เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2552
“อำเภอปากพนังนี้ได้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่สำคัญอย่างไร แต่เมื่อไปถึงที่ ยังรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้นผิดไปเป็นอันมาก ไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งคั่งถึงเพียงนี้…เป็นที่นาอุดมดี ข้างจีนกล่าวกันว่าดีกว่านาคลองรังสิต แลมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จะทำนาได้ใหญ่กว่าที่มีอยู่แล้วเดี๋ยวนี้อีก ๑๐ เท่า เขากะกำลังทุ่งนั้นว่าถ้ามีนาบริบูรณ์ จะตั้งโรงสีไฟได้ประมาณ ๑๐ โรง…นาทั้งมณฑลนครศรีธรรมราชไม่มีที่ไหนสู้...บรรดาเมืองท่าในแหลมมลายูฝั่งตะวันออก เห็นจะไม่มีแห่งใดดีเท่าปากพนัง”
จากข้อความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงสีไฟแห่งแรกในอำเภอปากพนังของนายโค้วฮักหงี ในวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ สะท้อนภาพอดีตของพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของปากพนัง อำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยได้ชื่อว่า “เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้” ผลผลิตข้าวในอำเภอแห่งนี้เคยเป็นสินค้าส่งออกไปเลี้ยงแรงงานชาวจีนที่เข้ามาทำเหมืองแร่และยางพาราในบริเวณหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก อย่างเมืองตรัง พังงา กระบี่ และภูเก็ต ไปจนถึงดินแดน สเตรทส์ เซทเทิลเมนส์ (Straits Settlements) ของอังกฤษ ซึ่งอยู่บริเวณเกาะปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ ทำให้กิจการโรงสีไฟเฉพาะที่อำเภอนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง ๙ โรง และมีเรือสำเภาจีนและเรือกลไฟของบริษัทต่าง ๆ ทั้งในสิงคโปร์และกรุงเทพฯ มาชุมนุมกันเต็มหน้าอ่าวปากพนัง เพื่อรอขนถ่ายข้าวสารไปจำหน่าย สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
วันนี้ภาพความยิ่งใหญ่ของแหล่งผลิตข้าวเพื่อการส่งออกในอำเภอปากพนังได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทุ่งนาที่เคยปลูกข้าวจนไม่มีที่ว่าง บัดนี้กลับมีให้เห็นบางตาลง ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้างหรือเปลี่ยนสภาพไปเป็นเรือกสวนและนากุ้ง กิจการโรงสีไฟที่เจริญรุ่งเรืองเหลือเพียงซากของปล่องโรงสีที่ตั้งตระหง่านเป็นอนุสาวรีย์แห่งอดีตที่ชาวปากพนังภาคภูมิใจ และที่แห่งนี้เรื่องราวแห่งความหลังของชาวนารุ่นผู้เฒ่าถูกเล่าขานเป็นตำนานในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น
คุณรุจาธิตย์ สุชาโต ผู้สืบทอดกิจการโรงสีไฟเอี่ยมเส็งหรือโรงสี ๑ ที่นับกันตามลำดับโรงสีที่อยู่เข้ามาจากอ่าวปากพนัง คุณปู่ของเขาได้ขยายกิจการต่อจากโค้วฮักหงีผู้เป็นอาม่า ตั้งโรงสีไฟแห่งนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ เล่าถึงความเสื่อมของยุคโรงสีไฟในปากพนังไว้ว่า
“คนที่มาทำงานโรงสีส่วนหนึ่งเป็นคนจีน ต้องส่งเงินโพยก๊วนกลับบ้าน แต่มีคนรายงานว่าคนปากพนังนิยมคอมมิวนิสต์ ดังนั้นรัฐบาลจึงห้ามให้เรือเข้าที่อำเภอปากพนัง ถ้าต้องส่งข้าวไปต่างประเทศ เราต้องใส่เรือเล็กวิ่งขึ้นไปทางอำเภอชะอวดแล้วขึ้นรถไฟไปท่าเรือคลองเตยถึงจะส่งได้ พอค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็ต้องลดค่าใช้จ่าย จนชาวนาทำไม่ได้ผลก็ต้องทิ้งนาไป”

ซากปล่องโรงสีไฟและอนุสาวรีย์ปล่องโรงสีทองคำที่อำเภอปากพนัง

บริเวณโรงสี ๑ ในปัจจุบันและคอนโดนกในพื้นที่โรงสี (ภาพโดย น.ส.กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล)
ที่คุณรุจาธิตย์เล่ามานั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะให้ชวนคิดไปเช่นนั้น เพราะนโยบายการควบคุมและจัดการระบบการค้าข้าวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา นับแต่พระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งในประกาศฉบับที่ ๘๕ กำหนดให้มีการควบคุมประเภทผู้ประกอบการค้าข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยโรงสีที่สามารถส่งออกข้าวได้นั้นจะต้องตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนคร จังหวัดธนบุรี หรือจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งสะดวกที่จะส่งข้าวลงเรือเดินทะเลออกไปต่างประเทศเท่านั้น ทำให้โรงสีไฟที่ปากพนังได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้โดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุประการสำคัญที่ทำให้กิจการโรงสีไฟในปากพนังเริ่มเสื่อมลง
และโรงสี ๑ นี้เองก็คือโรงสีไฟโรงสุดท้ายใน ๙ โรงของอำเภอปากพนังที่เลิกสีข้าวไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งปัจจุบันเป็นแห่งเดียวที่ยังคงใช้ประโยชน์บนพื้นที่โรงสีอยู่ โดยหันมาประกอบธุรกิจผลิตอาหารกุ้งและปลาป่น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับธุรกิจประมงและนากุ้งที่เข้ามาทดแทนการผลิตข้าวที่ซบเซาลงไป
เมื่อมองเข้าไปภายในบริเวณพื้นที่ของโรงสี ๑ นอกจากจะเห็นตัวโรงสีที่กลายเป็นอาคารสังกะสีเก่า ๆ และไม่มีปล่องโรงสีให้เห็นอีกแล้ว กลับมีจุดที่น่าสนใจคือตึกทรงสี่เหลี่ยมสูง ๖-๗ ชั้นที่สร้างขึ้นใหม่ด้านหลังตัวโรงสีเก่า ตึกนี้เรียกว่าบ้านนกแอ่นหรือคอนโดนก ซึ่งสร้างไว้เพื่อให้นกอีแอ่นบินเข้ามาสร้างรัง ซึ่งรอบ ๆ ตัวเมืองปากพนังก็มีตึกลักษณะเดียวกันนี้ปลูกขึ้นอยู่จำนวนมาก หากไม่สังเกตให้ดีก็มักคิดว่าเป็นตึกสูงที่คนอาศัยอยู่ทั่วไป
แล้วอะไรล่ะ? ที่ทำให้นกอีแอ่นเหล่านี้มาอาศัยอยู่ที่ปากพนังได้
“บ้านนกแอ่น”อนาคตใหม่ของปากพนัง?
สาเหตุที่นกอีแอ่นบินเข้าบ้านคนที่อำเภอปากพนัง เพราะอำเภอนี้ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทยที่เป็นเส้นทางอพยพของนกอีแอ่น โดยสังเกตได้จากนกอีแอ่นที่พบในปากพนังจะเป็นสายพันธุ์ แอร์โรดามุส ฟูซิฟากัส (Aerodamus fuciphagus) เป็นนกที่สร้างรังสีขาว ซึ่งปกติจะพบตามเกาะต่าง ๆ บริเวณชายฝั่งของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะติมอร์ และเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามันและอ่าวไทยขึ้นไปจนถึงทะเลจีนใต้ในเวียดนาม โดยมีลักษณะขนาดลำตัวเท่ากับนกกระจอก ตาสีดำขนาดเท่าเมล็ดพริกไทย มีจะงอยปากสั้น กว้างและมีสีดำ ยาวประมาณ ๓ มิลลิเมตร มีปีกยาวแคบ ขนที่ปีกและหางมีสีดำ ซึ่งการที่นกอีแอ่นเลือกมาตั้งถิ่นฐานเพราะมีพื้นที่ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ในบริเวณชายฝั่งรอบอ่าวปากพนังตั้งแต่แหลมตะลุมพุกไปจนถึงอ่าวหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงต่าง ๆ ที่เป็นอาหารของนกอีแอ่น นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำจากแม่น้ำปากพนังและคลองสายต่าง ๆ รวมไปเป็นที่ราบเปิดโล่งซึ่งเหมาะต่อการอาศัยเป็นอย่างมาก
นายสมพงศ์ พงพันธ์ หรือน้าบ่าว เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้นกอีแอ่นเข้ามาอาศัยในบ้านเล่าว่า
“รังนกบ้านแรกเริ่มเกิดจากที่นกอีแอ่นอพยพมาเอง เข้ามาทำรังอยู่ที่ตึก ๓ ชั้นในตลาด หลังจากนั้นคนก็เริ่มปิดบ้านให้นกมาทำรังมากขึ้น แล้วขยายเป็นคอนโดนกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๘ เป็นช่วงที่ราคารังนกดีมาก ๆ ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ ๗-๙ หมื่นบาท”

ตึก ๓ ชั้นในตลาดปากพนัง ที่นกอีแอ่นบินเข้ามาเป็นหลังแรก
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจการสร้างคอนโดนกในตัวเมืองปากพนังจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่ถึง ๑๐ ปีมานี้ จนมีอาคารรังนกเกิดขึ้นแล้วเกือบสองร้อยอาคาร ซึ่งเมื่อสังเกตถึงลักษณะบ้านนกอีแอ่นหรือคอนโดนกที่พบจะมีลักษณะเป็นบ้านตั้งแต่ ๒ ชั้นขึ้นไปจนถึงเป็นตึกสี่เหลี่ยมทรงสูง ๖-๗ ชั้น บนหลังคาของอาคารจะมีน้ำหล่อเลี้ยงเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง ๒๗-๒๙ องศาเซลเซียส รอบ ๆ ตัวอาคารมีอ่างน้ำเพื่อรักษาความชื้น ภายในตัวอาคารมีลักษณะปิดทึบ มีความมืดขนาดที่คนเข้าไปแล้วมองอะไรไม่เห็น ขณะเดียวกันจะพบว่ามีการเจาะช่องขนาดความกว้าง ๖๐x๙๐ เซนติเมตร เพื่อเป็นช่องระบายอากาศและให้นกสามารถบินเข้าออกได้เป็นระยะ ๆ ส่วนบนฝ้าเพดานภายในตัวตึกจะมีการติดแผ่นไม้ขนาด ๒ นิ้ว เป็นตารางยาว ๓๐x๑๐๐ เซนติเมตร เพื่อให้นกใช้ทำรังได้ โดยสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้คือต้องเอามูลนกมาโรยเพื่อปรับกลิ่นภายในตัวอาคารและติดตั้งลำโพงเสียงนกอีแอ่น เพื่อดึงดูดให้พวกเดียวกันเข้ามาทำรังในตัวอาคาร
เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์–เมษายนของทุกปีจะเป็นฤดูผสมพันธุ์ นกอีแอ่นจะบินเข้าบ้านแล้วจะสร้างรังในเวลากลางคืน ใช้เวลา ๑ เดือน รังที่นกสร้างไว้ก็จะแห้งเหมือนวุ้นอัดตัวกันแน่นติดกับฝาผนัง และสามารถเก็บรังได้ตลอดทั้งปี โดยใช้ "เหล็กแซะ" เก็บรังนกอีแอ่นบ้านจากผนัง และสามารถนำไปขายได้กิโลกรัมละหลายหมื่นบาทแต่หากขายเป็นถ้วยสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานแล้วจะตกประมาณถ้วยละ ๒๐๐-๕๐๐ บาท
จากราคาที่แพงของรังนกนี้เอง ชาวปากพนังจึงกล่าวกันว่า การที่นกเข้าบ้าน “โชคดียิ่งกว่าถูกหวย” เพราะไม่ใช่ว่าการสร้างบ้านตามขั้นตอนดังกล่าวครบถ้วนแล้วจะยืนยันว่านกอีแอ่นจะเข้าบ้านหรือคอนโดทุกหลังเสมอไป บางรายต้องรอถึง ๒-๓ ปี กว่านกจะบินมาทำรังในบ้าน ในขณะที่บางรายอาจจะต้องรอนานกว่านั้น เพราะการที่นกเลือกเข้าบ้านหลังใดนั้นไม่มีใครมาควบคุมกำหนดได้ ดังนั้นต้องขึ้นกับโชคของผู้สร้างด้วย ส่วนผู้ที่ประสบความสำเร็จเพราะมีนกบินเข้าบ้านอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างยี่ห้อรังนกเป็นของตัวเองออกจำหน่ายก็มีอยู่ไม่น้อย ทำให้รังนกกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของอำเภอปากพนัง
ปากพนังถือเป็นตัวอย่างของสภาพท้องถิ่นที่ไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าจะพบกับกระแสของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมที่เข้ามานับจากการพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อการส่งออกในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงยุคอุตสาหกรรม ที่ธุรกิจประมงและนากุ้งรุ่งเรืองและซบเซาลงไปตามภาวะตลาดโลกและสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม และแม้ว่าวันนี้รังนกจะเหมือนของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ชาวปากพนัง แต่มันจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนดังอดีตของยุคโรงสี ประมง และนากุ้งหรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่ที่เห็นได้ในตอนนี้คือชาวปากพนังสามารถอยู่และปรับตัวได้แม้ว่าจะยากลำบากอย่างไรก็ตาม
ภาณุพงษ์ ไชยคง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments