top of page

จากจักรพรรดิฝรั่งเศส–อังกฤษ ถึง จักรพรรดิอเมริกา: กระบวนการสนตะพายคนไทยสยาม

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 12 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2551


ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา เกิดคนสยามรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาและรับรู้เรื่องราวของผู้คนและบ้านเมืองตะวันตกกันอย่างมากมาย จนให้ความสำคัญว่า คนตะวันตกเจริญก้าวหน้ากว่าตนจนต้องเอาอย่างจึงจะเป็นคนศิวิไลซ์ [Civilize] และการเป็นชาติที่ศิวิไลซ์ คือ มีอารยธรรมนั่นเอง


จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้นำเอาจักรพรรดิอเมริกาสู่สังคมไทย


การทำตัวศิวิไลซ์ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ทำให้คนตะวันตกโดยเฉพาะชาติที่เป็นจักรวรรดินิยมยอมรับและไม่คุกคามทางการเมืองเพื่อเอาเป็นอาณานิคม คนสยามรุ่นนี้และพวกนี้คือคนที่เรียกว่า คนไทย และเป็นไทยอย่างสมบูรณ์เมื่อมีการยกเลิกชื่อประเทศสยามอย่างแต่เดิมมาเป็นประเทศไทย ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ความนิยมชมชื่นของคนไทยต่อคนฝรั่งตะวันตกดังกล่าวนี้ทำให้มีการเอาครูฝรั่งมาอบรมการศึกษาแบบใหม่ให้ทันสมัยเรื่อยมา ไม่ว่าการศึกษาแต่ระดับอุดมศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย จนถึงขั้นมัธยมและประถมก็ล้วนแต่ดำเนินตามโครงสร้างแบบฝรั่งแทบทั้งสิ้น


ความรู้ทางวิชาการอย่างหนึ่งในบรรดาความรู้นานาชนิดทั้งหลายคือความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งสั่งสอนอบรมให้ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของ คน กับ ดินแดน เวลาฝรั่งมาศึกษาเพื่อเอามาเป็นประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั้น ศึกษาทั้งด้านโบราณคดี [Archaeological past] ซึ่งเป็นเรื่องของอดีตความเป็นมาของดินแดน กับด้านชาติวงศ์วรรณนา [Ethnographical presen] ซึ่งเป็นเรื่องของผู้คนในสังคมปัจจุบันของดินแดนนั้น การเข้าใจเรื่องทั้งสองนี้นำไปสู่การเข้าถึงความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน


การศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นยุคเป็นสมัย แต่การศึกษาทางชาติวงศ์วรรณนาเป็นเรื่องการสืบเนื่องทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในสังคมท้องถิ่น ฝรั่งเข้าใจการมองการเปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนี้ แต่เวลาสั่งสอนอบรมให้คนไทยเรียนรู้กลับให้ความสำคัญเฉพาะการศึกษาเรื่องราวทางโบราณคดีเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้คนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบไม่เห็นคน กลับเห็นเพียงรูปแบบทางศิลปะและสมัยเวลาของโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญ


วิชาหลักที่ฝรั่งสอนคนไทยให้เชื่อและฟังกันอย่างตกผลึกมาจนทุกวันนี้ก็คือ วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะมีศักยภาพในการสื่อสารได้อย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองที่ฝรั่งสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในการล่าอาณานิคม


ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักล่าอาณานิคมตัวฉกาจในยุคนั้น ใช้หลักฐานทางโบราณสถานวัตถุทางศาสนาที่เป็นศิลปกรรมมาวิเคราะห์สร้างเป็นประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของบรรดาบ้านเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วยโครงสร้างการเมืองการปกครองของยุโรปสมัยวิกตอเรีย ที่มีลักษณะรวมศูนย์เป็นราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิ ประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นศูนย์กลางของอำนาจของบ้านเมืองและผู้คนในภูมิภาคนี้ เช่น เรื่องของอาณาจักร ฟูนัน ทวารวดี เจนละ ศรีวิชัย และเมืองพระนคร เป็นต้น


บรรดารัฐรวมศูนย์เหล่านี้สะท้อนการแสดงออกของการขยายดินแดนหรือครอบงำบ้านเล็กเมืองน้อยหรือบ้านเมืองใกล้เคียงด้วยการปกครองแบบจักรภพอังกฤษที่มีการส่งขุนนางตัวแทนเข้าไปปกครองเมืองขึ้นต่าง ๆ อำนาจเหนือบ้านเมืองและผู้คนนั้นแลเห็นได้จากรูปแบบทางศิลปกรรมและจารึกที่เป็นศิลปะอักษรและภาษาของเมืองที่เป็นศูนย์กลาง ประวัติศาสตร์แบบนี้ผู้คนในบ้านเมืองของไทย เขมร ลาว ญวน พม่า เขียนไม่เป็น เพราะมีแต่ประวัติศาสตร์แบบตำนาน ดังนั้นเมื่อต้องการความศิวิไลซ์และทันสมัยจึงต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ศิลปะแนวคิดและวิธีการจากฝรั่งเท่านั้น


ผลพวงจากการทำตัวให้ศิวิไลซ์และทำประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตกนี้เองทำให้มีการรับเอาความรู้และวิธีการในการศึกษา การปฏิรูปการปกครอง การบริหาร ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของประเทศนักล่าอาณานิคมมาใช้ โดยเฉพาะการปฏิรูปการปกครองให้ประเทศสยามเป็นรัฐรวมศูนย์ที่มีโครงสร้างแบบฝรั่ง จึงมีผู้รู้มักพูดว่าเป็นการสร้าง อาณานิคมภายใน [Internal colonization]


ความเป็นรัฐรวมศูนย์ [Centralized state] นี้ เคยมีมาแล้วแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ให้อิทธิพลสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ว่าเป็นรัฐรวมศูนย์แบบโบราณที่เคยมีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน คือ มีโครงสร้างทางสังคมและการเมืองกับผู้คนตามท้องถิ่น เมืองขึ้น และบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างหลวม ๆ หากระชับและน่าอึดอัดแบบโครงสร้างของรัฐรวมศูนย์ที่เป็นอิทธิพลของพวกล่าอาณานิคมไม่ โครงสร้างแบบใหม่นี้เองที่ทำลายความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองที่เคยมีกับเมืองขึ้นและบ้านเมือง เพื่อนบ้านที่เคยมีมาแต่เดิมให้หมดไป


แต่ที่สำคัญก็คือ การปกครองท้องถิ่นที่เกิด หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ได้ทำลายระบบการปกครองท้องถิ่นแต่เดิม จนทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน ยุคนี้เกิดนักวิชาการของสยามที่มีความศิวิไลซ์และทันสมัยมากมายหลายแขนงซึ่งล้วนแต่ได้รับการอบรมแนะนำและสั่งสอนโดยนักปราชญ์และนักวิชาการของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมทั้งสิ้น พวกนี้ไม่เพียงแต่ลอกเลียนและท่องจำความรู้ต่าง ๆ ของฝรั่งมาใช้ หากมีรูปแบบในการแต่งกาย การสร้างที่อยู่อาศัยและอะไรต่ออะไรหลายอย่างในการดำรงชีวิตลอกเลียนแบบฝรั่งเกือบทั้งสิ้น


ซึ่งทำให้เห็นและคิดได้ว่า คนสยามแม้จะไม่เป็นเมืองขึ้นทางการเมืองของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมก็ตาม แต่ก็มีลักษณะเป็นอาณานิคมทางปัญญามาโดยตลอด และต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน


ข้าพเจ้าคิดว่าคนสยามก็ดี หรือคนในปัจจุบันก็ดี ส่วนใหญ่มักอยู่ได้ในบุญทางปัญญาของจักรพรรดิตะวันตกมาถึงสองระยะคือ จักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษ แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมากับจักรพรรดิอเมริกาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งปัจจุบัน


ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดิฝรั่งเศส-อังกฤษนั้น สังคมไทยมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ (แบบฝรั่งยุคอาณานิคม) ที่คิดว่าคนไทยคือเชื้อชาติที่ยิ่งใหญ่ และคนอื่น ชาติพันธุ์อื่น ต้องต่ำกว่าตัวไปหมด ปลูกฝังให้เกิดสำนึกเช่นนี้ด้วยประวัติศาสตร์ของรัฐของชาติที่ได้รับการอบรมมาจากฝรั่งยุคอาณานิคม มีผลทำให้เกิดการขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องเขตแดนและการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นทุกที


ตั้งแต่ยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐบาลไทยอยู่ภายใต้การบงการของจักรพรรดิอเมริกา เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง และความมั่งคั่งทางวัตถุให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยทุกสิ่งทุกอย่างเลียนแบบจากฝรั่งอย่างโงหัวไม่ขึ้น พร้อมกันนั้นก็ร่วมมือกับจักรพรรดิอเมริกาทำลายล้างประเทศเพื่อนบ้านที่มีความคิดทาง สังคมนิยม อันเป็นปรปักษ์กับ ชนชั้นนิยม ที่ได้รับการปลูกฝังและตอกย้ำเรื่อยมา


ความคิดทางสังคมนิยมของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนามมีความเป็นมาจากคนข้างล่างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเอารัดเอาเปรียบของคนจากข้างบนที่เป็นชนชั้นที่ทำตัวศิวิไลซ์แบบตะวันตก รับค่านิยมแของนายทุนแบบตะวันตกมาปฏิบัติ จนในที่สุดผู้คนข้างล่างที่เดือดร้อนทนไม่ได้ก็ก่อการปฏิวัติทำลายร้างกันอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็น ระหว่างฝรั่งสังคมนิยมในนามของพวกคอมมิวนิสต์กับฝ่ายชนชั้นนิยมที่เป็นพวกทุนนิยมในนามของเสรีประชาธิปไตย ซึ่งคนไทยอยู่ข้างฝ่ายหลังนี้


สังคมไทยนั้น นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงไม่เคยริเริ่มมาจากความเดือดร้อนของคนข้างล่างเลย หากมาจากกลุ่มของชนชั้นข้างบนทั้งสิ้น ความขัดแย้งมาจากชนชั้นรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นั่นเอง โดยมีฐานสำนึกเป็นชนชั้นร่วมกันแต่ความคิดแตกต่างกัน ชนชั้นรุ่นใหม่มักเป็นพวกนักเรียนนอกที่ไปเรียนกับประเทศที่เป็นจักรพรรดิทางปัญญา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา แลเห็นความศิวิไลซ์แบบประชาธิปไตยที่เป็นทุนนิยมเสรีของจักพรรดิตะวันตกเหล่านั้น ก็เลยคลั่งไคล้เอามาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเพื่อให้ศิวิไลซ์และทันสมัยบ้าง


ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากโค่นล้างคนรุ่นเก่าสำเร็จก็ยังทำตัวเป็นชนชั้นอยู่ร่ำไป ความเป็นประชาธิปไตยที่รับเข้ามาจึงกลายเป็นประชาธิปไตยแบบชนชาติ ค่านิยมของความเป็นชนชั้นยังคงสืบเนื่องมาจากคนรุ่นอยู่นั่นเอง แต่ดูเหมือนชั่วร้ายกว่าเสียอีก เพราะพวกนี้เป็นวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก รวมทั้งคิดอะไรต่ออะไรในลักษณะเลียนแบบจักรพรรดิอเมริกันทั้งสิ้น


ความชั่วร้ายที่สุด ๆ ของชนชั้นรุ่นใหม่เหล่านี้ก็คือ ได้พัฒนาให้เกิดสำนึกความเป็นคนข้ามชาติและเป็นนายทุนข้ามขาติขึ้น เลยทำให้เมืองไทยทั้งประเทศกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติยึดครอง แล้วเอาชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปที่ตามไม่ทันเป็นทาสแรงงานราคาถูก ๆ ทาสคนไหนไม่พอใจก็เคลื่อนย้ายไปเป็นแรงงานข้ามชาติยังประเทศอื่น พวกนายทุนชั่วร้ายเหล่านั้นทำการอิมพอร์ตแรงงานทาสข้ามชาติจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาในลักษณะละเมิดกฎหมาย เกิดปัญหาค้าทาส ค้ามนุษย์ยุคใหม่ขึ้น ในขณะที่จักรพรรดิอเมริกันมุ่งจะมาแก้เกี้ยวด้วยการประณามผลที่เกิดขึ้นในเรื่อง สิทธิมนุษยชน อยู่ทั่วไป


ทั้งภายใต้การชี้แนะของจักรพรรดอเมริกันที่ชอบตอกย้ำการปกครองประชาธิปไตย มีสิทธิและเสรีภาพ ต้องเลือกตั้งภายใต้การเลียนแบบและสำรอกแต่เปลือกของจักรพรรดิอเมริกันมาพัฒนาประเทศและบริหารประเทศของรัฐบาล นายทุนของชนชั้นรุ่นใหม่บนสังคมไทยคือ สังคมแห่งการละเมิดกฎหมาย [Law violating society] เต็มไปด้วยเดรัจฉานข้ามชาติมาปกครอง ในขณะที่สังคมของประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเรียกว่าสังคมเผด็จการคอมมิวนิสต์นั้นกลายเป็นสังคมมนุษย์ที่คนในชาติมีสำนึกความรักชาติ [Patriotism] และเป็นสังคมเคารพกฎหมายที่จัดการกับคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด [Law abiding society]


ในที่สุดนี้ อยากจะพูดว่าภายใต้รัฐประชาธิปไตยตามแบบจักรพรรดิอเมริกันนั้น รัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลของนายทุนข้ามชาติที่ไม่มีสำนึกความเป็นชาติ มักใช้การแก้ไข้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่หลอกประชาชนว่าเป็นกฎหมายที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อความชอบธรรมในการแสวงหาประโยชน์ ความสุขและความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงนับได้ว่าเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่อาภัพอัปภาคที่สุดเพราะถูกละเมิดอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page