เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2552
จากการศึกษานิเวศวัฒนธรรมของข้าพเจ้าพบว่า “นิเวศทางธรรมชาติ” ที่เหมาะสมกับการสร้างบ้านแปงเมืองและนครรัฐในอดีตของดินแดนสยามประเทศหลายแห่งพัฒนาขึ้นในบริเวณรอบๆ หนองน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกในปัจจุบันว่า แก้มลิง ตามคำนิยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงในการพัฒนาแหล่งน้ำให้กับประชาชน

ลักษณะของหนองน้ำหรือบึงใหญ่เช่นนี้ ในภาษาอังกฤษมักเรียกว่าเป็น ทะเลสาบตามฤดูกาล [Seasonal lake] เป็นทะเลสาบภายในที่น้ำไม่นิ่งแบบซังกะตาย แต่มีการถ่ายเทตามฤดูกาล ในฤดูแล้งพื้นที่น้ำขังจะลดถอยและแห้งจนเหลือพื้นที่น้ำขังเพียง ๑ ใน ๓ หรือ ๑ ใน ๔ ของบริเวณทั้งหมด อย่างในภาคอีสานจะเรียกพื้นที่แห้งรอบๆ ว่า ทาม ในขณะที่พื้นที่ซึ่งยังมีน้ำอยู่เรียกว่า บุ่ง หรือ บึง นั่นเอง ซึ่งทำให้แลเห็นความต่างกันของบึงและหนองอย่างชัดเจน คือในกรณีนี้ บึงคือส่วนที่มีน้ำ ส่วนหนองหมายถึงพื้นที่ซึ่งมีทั้งทามและบุ่งหรือบึงในฤดูแล้ง
จากหลักฐานทางโบราณคดี เช่น ร่องรอยของชุมชนโบราณที่เป็นบ้านเมืองและตำนาน [Myth] พบว่ามีเมืองขนาดใหญ่ที่เป็นนครรัฐเกิดขึ้นตามหนองใหญ่ๆ เช่นนี้มากมาย อย่างเช่นทะเลสาบคุนหมิง และทะเลสาบต้าลี่ในมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน ทะเลสาบคุนหมิงเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญของอาณาจักรเทียน ที่เป็นแหล่งอารยธรรมแรกเริ่มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุควัฒนธรรมสำริดและเหล็ก ในขณะที่ทะเลสาบต้าลี่คือหนองแสในตำนานประวัติศาสตร์ชนชาติไทยที่กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายลงมาตั้งถิ่นฐานในลุ่มน้ำโขงตอนล่างตั้งแต่เชียงแสน เชียงราย ลงมาจนถึงปากน้ำโขงในประเทศเวียดนาม
ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนล่างนี้มีหนองใหญ่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ที่เป็นแหล่งการเกิดบ้านเมืองใหญ่ๆ มากมาย เช่น หนองหล่ม ในเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กว๊านพะเยา ในเขตจังหวัดพะเยา หนองหานภุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และ หนองหานหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร รวมทั้ง บึงราชนก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
นอกจากนั้นยังมีร่องรอยอีกหลายแห่งตามบึงใหญ่ หนองใหญ่ ที่ปัจจุบันตื้นเขินไป โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่บนที่ราบสูง [Plateau] ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ แอ่ง คือ แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อันเป็นพื้นที่ดินเค็มที่มีหินเกลืออยู่ข้างใต้ การละลายของเกลือทำให้แผ่นดินยุบเกิดเป็นหนองบึง [Seasonal lake] ใหญ่น้อยในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในแอ่งสกลนครและบริเวณใกล้เคียงเกิดหนองน้ำขนาดใหญ่ เช่น หนองหานสกลนคร หนองหานน้อยและหนองหานกุมภวาปีในเขตจังหวัดอุดรธานี เป็นต้น
หนองน้ำที่กล่าวมานี้เป็นที่เกิดชุมชนมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นเมืองใหญ่แต่สมัยทวารวดี-ลพบุรี มาจนปัจจุบัน มีตำนานเมืองเล่าขานกันสืบมา เหตุที่เกิดชุมชนและเมืองขึ้นก็เพราะเป็นนิเวศธรรมชาติที่ในฤดูแล้งพื้นที่ของท้องน้ำในหนองลดลงประมาณ ๒-๓ เท่า แบ่งพื้นที่แห้งรอบๆ ของหนองให้เป็นพื้นที่ ทาม เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เพราะมีตะกอนทับถมตามฤดูกาล เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ส่วนตรงที่มีน้ำขังนั้นเรียก บุ่ง กลายเป็น แหล่งเก็บน้ำ [Tank] เพื่อการอุปโภคบริโภคของคนเมือง ตำนานเมืองของหนองใหญ่เหล่านี้สะท้อนให้เห็นการรับรู้ของผู้คนที่มีต่ออำนาจเหนือธรรมชาติที่เป็นเจ้าของหนองน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอันอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขแก่คนเมือง ว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของพญานาคอันพำนักอยู่ใต้น้ำ ถ้าหากผู้คนประพฤติดีพลีถูกก็ดูแลคุ้มครองให้ แต่ถ้าหากประพฤติเลวทรามก็ลงโทษ โดยเฉพาะถ้าคนเมืองประพฤติชั่วร้ายตั้งแต่เจ้าเมือง เจ้านาย จนถึงไพร่ฟ้าประชาชนก็จะบันดาลให้เมืองล่มจมและผู้คนล้มตาย
ตำนานเมืองที่โดดเด่นและมีเนื้อหาเหมือนกันทุกหนองน้ำอันเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองก็คือ ตำนานผาแดง-นางไอ่ อันมีใจความโดยย่อว่า เมืองหนองหานนั้นเป็นเมืองพญานาคสร้าง กษัตริย์ผู้ครองเมืองมีธิดาชื่อ นางไอ่ ในชาติก่อนนางเป็นคู่รักกับพังคีผู้เป็นลูกพญานาค แต่ในชาตินี้นางไอ่มีคู่รักใหม่เป็นคนต่างเมืองชื่อ ผาแดง ในขณะที่พลอดรักกันอยู่ในเมืองนั้น พังคีได้ขึ้นมาจากบาดาล แปลงเป็นกระรอกขาวที่คนอีสานเรียกว่า กระรอกด่อน มาแอบดู เผอิญนางไอ่เหลือบเห็นกระรอกด่อนก็อยากได้ ขอร้องให้ผาแดงไปจับมาให้ แต่ผาแดงให้คนของตนไปจับและยิงกระรอกตาย เมื่อตายกระรอกก็โตใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า เป็นที่สนใจของคนเมือง พากันมาแล่เนื้อกระรอกไปกิน ยกเว้นหญิงหม้ายกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ไปแล่เนื้อมากินกับเขา พอตกกลางคืนพญานาคผู้เป็นบิดาของพังคีก็แสดงฤทธิ์ถล่มเมืองหนองหานจมลง ผู้คนที่กินกระรอกด่อนล้มตายจนหมดสิ้น รวมทั้งผาแดงและนางไอ่ที่ควบม้าหนีตาย แผ่นดินก็ถล่มตามไปจนต้องตาย คนที่ไม่ตายก็คือบรรดาหญิงหม้ายที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกด่อน จึงเกิดมีเกาะแม่หม้ายหรือดอนแม่หม้ายขึ้นในบริเวณหนองน้ำในปัจจุบัน
เรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่ากระรอกด่อนและการล่มจมของเมืองก็เกิดเป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าลำน้ำ หนองบึง ที่สูง และชุมชนตามถิ่นต่างๆ ทั้งในพื้นที่หนองน้ำและรอบๆ หนอง เช่น บ้านเชียงแหง บ้านดอนสาย บ้านสีพันดอน เป็นต้น

ปลาไหลเผือก
ความเชื่อในเรื่องพญานาคว่าเป็นเจ้าของท้องน้ำและแผ่นดินนี้เป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนล้านนาและล้านช้าง ซึ่งในพื้นที่ล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทยก็มีปรากฏตามหนองน้ำใหญ่ๆ อันเป็นพื้นที่ที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองมาแต่โบราณ ดังเช่น บึงราชนก ในเขตเมืองพิษณุโลก กว๊านพระเยา จังหวัดพะเยา และหนองหล่มในเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย แต่ต่างจากทางภาคอีสานอันเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมล้านช้างในเรื่องสัตว์ต้องห้ามที่ไม่ใช่กระรอกด่อนอันเป็นสัตว์บก แต่เป็น ปลา ซึ่งเป็นสัตว์น้ำแทน คือ บึงราชนกในเขตพิษณุโลกเป็น ปลาหมอ กว๊านพะเยาเป็น ปลาตะเพียน ซึ่งก็คล้ายๆ กันกับ ปลานิล ทั้งปลาหมอและปลาตะเพียนเป็นปลามีเกล็ด แต่หนองหล่มอันเป็นหนองใหญ่ของเชียงรายเป็น ปลาไหลเผือก เป็นประเภทปลาหนังไม่มีเกล็ด
ตำนานหนองหล่มมีคนรู้จักมากกว่าตำนานบึงราชนกและกว๊านพะเยา เพราะไปสัมพันธ์กับตำนานประวัติศาสตร์ชาติไทย ตำนานนี้มีที่มาจากลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของความเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ที่สัมพันธ์กับความเชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติประการหนึ่ง กับเรื่องการเคลื่อนย้ายของผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองอีกประการหนึ่ง
ประการแรก คือ เหตุที่เรียกหนองใหญ่นี้ว่า หนองหล่ม คำว่า “หล่ม” ไม่ได้หมายถึงล่ม แต่หมายถึงบริเวณที่เป็นหล่มมีน้ำขัง และน้ำนั้นมาจากน้ำใต้ดิน หาใช่ไหลมารวมจากผิวดิน หนองน้ำเช่นนี้เป็นหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นน้ำสะอาดใช้ในการดื่มกินและอุปโภคได้ คนลาวไม่ว่าจะเป็นลาวล้านนาหรือลาวล้านช้างเชื่อว่าเป็นที่สถิตของพญานาคผู้เป็นเจ้าน้ำและแผ่นดิน เช่น คนลาวล้านช้างจะเชื่อว่าหนองน้ำเช่นนี้เป็นรูพญานาค ในขณะที่ตำนานการสร้างบ้านแปงเมือง เช่น เวียงจันทน์ หนองหาน และเวียงหนองหล่ม แสดงให้เห็นว่าพญานาคมาสร้างเมืองให้แก่คน ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองใหม่
ความเชื่อในเรื่อง นาค เป็นเจ้าของแผ่นดินและน้ำในท้องถิ่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่ามีที่มาจากทางโลกหิมาลัยที่ผ่านมาทางแม่น้ำโขง หาใช่เป็นความเชื่อเช่นนาคของทางอินเดียไม่
ส่วน ประการที่สอง อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของผู้คนมาตั้งถิ่นฐานที่หนองหล่มนั้น ปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนวัติที่กล่าวว่า เจ้าสิงหนวัติผู้เป็นพระโอรสของกษัตริย์ในที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน เคลื่อนย้ายผู้คนอพยพมาแต่ลุ่มน้ำพางที่อยู่เหนือลุ่มน้ำอิระวดี ผ่านลำน้ำสาละวินเข้ามายังลุ่มน้ำกก ผ่านเชียงรายลงมาถึงหนองหล่มในเขตอำเภอเชียงแสน ที่มีพญานาคตนหนึ่งชื่อ พันธุ์นาคราช มาเนรมิตบ้านเมืองให้ เจ้าสิงหนวัติจึงขนานนามเมืองว่า โยนกนาคพันธุ์ หรือเรียกว่า โยนก
คำว่า โยนก จึงกลายมาเป็นชื่อของผู้คนที่เป็นชาวเมือง อันเพี้ยนมาเป็น ยวน เกิดคำว่า ไทยวน ที่หมายถึงคนเมืองในเขตแคว้นล้านนาประเทศ
เจ้าสิงหนวัติเป็นกษัตริย์ครองเมืองโยนกนาคพันธุ์ มีลูกหลานสืบมาหลายชั่วคน จนถึงยุคหนึ่งผู้คนพลเมืองไม่ประพฤติธรรม เกิดความชั่วร้าย เวียงโยนกก็เลยเกิดภัยพิบัติล่มจมไปเป็นบึงหนองหล่มอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ตำนานบอกว่าเหตุที่เมืองล่มเพราะผู้คนในเมืองจับปลาไหลเผือกแล้วนำมาแล่แจกกันกิน พอตกกลางคืนก็เกิดพายุ น้ำท่วมเมืองจมไป ผู้คนรวมทั้งเจ้านายในราชวงศ์กษัตริย์หนีตายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในที่อื่น เกิดเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่ง เช่น เวียงไชยนารายณ์ ไชยปราการ เวียงปรึกษา และเวียงพานคำ โดยเฉพาะเวียงพานคำนั้นอยู่ริมแม่น้ำสายในเขตอำเภอแม่สาย ติดกับอำเภอท่าขี้เหล็กของพม่า เป็นที่ประสูติของพระเจ้าพรหมมหาราช ผู้เป็นมหาราชองค์แรกของชนชาติไทในตำนานประวัติศาสตร์

ลายเขียนสีบนภาชนะดินเผาแบบบ้านเชียง ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
เรื่องของคนกินปลาไหลเผือกที่หนองหล่มได้เผอิญเข้ามาในความสนใจของข้าพเจ้าอีกวาระหนึ่ง เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณเล็ก นครเชียงราย บรรณาธิการหนังสือนครเชียงรายให้ไปร่วมเสวนาเรื่อง ตำนานเวียงพางคำ ตามรอยพระเจ้าพรหมมหาราช ที่อำเภอแม่สายกับบรรดาผู้รู้ของเมืองแม่สาย เผอิญในตอนเช้าก่อนเดินทางกลับได้แวะไปเที่ยวตลาดแม่สายที่มีของพื้นเมืองนานาชนิดที่คนหลายชาติพันธุ์เข้ามาขาย มีพ่อค้าปลาคนหนึ่งนำปลาไหลเผือกประมาณ ๗-๘ ตัว มาวางขายรวมกับปลาไหลและปลาอื่นๆ ทำให้ประหลาดใจและสนใจว่าปลาไหลเผือกนั้นหาใช่ปลาไหลที่สมมติขึ้นในตำนานหนองหล่มไม่ หากเป็นสัตว์ที่มีจริงในท้องถิ่น คนขายปลาไหลเล่าให้ฟังว่า ปลาไหลเผือกที่เห็นบ่อยๆ แล้วเคยนำมาออกโทรทัศน์ คนที่ซื้อไปนั้นไม่ได้นำไปกิน แต่นำไปเลี้ยงและปล่อยเป็นการทำบุญบ้าง ลักษณะของปลามีทั้งสีขาว สีทองอมแดง และกระขาวกระดำ มีทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก
แต่ที่เตะตาที่สุดคือ หัวของปลาไหลเหล่านี้ค่อนข้างใหญ่ ดูคล้ายอวัยวะเพศชาย ทำให้หวนรำลึกถึงภาพเขียนสีประดับหม้อบ้านเชียงและลายนูนต่ำของภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ที่หลายคนเห็นว่าเป็นงูนั้นน่าจะเป็นปลาไหลมากกว่า เพราะตรงหัวดูกลมคล้ายๆ กัน
ข้าพเจ้าคิดว่าทั้งปลาไหลและงูนั้นคล้ายกันในลักษณะที่เป็นสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก นับเป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในการรับรู้และความเชื่อของคนมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปลาไหลต่างจากงูในลักษณะนี้ เพราะเป็นสัตว์ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีอำนาจ แต่งูมี จึงเกิดมีคนนิยมงูมากกว่า โดยเฉพาะในสมัยประวัติศาสตร์ลงมา งูจึงเป็นสัญลักษณ์ทั้งทางอำนาจและความอุดมสมบูรณ์ แต่คนยุคประวัติศาสตร์มักให้ความสำคัญต่อพิธีกรรมในเรื่องความอุดสมบูรณ์เป็นสำคัญ จึงมักเน้นพิธีกรรมที่มองสัตว์ที่มีความคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศมากกว่า ซึ่งนอกจากปลาไหลแล้วก็มีพวกปลาช่อน ปลาชะโด ที่มีลักษณะในเรื่องนี้ โดยเฉพาะปลาช่อนนั้นมีการทำพิธีสวดคาถาปลาช่อนในการขอฝนขอน้ำกันในหมู่ชาวบ้านเรื่อยมาจนทุกวันนี้
เพราะปลาไหลเผือกเป็นสัตว์หายาก ผิดปกติไม่ใช่ธรรมดา จึงทำให้คนเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเกี่ยวข้องด้วยไม่ดีแล้วจะนำไปสู่ความโชคร้ายและวิบัติได้ จึงกลายเป็นสัตว์ต้องห้าม [Taboo] ตามตำนาน การรับรู้ดังกล่าวรวมทั้งการเป็นสัตว์ที่มีจริงในธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนในท้องถิ่นเชียงแสน-เชียงราย นำเอาไปสร้างเป็นตำนานเพื่อปรามคนในสังคมไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม เช่นเดียวกับตำนานกระรอกด่อนของคนอีสาน
ทั้งตำนานกระรอกด่อนและปลาไหลเผือกต่างเป็นตำนานที่สะท้อนให้เห็นความเป็นนิเวศวัฒนธรรมของสังคมท้องถิ่น อันเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ในลักษณะที่ต้องอยู่รวมกันเป็นบ้านเป็นเมือง ความสัมพันธ์ของคนกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ตั้งแต่การกำหนดรากเหง้าที่อยู่อาศัย แหล่งทำกิน แหล่งสาธารณะอันเป็นของส่วนรวมและแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่สัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ รวมทั้งการเกี่ยวข้องกับสัตว์ พืชพันธุ์ที่เป็นอาหารการกินและยารักษาโรค
ความสัมพันธ์ที่ขาดไม่ได้ก็คือคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกสร้างให้เห็นระบบความเชื่อและสัญลักษณ์ที่มีอำนาจในการควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม [Social sanction] เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและสันติสุข
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments