่ยอมรับได้ กระบวนการทั้งหมดนี้ คือการสร้างองค์ความรู้ให้กับท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งใช้วิธีการศึกษาแบบ ชาติพันธุ์วรรณนา [Ethnography] ที่เน้นองค์รวมให้เห็นทั้งพื้นที่ ผู้คน และสังคมวัฒนธรรมเป็นหลัก และผลผลิตที่ได้จึงจะนำมาเสนอจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือเอกสารเผยแพร่ในภายหลัง


ความต้องการสร้างนักวิจัยท้องถิ่นในพื้นที่อันหลากหลายนี้เองที่ชักนำให้ก้าวเข้าไปทำงานในสามจังหวัดภาคใต้ก่อนจะเกิดเหตุปล้นปืนจากค่ายทหารเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗


งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง “ปอเนาะ” และ “การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง” ที่ปอเนาะภูมีและบ้านดาโต๊ะ ในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี กลายเป็นงานวิจัยดีเด่นของสกว. ในปี ๒๕๔๘ เพราะเสียงสะท้อนจากปอเนาะและข้อเรียกร้องของชาวประมงพื้นบ้านที่นำเสนอโดยเจ้าของพื้นที่ตัวจริงได้รับการพิจารณาจากสังคมอย่างทันควัน ในภาวะที่ขาดแคลนข้อมูลท้องถิ่นและอยู่ในห้วงแห่งความสับสนของสังคมไทย


อันที่จริงเรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของผู้คนในสังคมมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ หรือจะเรียกพวกเขาว่าชาวมลายูมุสลิมก็ได้ สิ่งที่รับรู้นั้นส่วนใหญ่มาจากสื่อมวลชนที่ให้ภาพของความรุนแรงและการต่อต้านรัฐซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่มีงานศึกษาเชิงสังคมศาสตร์น้อยมากทั้งๆ ที่ในท้องถิ่นนี้มีลักษณะเป็น พหุลักษณ์ทางสังคม [Plural Society] ที่มีกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามเชื้อสายมลายูเป็นกลุ่มใหญ่ มีคนเชื้อสายจีนและชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนา การเป็นสังคมมุสลิมโดยภาพรวมแต่ทว่าอยู่ในประเทศที่คนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ ทำให้ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและผู้คนอาจนำไปสู่ปัญหาทางชาติพันธุ์และชาตินิยมได้โดยง่าย สังคมไทยขาดการทำความเข้าใจและระแวดระวังเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์วิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


เมื่อมีโอกาสทางมูลนิธิฯ จึงใช้ในการทำงานวิจัยร่วมกับชาวบ้านนักวิจัยท้องถิ่นเพื่อศึกษาสังคมและวัฒนธรรมในมิติทางประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงในเขตหุบสายบุรีและหุบปัตตานีหรือในพื้นที่ภายในที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน หลังจากที่พอจะมีโมเดลของชุมชนในเขตชายฝั่งจากงานวิจัยในชุดแรก


หลังจากเดินมาถึงครึ่งทางก็พบว่า คงจะยากเกินไปเสียแล้วที่จะทำงานเชิงวิชาการในสถานการณ์สงครามกลางเมืองแบบนี้


จากความหวั่นไหว หวั่นเกรงในสถานการณ์ที่สุกงอมจนกลายเป็นความจริง ทุกวันนี้ เราเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เลยในเมืองไทย


ภาพมายาของความเป็นบ้านเมืองที่สงบสุข ประชาชนรักสันติ ผู้ปกครองเป็นธรรมที่ถูกกรอกหูมาแต่เล็กจนโตหายไปหมด กลายเป็นบ้านเมืองแห่งความกลัว รัฐที่ล้มเหลว และประชาชนหวาดระแวงกันเอง


แม้จะยังไม่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่น ๆ แต่ถ้าเราปล่อย ๆ คิดว่าเป็นพื้นที่ไกลตัวปัญหาทั้งหลายคงไม่มาถึง โดยไม่พยายามทำความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ก็อาจนึกเข้าข้างตัวเองมากไป เพราะเหตุวินาศกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ทุกแห่งและตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถตรวจสอบและหยุดยั้งได้จริง ๆ หรือเปล่านั้น เวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ได้อยู่แล้วว่า เราไม่ควรจะแน่ใจ


งานวิจัยนี้ต้องอาศัยนักวิจัยท้องถิ่นทำงานเป็นหลัก แต่ต้องสนับสนุนให้มีการเรียนรู้นอกพื้นที่ เช่น การอบรมแนวทางการทำงานเก็บข้อมูล การศึกษาข้ามพื้นที่และวัฒนธรรม การประชุมถกเถียงในเชิงวิชาการ หรือแม้แต่โอกาสในการเข้าร่วมการสัมมนาหรืองานประชุมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตามสถาบันการศึกษา ในขณะที่พื้นที่ศึกษาบางแห่ง ยากเกินไปที่จะเข้าไปสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากชาวบ้าน หรือนักวิจัยบางกลุ่มบางคนก็ต้องรับงานลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีกหลายโครงการ เพราะทุนอุดหนุนมีมากกว่าคนทำงานเสียแล้ว จนกระทั่ง ปัญหาที่เกิดจากความบาดหมางและเข้ากันไม่ได้ของคนต่างศาสนาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมองหน้ากันด้วยความหวาดระแวงและหมางเมิน โอกาสที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขถอยห่างไปทุกที


แม้จะเป็นงานวิจัยโดยฝีมือชาวบ้านที่อาจไม่ได้รับการยอมรับถึงความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ก็นับว่าได้เปิดแนวทางการศึกษาในการทำความเข้าใจพื้นที่และสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นในมุมมองของคนใน ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจนบางคนอาจจะกล่าวว่า “สายเกินไป” และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อีกครั้งสำหรับนักวิชาการคนนอกเช่นกัน


แต่ในพื้นที่ศึกษาทั้งสองหุบของลุ่มน้ำอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ยิ่งนับวันเหตุการณ์รุนแรงมีมากขึ้นทุกที เมื่อเหตุร้ายลุกลามเข้าสู่ตัวเมืองยะลาซึ่งผังเมืองและสภาพแวดล้อมได้ชื่อว่าน่าอยู่ที่สุดในประเทศไทย ทุกวันนี้มีใครบ้างที่ไม่อยู่อย่างหวาดกลัว ธุรกิจสารพัดชนิดเสียหายเอื่อยเนือย ปิดกิจการไปก็หลายอย่าง แม้จะอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบมานาน ในครั้งนี้คนเชื้อสายจีนในตลาด คนพุทธหรือแม้แต่คนมุสลิมก็ยากที่จะสมานฉันท์กันแล้ว


ถ้าออกไปกรีดยางไม่ได้ ถ้าขับรถไปทำงานแล้วถูกประกบยิง ถ้าเดินออกกำลังกายใกล้บ้านก็ถูกยิง ถ้าออกไปกินข้าวกับครอบครัวร้านอร่อยก็ถูกระเบิด ถ้าเช้ามืดหรือเย็นค่ำต้องปิดประตูหน้าต่างไม่กล้าออกนอกบ้าน ถ้าระหว่างการเดินทางเริ่มมืดค่ำต้องค้างโรงแรมทั้งที่บ้านพักอยู่ไม่ไกล ถ้าขับรถไปทำงานต้องก้มตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีระเบิดไหม ถ้าทั้งเมืองมืดเพราะถูกตัดไฟเพื่อวินาศกรรม และถ้าไม่มีความไว้วางใจให้ใครอีกเลยทั้งเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ของรัฐ


นี่มันชีวิตอะไรกัน แน่ใจหรือว่าที่นี่ประเทศไทย


คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์หรือ กอส. ตั้งขึ้นมากว่า ๗-๘ เดือน ประกอบด้วยคณะกรรมการ ๕๐ คนที่มีความชำนาญและคุณวุฒิเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาทั้งชาวพุทธและมุสลิม เจ้าหน้าที่รัฐและนักวิชาการ เป็นความหวังที่คงมีคนแอบหวังอยู่มากและคงจะมากกว่าความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้ และเมื่อมีการประชุมเพื่อพิจารณา “ร่างรายงานเอาชนะความรุนแรงด้วยพลังสมานฉันท์ร่างที่ ๒” เสร็จเมื่อวันที่ ๖ มกราคมที่ผ่านมาและมีโอกาสได้อ่านร่างฉบับนั้น


ผิดหวังเอาการ เห็นด้วยกับพาดหัวข่าวของศูนย์ข่าวอิสราซึ่งคนพื้นที่เห็นว่า “ไม่ฟันธง ไม่ตรงใจ”


กอส. ประชุมแทบทุกอาทิตย์ ที่รู้เพราะอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษาของมูลนิธิฯ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ ประชุมกันในพื้นที่บ้าง มีคณะกรรมการย่อยในพื้นที่ดูแลรับฟังปัญหา มีการสนับสนุนการงานวิจัยบางเรื่อง สนับสนุนกิจกรรมสาธารณะบางโครงการ แต่ก็ต้องรับมือกับนโยบายการแก้ปัญหาแบบสองหน้าของรัฐบาล


เอาเฉพาะเรื่องรายงานที่ควรเป็นบนสรุปอันทรงพลังของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ย่อมรู้สึกเห็นแตกต่างและสำหรับผู้เขียนบทความที่กำลังอยู่ในภาวะกึ่งกลางระหว่างคนในกับคนนอกรู้สึกกังวลและใจเสียเอามาก ในเมื่อสิ่งที่เป็นความหวังในการเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของความรุนแรงในมิติที่ลึกและกว้างขวางดูเหมือนยังเลื่อนลอย เน้นนามธรรม ขาดการวิเคราะห์ปัญหาหลักที่เป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรง และที่สำคัญที่สุด ขาดข้อมูลซึ่งน่าจะมีมากจากคณะกรรมการกอส. เองที่เป็นมลายูมุสลิมและเป็นคนในพื้นที่


สะพานข้ามคลองที่ถูกระเบิดเสียหายในอำเภอหนองจิก


เพราะปัญหาลักษณะนี้มีอยู่ทั่วโลกและเกิดขึ้นอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ธงที่เป็นคำตอบมีอยู่ไม่กี่ประเด็น เช่น การแย่งชิงฐานทรัพยากรท้องถิ่นที่กำลังรุนแรงเมื่อต้องปะทะกับวัฒนธรรมอันเข้มแข็งของชุมชนผู้นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ซึ่งมีรากเหง้าของประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ และประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง (ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่แตกต่าง เพียงแต่ภูมิภาคอื่น ๆ ไม่ได้มีความแข็งแกร่งดังกล่าวเท่าเทียมกัน) จนเป็นเหตุให้เกิดขบวนการสร้างอัตลักษณ์เพื่อธำรงความเป็นชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่กำลังเผชิญหน้ากับขบวนการชาตินิยม [Nationalism] โดยเฉพาะจากการกำหนดขึ้นโดยรัฐอันมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ตลอดจนขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่อ่อนแรงและมีการปรับตัวไปสู่ขบวนการรูปแบบใหม่ในโลกแบบโลกาภิวัตน์ซึ่งเทคโนโลยีง่าย ๆ ก็สามารถก่อเหตุร้ายได้ในราคาถูก ๆ


จากร่างรายงานของ กอส. ที่กล่าวถึง จินตนาการเรื่องยศธรและอัมมานาเด็ก ๆ ผู้สูญเสีย กรอบแนวคิดทฤษฎีเพื่อหาสาเหตุ สถิติของการเกิดเหตุและแนวโน้ม การเสนอแนวคิดสมานฉันท์ในสังคมไทย และวิธีแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างยั่งยืน


เช่น เสนอให้มีการร่างพระราชบัญญัติเสริมสร้างสันติสมานฉันท์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่โครงสร้าง การจัดตั้งองค์กรพิเศษปกครองพื้นที่ฝ่ายพลเรือน การออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดทุกฝ่าย การประกาศให้ภาษามลายูเป็นภาษาทางการภาษาที่สอง รวมทั้งการตั้งกองทัพที่ไม่ติดอาวุธแก้ไขสถานการณ์กรณีเกิดความขัดแย้ง


เป็นการให้ความสำคัญและยึดถือในกระบวนการสันติวิธีอย่างสมานฉันท์มากจนละเลยสาเหตุแห่งปัญหาและหนทางแก้ไข


เพราะถ้ามีคนตบหน้าเราข้างหนึ่ง เราคงไม่อยากยื่นหน้าให้เขาตบอีกข้าง แต่ต้องถามกันหน่อย หาสาเหตุกันบ้างว่า มาตบหน้ากันทำไม ?


ความลึกของปัญหานั้น เลยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อยุติความรุนแรงในรูปแบบอภัยวิถีมานานแล้ว


เมื่อคนตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน แม้แต่ในวงพูดคุยระหว่างนักวิจัยท้องถิ่น เราคุยกันว่า “ขอให้ทุกคนโชคดี ไม่เป็นอะไร หวังว่าพวกเราคงอายุยืน” นั่นสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในชีวิตจนถึงที่สุดแล้ว จะหันหน้าไปทางไหน รัฐนั้นทั้งไม่เข้าใจและเป็นตัวการสาเหตุแห่งปัญหา การแก้ปัญหาคือการเพิ่มปัญหา ไม่ว่าจะเป็นออกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน โครงการนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล โครงการซีฟู๊ดแบงค์ การออกประกาศเขตอุทยานทับที่ทำกินของชาวบ้าน จนถึงการแก้ไขปัญหาแบบทื่อๆ สำหรับการศึกษาแบบปอเนาะหรือการหรี่ตาให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่


ทำให้เครือข่ายของผู้ก่อการขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องต่อไป การเผาเสาสัญญาณส่งโทรศัพท์กว่า ๔๐ แห่งเมื่อเร็ว ๆ นี้สะท้อนถึงเครือข่ายที่กว้างขวาง แม้ในหมู่บ้านย่อย ๆ ตู้โทรศัพท์ถูกเผามากกว่าที่รายงานข่าวกล่าวถึงแน่ ๆ


ความซับซ้อนของปัญหาเช่นนี้ต้องการความลึกของข้อมูล เมื่อ กอส. พ้นหน้าที่ไปโดยไม่ฝากความหวังไว้ให้คนในพื้นที่ ยาวิเศษขนานไหนก็คงไม่ช่วยให้สังคมไทยรอดพ้นวิกฤตเหล่านี้ เกิดตายอีกสักกี่คนหรือกี่ชาติจึงจะเข้าถึงสาเหตุแห่งความอยุติธรรมที่เราร่วมสร้างไว้แก่ชาวบ้านผู้ต้องรับเคราะห์เหล่านั้น


เพราะความอยุติธรรมยังไม่ต้องใช้กระบวนการสมานฉันท์ แต่ต้องเห็นเหตุเพื่อแก้ไขเสียก่อน


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page