เผยแพร่ครั้งแรก 1 ส.ค. 2552
“ยี่สิบห้าตุลาคมวันลมจัด พฤหัสบดีปีศูนย์ห้า (๒๕๐๕)
ปากพนังทั้งถิ่นกินน้ำตา ประสบวาตภัยประลัยลาญ
คลื่นระดมลมโหมเสียงโครมครึก ทะเลกึกก้องห้องละหาน
ฟ้าคำรณฝนหนักคัดนานต์ สะเทือนสะท้านทั่วสิ้นจบดินแดน...”
กวีบทแรกใน “นิราศแหลมตะลุมพุกพิลาป” ข้างต้นซึ่งถ่ายทอดโดย ครูตรึก พฤกษะศรี ชาวปากพนังที่อยู่ในเหตุการณ์พายุโซนร้อน “แฮเรียต” พัดถล่มแหลมตะลุมพุก ในช่วงค่ำของวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนบริเวณนั้นอย่างมาก จนประมาณกันว่าในเหตุการณ์ที่แหลมตะลุมพุกครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตและหายสาบสูญทั้งสิ้นกว่า ๑,๐๐๐ คน
ในนิราศดังกล่าวยังได้บรรยายสภาพของแหลมตะลุมพุกขณะประสบกับพายุใหญ่ในครั้งนั้นไว้อย่างละเอียด ความว่า
“...บ้านเรือนพังหลังคาทรุดหลุดสลาย มวลไม้ตายเตียนยับลงนับแสน
น้ำท่วมพื้นคลื่นซ้อนบ้านคลอนแคลน ต่างขวัญแขวนฝากดินฟ้าชะตากรรม
โดยเฉพาะเคราะห์กรรมระยำยุค ตะลุมพุกแหลมทรายตายเกือบคว่ำ
พายุโหมโรมรัวแต่หัวค่ำ คลื่นกระหน่ำซ้ำใส่อย่างใหญ่โต
เรือนใหญ่น้อยลอยล่มจมสมุทร ภินท์พังทรุดเซหักตายอักโข
ต้องว่ายแหวกแถกถาต้านวาโย ถีบเตียวโต้คลื่นลมยมนา
คลื่นระดมลมตีจนที่สุด ออกสมุทรมุดดิ้นสิ้นสังขาร์
ที่พบปลายไม้กอดรอดชีวา ขึ้นหลังคาเกาะเกี่ยวกลางเกลียวลม
บ้างตายหมู่อยู่ในเรือนใหญ่น้อย ถูกคลุมคล้อยคลื่นซัดพัดประสม
พอน้ำลดหมดฤทธิ์ติดเลนตม ศพซากจมถมทับนับอนันต์...”

“แหลมชุมพุก” ซึ่งปรากฏในแผนที่ราชสำนักสยามสมัย รัชกาลที่ ๑-๒
เปรียบเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมของแหลมตะลุมพุกในปัจจุบัน
ภาพความโหดร้ายจากมหาวาตภัยซึ่งเกิดจากน้ำมือของธรรมชาติในครั้งนั้น ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเกือบ ๕๐ ปีก็ตาม ทำให้เมื่อกล่าวถึงชื่อของ แหลมตะลุมพุก เชื่อว่าหลายคนคงจะจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะภาพของความเสียหายที่เกิดจากคลื่นและลมพายุที่ถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรุนแรงจนกลืนบ้านเรือนและผู้คนลงไปในท้องทะเลเพียงชั่วข้ามคืนนั้น ยังคงเป็นภาพหลอกหลอนผู้คนที่อยู่ริมชายฝั่งอ่าวไทย ซึ่งทุกครั้งที่มีพายุใหญ่พัดโหมเข้าสู่ชายฝั่ง ต่างภาวนาไม่ให้บ้านเรือนของตนต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับแหลมตะลุมพุกมาแล้ว
รู้จักตะลุมพุก หมู่บ้านปลายแหลมที่ปากพนัง
ปัจจุบันพื้นที่ของแหลมตะลุมพุกเป็นตำบลหนึ่งที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะพื้นที่ทั้งหมดเป็นแหลมทรายยื่นเป็นวงโค้งออกไปในทะเล โดยเนื้อที่ทั้งหมดของตำบลแห่งนี้มีประมาณ ๒๙.๑๔ ตารางกิโลเมตร นับความยาวจากรอยต่อแนวตำบลปากพนังตะวันออกขึ้นไปทางเหนือสุดของปลายแหลมตะลุมพุกมีความยาวเกือบ ๒๐ กิโลเมตร ส่วนที่กว้างที่สุดมีความกว้าง ๗ กิโลเมตร
จำนวนประชากรของตำบลแห่งนี้นับว่ามีจำนวนไม่มาก เพียง ๖๘๐ หลังคาเรือน หรือประมาณ ๒,๒๐๐ คนเท่านั้น เนื่องจากความเสียหายของวาตภัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแล้ว ยังสร้างความหวาดกลัวภัยธรรมชาติที่อาจมาจากทะเลได้อีกทุกเมื่อ ทำให้จำนวนประชากรเฉลี่ยจึงมีจำนวนน้อยลง โดยเฉพาะบ้านปลายทรายที่ตั้งอยู่ที่ปลายแหลมตะลุมพุกเป็นหมู่บ้านเดียวใน ๔ หมู่บ้านของตำบลนี้ที่ไม่มีประชากรกลับเข้าไปอาศัยอยู่อีกเลยจนปัจจุบัน

ความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนหลังเหตุการณ์วาตภัยที่แหลมตะลุมพุก
เอื้อเฟื้อรูปโดยครูสาธร พฤกษะศรี
หากยังนึกสภาพที่ตั้งของแหลมตะลุมพุกไม่ออก ให้ลองคว่ำมือซ้ายลงโดยให้งอหัวแม่มือโค้งหน้านิดๆ จะเปรียบได้กับแหลมตะลุมพุก เพราะตัวแหลมโค้งชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนิดหน่อย ส่วนอำเภอปากพนังเปรียบหยาบ ๆ ได้กับหลังมือทั้งหมด ปลายนิ้วมือและข้างมือด้านนิ้วก้อย จดอำเภอเมือง ตอนข้อมือเป็นอำเภอหัวไทร ต่ำลงใต้เป็นอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ทิศตะวันตกของอำเภอหัวไทรเป็นอำเภอเชียรใหญ่และอำเภอชะอวด ซึ่งอยู่ตอนใต้ ขึ้นกับจังหวัดนครศรีธรรมราช เขตเทศบาลเมืองปากพนังอยู่ราว ๆ หลังมือตอนนิ้วโป้ง นิ้วโป้งปล้องโคนยังคงเป็นเขตตำลปากพนังตะวันออก ปล้องปลายเปรียบเท่ากับตำบลแหลมตะลุมพุก ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำปากพนังไหลออกที่อ่าวปากพนังเรียกว่า ทะเลใน คือพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของแหลมตะลุมพุกซึ่งตื้นเป็นแหลมตม
ย้อนอดีต “ตะลุมพุก” ชื่อปลา ที่มาหมู่บ้านประมง
เหตุที่แหลมแห่งนี้ถูกเรียกว่า ตะลุมพุก นั้น สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชื่อของปลาทะเลชนิดหนึ่งคือ ปลาตะลุมพุก หรือเรียกชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenualosa toil ซึ่งเป็นปลาในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) มีรูปร่างคล้ายปลาตะเพียนแต่ลำตัวเรียวกว่า และมักจะเข้ามาวางไข่ในน้ำจืด สมัยก่อนเคยพบมากแถบทะเลสาบสงขลาและอ่าวปากพนัง โดยชื่อตะลุมพุกมีปรากฏในหลักฐานแผนที่เมืองนคร/เกาะหมาก/ถลาง-ไทร (นครศรีธรรมราช, ปีนัง, ภูเก็ต และไทรบุรี) ซึ่งจัดทำโดยราชสำนักสยาม ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑–๒ ต้นฉบับระบุชื่อของแหลมตะลุมพุกไว้ว่า “แหลมชุมพุก” ซึ่งคาดว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงมาก่อน โดยในเรื่องนี้ มิสเตอร์ เอช. วาริงตัน สมิธ (H.Warington Smyth. Five Years in Siam: From 1891 to 1896. Vol II., London John Murray.1898, pp 86-87) นักภูมิศาสตร์ชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการในกรมโลหกิจและภูมิวิทยาสมัยรัชกาลที่ ๕ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑–๒๔๓๙ ได้บรรยายสภาพของแหลมตะลุมพุกคราวเดินทางสำรวจคาบสมุทรมลายูในส่วนพื้นที่ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชและสงขลา ความว่า
“เมื่อผ่านออกจากอ่าวนครศรีธรรมราช จะพบกับเรือสำเภาจำนวนมากที่จอดนิ่งปิดทางเข้าปากแม่น้ำ เราต้องหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลที่ถูกโอบรอบโดยแหลมตะลุมพุก ซึ่งเกิดจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่หอบเอาทรายมาทับถมทีละเล็กละน้อยจนเป็นแนวหาดทรายโค้งโอบรอบโคลนที่แบนราบของอ่าวนครศรีธรรมราช...ชาวประมงจำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่ที่บ้านแหลมและหมู่บ้านอื่นๆ อีกหลายแห่งที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้สุดของแหลมนี้ บ้านเรือนของพวกเขาได้รับการกำบังลมโดยต้นมะพร้าวและต้นสนที่ฉีกขาดรุ่งริ่งด้วยแรงลม จะมีก็เพียงเฉพาะบรรดาต้นไม้ที่มีความทรหดอดทนเท่านั้นที่เจริญงอกงามที่นั้นได้”
ข้อความดังกล่าวทำให้ทราบว่าบริเวณอ่าวนครศรีธรรมราชหรืออ่าวปากพนังซึ่งมีแหลมตะลุมพุกโอบล้อมกำบังคลื่นลมอยู่นั้นเป็นจุดจอดเรือสำเภาที่ผ่านมาค้าขายบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อรอคอยลมมรสุมในการเดินเรือต่อไป นอกจากนี้ยังปรากฏหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร
ขณะเดียวกันสภาพที่ตั้งของแหลมตะลุมพุกซึ่งอยู่ระหว่างอ่าวกับทะเลที่เปิดโล่งรับแรงลมและคลื่นที่สามารถเข้าปะทะได้ทั้งสองด้าน ทำให้เมื่อเกิดวาตภัยขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จะพบว่าสภาพของแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลนี้เองทำให้เมื่อพายุโซนร้อนที่พัดเข้ามาจากทางอ่าวไทยหอบเอาฝนคลื่นในทะเลโถมขึ้นท่วมชายฝั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกวาดบ้านเรือนประชาชนลงไปยังอ่าวปากพนังที่อยู่ด้านหลังและวนกลับมาลงในทะเลอ่าวไทยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักแก่พื้นที่แห่งนี้ ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมากดังกล่าวมาแล้ว
ภาวะโลกร้อน มหาภัยใหม่ของตะลุมพุก
จากมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกซึ่งเป็นฝันร้ายของผู้คนริมชายฝั่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก มาถึงวันนี้กลับถูกแทนที่ด้วยปัญหาใหม่ที่กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นจากปัญหาภาวะโลกร้อน จนอัตราการละลายตัวของน้ำแข็งขั้วโลกสูงขึ้น จนทำให้ปริมาณน้ำในทะเลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการรุกตัวของน้ำทะเลเข้ากลืนพื้นที่ชายฝั่งต่าง ๆ ทั่วโลกให้จมลงไปในทะเลอย่างช้า ๆ และที่แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง ก็กำลังเจอกับภัยคุกคามทางธรรมชาติครั้งใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะการเกิดพายุซัดฝั่งอ่าวไทยหรือ สตอร์ม เซิร์จ [Storm Surge] ซึ่งทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมของทุกปี โดย รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าคณะวิจัยศึกษารูปแบบการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คาดการณ์ว่า “ในอีก ๕๐ ปีข้างหน้า ถ้าปัญหาการกัดเซาะของน้ำทะเลยังไม่ได้รับการแก้ไข ชายฝั่งทะเลปากพนังและแหลมตะลุมพุกจะหายไปจากบนพื้นดิน เพราะถูกน้ำทะเลกัดเซาะให้แผ่นดินหายไปประมาณ ๑๖ กิโลเมตร"
หากเป็นดังที่คาดไว้ดังกล่าว ในอีกไม่ช้าชายฝั่งปากพนังถึงปลายแหลมตะลุมพุกจะถูกกัดเซาะจากคลื่นในทะเลที่นับวันจะมีความแรงและสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีความพยายามสร้างแนวกั้นการกัดเซาะของน้ำทะเลด้วยการตอกเสาเข็มเป็นกำแพงขนานกับแนวชายฝั่งในบางส่วนของพื้นที่นี้บ้างแล้ว แต่การแก้ปัญหาเช่นนี้หาใช่ทางออกสุดท้ายที่จะหยุดยั้งภัยธรรมชาติที่มีต้นเหตุมาจากการทำลายธรรมชาติของมนุษย์เอง
ภาณุพงษ์ ไชยคง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Komentáře