top of page

จากนครวัดถึงพิษณุโลก

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 7 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2545



ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายน ที่ผ่านมา มีการจัดอภิปรายทางวิชาการเรื่องกองทหารของสยามที่เป็นภาพสลักอยู่ในกระบวนพระราชพิธีสวนสนามบนผนังระเบียงคดที่ประสาทนครวัด เพื่อเป็นการระลึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ปราชญ์สามัญชนที่จะมีอายุครบ ๗๒ ปี ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่


ภาพสลักนี้มีจารึกภาษาเขมรโบราณกำกับไว้ว่า “เนะ สยำ กุก” ซึ่งแปลว่า “นี่ เสียม กุก” ผู้รู้ทั่วไปมีความเห็นว่าเป็นกองทัพสยามที่น่าจะส่งมาร่วมด้วยจาเมืองสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ว่าจิตร ภูมิศักดิ์ อ่านและเสนอใหม่ว่าน่าจะเป็นกองทัพชาวเสียมจากลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดเชียงราย โดยอ้างความสัมพันธ์กับวรรณกรรมเรื่องฮุ่งหรือเจือง อันเป็นวรรณกรรมเก่าแก่ที่เกี่ยวกับกษัตริย์และบ้านเมืองทั้งสองฝั่งโขงในเขตล้านนาและล้านช้าง


ความต้องการของการอภิปรายนี้ หาใช่การมาถกเถียงเพื่อการหาข้อยุติแต่อย่างใดไม่ หากมุ่งหวังที่จะนำข้อเสนอของจิตร ภูมิศักดิ์มาถกเถียงเพื่อหาคำตอบใหม่ ๆ หรือข้อคิดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของกระบวนการเรียนรู้ที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน


ในที่นี้ข้าพเจ้าคงไม่นำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเสียมกุกมาถกเพิ่มเติม เพราะได้เขียนได้พูดอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว แต่จะนำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้มาเสนอไว้ คือเรื่องของนครวัดซึ่งโดยทั่วไปรู้จักในนามว่า “นครวัดนครธม” ในลักษณะที่เป็นโบราณสถานใหญ่โตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยิ่งกว่านั้นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่ก็มักจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า ผู้ที่ค้นพบนครวัดนครธมนั้นคือ นาย ฮองรี มูโฮต์ (Henri Mouhot) นักค้นคว้าและสำรวจชาวฝรั่งเศส อะไรต่ออะไรก็เลยกลายเป็นเรื่องฝรั่งพบฝรั่งเสนอไปหมด และคนไทยบางคนก็เชื่อตาม


นครวัดและนครธมต่างกันดังนี้ นครวัดเป็นเรื่องของศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีคูน้ำล้อมรอบจนดูเป็นเมืองจึงเรียกว่า นครวัด ในขณะที่นครธมหมายถึงเมืองที่ใหญ่กว่า เพราะคำว่า “ธม” แปลว่าใหญ่ คือใหญ่กว่านครวัดนั่นเอง แต่นครธมไม่ใช่ศาสนสถานอย่างนครวัด หาเป็นเมืองที่มีผู้คนและกษัตริย์ประทับอยู่


ความต่างกันระหว่างนครวัดกับนครธมอีกอย่างหนึ่งก็คือ นครวัดมีอายุเก่าแก่กว่านครธมไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี นครวัดสร้างในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ส่วนนครธมสร้างแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่อยู่ในสมัยหลังลงมา ความต่างกันนี้ทำให้นำไปสู่ความสงสัยที่ว่า เมื่อมีนครวัดเกิดขึ้นนั้น เมืองที่มีคนอยู่มีกษัตริย์ประทับนั้นอยู่ที่ใด จึงต้องมีข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมว่า เมืองนั้นอยู่ในบริเวณนี้นั่นเอง หากเป็นเมืองที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ กว้างและยาวเท่ากันด้านละ ๔ กิโลเมตร คนทั่วไปเรียกว่า นครหลวง แต่มีชื่อทางราชการว่า ยโสธรปุระ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเมืองที่มีเขาและปราสาทพนมบาเคงเป็นศูนย์กลาง เมืองนครวัดวัดแระสร้างนั้นอยู่ภายในเขตเมืองนี้ แต่ประมาณ ๔๐ ปี ต่อมาได้มีการสร้างนครธมขึ้นเป็นเมืองแทนเลยทำให้อาณาบริเวณของเมืองเดิมหมดความสำคัญไป แต่ยังคงเหลือร่องรอยของแนวกำแพงและคูเมืองให้เห็นอยู่ในบางส่วน เมืองนครธมมีขนาดเล็กว่าเมืองหลวงเดิมและแยกกันอยู่ต่างห่างจากนครวัด แต่ใช้ชื่อทางราชการตามเมืองเดิมคือ ศรียโสธรปุระ


ส่วนนครวัดนั้นแต่เดิมก็หาเรียกว่านครวัดไม่ เพราะไม่ได้เป็นพุทธสถาน หากเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูตามความเชื่อของคนในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นศาสนสถานเพื่อการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีจารึกกำกับไว้ที่ภาพสลักของพระองค์ในกระบวนแห่ที่ระเบียงคดว่า “กมรเตงชคตปรมวิษณุโลก” จากพระนามนี้เองที่ทำให้รู้ว่าชื่อนครวัดเต็มคือ วิษณุโลก หรือพิษณุโลก อีกทั้งเป็นสิ่งที่ยืนยันจากจารึกใน พ.ศ. ๒๑๗๕ ที่มีคำเรียกนครวัดและพระพิษณุโลก ปะปนกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นว่าศาสนสถานแห่งนี้กลายมาเป็นพุทธสถานหรือวัดไป ยิ่งกว่านั้นยังมีหลักฐานอ้างว่าพระสงฆ์ที่ไปจากเมืองไทยเรียกว่า เชตพน หรือ เชตวัน ก็มี



อย่างไรก็ตาม ชื่อพระพิษณุโลกนี้คนไทยสมัยอยุธยาตอนต้นย่อมรู้จักดี โดยเฉพาะในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ที่ทรงยกกองทัพไปตีนครธมและกวาดต้อนผู้คนมายังพระนครศรีอยุธยา ความรู้เรื่องเมืองพระนครจึงมาอยู่ทางเมืองไทยไม่ใช่น้อย และนำมาเลือกใช้ในงานทางประเพณีวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะชื่อพระพิษณุโลกนั้นได้ถูกนำไปขนานเป็นชื่อเมืองใหม่ที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างขึ้นบนสองฝั่งของลำน้ำน่าน ที่ผนวกเมืองสองแควเดิมของสุโขทัยเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมืองนี้คือเมืองพิษณุโลกที่นักประวัติศาสตร์รุ่นก่อนเชื่อว่าเป็นราชธานีทางฝ่ายเหนือของกรุงศรีอยุธยา และในปัจจุบันก็คือจังหวัดพิษณุโลก


สุดท้ายข้าพเจ้าคิดว่า คนไทยนั่นแหละเอาชื่อพิษณุโลกมาจากขอม แล้วเอาคำว่าวัดของไทยไปใส่ให้เข้าแทนจึงเรียกว่านครวัดไป


แต่จากการเปลี่ยนพิษณุโลกมาเป็นนครวัดนั้นก็หาได้ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้โรยราไปไม่ซึ่งก็รวมทั้งนครธมด้วย ผู้คนทั้งไทยและเขมรล้วนทราบดี เพราะยังเป็นวัดและเป็นเมืองเรื่อยมา โดยเฉพาะนครวัดนั้นมีผู้สร้างพระพุทธรูปสลักด้วยหินไปประดิษฐานไว้มากมายนับเป็นพันองค์ จนอาจนับได้ว่ากลายเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญของผู้คนในระดับภูมิภาคก็ว่าได้ ส่วนที่นครวัดนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนในราชสำนักอยุธยาเรียนรู้ เพราะให้อิทธิพลกับการสร้างวัดและสร้างพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่เห็นชัด ๆ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การบูรณะพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท การสร้างพระราชพิธีสนาม


พระราชพิธีเกี่ยวกับพระบรมศพ การถวายพระเพลิง การสร้างวัดไชยวัฒนาราม และปราสาทนครหลวงที่วัดริมแม่น้ำป่าสัก เป็นต้น เพราะฉะนั้นนครวัดนครธมไม่ได้ร้าง คนที่บอกว่าร้างก็คือฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชอบเล่นมายากลมาแต่สมัยล่าอาณานิคมนั่นเอง


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page