เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2549

ชีวิตในความหวาดกลัว
สัญชาตญาณของมนุษย์ในโลกนี้ที่มีลมหายใจไปวัน ๆ ย่อมกลัวความตาย ในขณะที่คนที่มีความเครียดจัดอยากหนีความสับสนวุ่นวายของโลกใบนี้ด้วยการตัดปัญหาฆ่าตัวตายมีมากขึ้น แต่สำหรับผมถ้าเลือกตายได้ ขอตายตอนแก่ ๆ อยากดูโลกนาน ๆ อยากทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม ถึงสังคมจะไม่ให้อะไรกับผมก็ตาม อย่างน้อยก็อยากให้โลกรับรู้ว่ากำลังทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และทำเพื่อใคร ดังนั้น ผมยังไม่อยากตายในเวลานี้ เพราะคิดว่า ยังทำไม่ดีพอ ยังต้องเรียนรู้ ค้นคว้าอะไรอีกมากมายที่ยังไม่รู้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมพอจะรู้หรือทำประโยชน์ให้สังคมและบ้านเมืองได้พอสมควรแล้ว ถ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตและไม่เสียทีที่เกิดมาชาติหนึ่ง
ผมในฐานะตัวแทนนักวิจัยชาวบ้านที่มีความรู้เพียงน้อยนิดเพราะมีการศึกษาต่ำ คิดแล้วอยากโกรธตัวเองที่ต่ำต้อยแบบนี้ แต่ก็ภูมิใจที่มีบุญวาสนาได้ทำงานค้นคว้าวิจัยกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กับเพื่อน ๆ จากมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ และคณะอาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยให้กำลังใจอย่างดีมาตลอด ทุกคนรู้ดีว่า การทำวิจัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเต็มไปด้วยกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ตะปูเรือใบ กระสุนปืน และการวางระเบิดที่พร้อมจะปลิดชีพผู้คนได้ทุกเมื่อในเขตรัศมีของมัน
แม้พวกเราทำวิจัยเกี่ยวกับ “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม” ซึ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของอ่าวปัตตานีในด้านสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคน การทำมาหากิน เรื่องราวในอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน เมื่อปี ๒๕๔๖ ก่อนที่เหตุการณ์ในภาคใต้จะดุเดือดเช่นปัจจุบัน จะมีเหตุการณ์บ้างก็เพียงเบาบาง จากช่วงเวลานั้นสู่เวลานี้ สมแล้วที่คนบางคนบอกว่าเป็นการกระทำของโจรกระจอก แต่โจรกระจอกวันนั้นที่พัฒนามาเป็นขบวนการทุกวันนี้ คงสมใจแล้วสำหรับคนพูด
การเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของอ่าวปัตตานีนั้นย่อมกระทบกับกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมืองในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่คอยให้การสนับสนุนอยู่ไกล ๆ โดยมีเบื้องหลังคือ ผลประโยชน์จากนายทุน มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราไปถ่ายรูปบริเวณโรงงาน และถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างในเขตโรงงานโดยไม่ได้คิดเลยว่าการถ่ายรูปในครั้งนี้มีคนกำลังสังเกตพวกเราอยู่และติดตามอยู่ห่าง ๆ อยู่ในรถเก๋ง พวกเราถ่ายไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ใส่ใจและสนใจ คิดว่ารถคันนี้ผ่านมาโดยบังเอิญ ก็อาจเป็นได้ หลังจากนั้น ผมขี่รถจักรยานยนต์จะไปถ่ายรูปที่บริเวณถมทะเลใกล้ ๆ กับบ้านแหลมนก ผมคิดว่ารถคันนั้นคงไม่ติดตามมาอีกคงจะไปทางอื่นแล้ว เราก็ถ่ายรูปบนรถโดยไม่ได้ดับเครื่องพอเราหันหลังรถคันนั้นยังตามมาอีก ผมตกใจและกลัวมาก ๆ “โอ้พระเจ้า โปรดคุ้มครองเราด้วย” ผมกลับรถออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ในใจคิดว่า “รถคันนั้นไม่ได้บังเอิญผ่านมาแน่ ๆ กำลังตามมามากกว่า” นี่คือ เหตุการณ์หนึ่งที่ได้ประสบกับตัวเอง
ผมพยายามจะบอกว่า การไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ที่มีกลุ่มคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยอิทธิพลและขาดจริยธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก ๆ สำหรับผม ถึงแม้ว่าในเวลานั้นจะต้องต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลที่ยังไม่มีเหตุการณ์ในปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็เสี่ยง
เมื่อมาถึงวันนี้ ก็ยิ่งเสี่ยงไปกว่านั้นหลายเท่า เวลาพวกเราไปเก็บข้อมูลต่างพื้นที่ บางคนก็ใจดียินดีให้ข้อมูลกับพวกเรา โดยหวังว่าข้อมูลเหล่านั้นจะนำการพัฒนาที่ถูกต้องมาสู่หมู่บ้านของเขา บางคนมองเราอย่างไม่เป็นมิตร โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นมองด้วยหางตาเหมือนมีอะไรสักอย่างในใจ อาจจะมองว่าพวกเราเป็นสายมาเก็บข้อมูลป้อนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมองเราเป็นคนแปลกหน้า
ผมคิดว่า “ใช่ พวกเราอาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผมไม่ได้ไปกล่าวหาใครเป็นโจรใครเป็นแนวร่วม พวกเรามาทำความดี” ทำให้พวกเราต้องอธิบายให้เข้าใจว่า พวกเราเป็นใคร มาทำไม ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าที่อธิบายไปนั้น เขาจะเข้าใจตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่ผมดีใจที่มีโอกาสอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ เพราะผมเชื่อว่า “มนุษย์นั้นย่อมมีเมล็ดพันธุ์ความดีในก้นบึ้งของหัวใจมากกว่าความชั่ว” อยู่ที่ตัวเราและสังคมจะทำอย่างไร เพื่อดึงความดีในใจออกมาใช้ประโยชน์ให้กับสังคม แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ยากและลำบากยากเข็ญในสถานการณ์ปัจจุบัน
ตราบใดที่คนภายนอกยังไม่เข้าใจในพื้นที่ ผมพบคำขวัญมากมายที่เขียนตามถนนต่าง ๆ เช่น “เข้าใจเรา เข้าใจเขา ชีวิตสันติสุข” มันเป็นคำขวัญที่ดึงดูดความสนใจดีและดูเท่ห์มากกว่าการแก้ปัญหา การที่คนภายนอกเข้าในพื้นที่เพียงสองสามครั้ง แล้วมาบอกว่าเข้าใจพื้นที่นี้ดี รู้ทุกอย่างดี เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ เพราะผมคิดว่าแม้ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจพื้นที่ของตัวเองดีพอ แล้วนับประสาอะไร คนจากภายนอกจะรู้ทุกอย่างในพื้นที่บ้านคนอื่นเขา “แพะบ้านเราร้อง แมะ แมะเหมือนบ้านเขา แพะบ้านเขาชอบกินใบไม้แต่แพะบ้านเราชอบกินข้าวเกรียบและหัวปลา ต่างทะเลต่างปลา ต่างทุ่งหญ้าต่างแมลง”

ทุกครั้งที่พวกเราไปเก็บข้อมูล สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ สร้างความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ แต่มีกลุ่มคนที่ไม่พยายามจะเข้าใจ ไม่อยากพาชีวิตมาเสี่ยงกับคนที่ไม่รู้จัก (คิดว่าคนที่มาเก็บข้อมูลในสามจังหวัดภาคใต้คงจะทราบดี) เราคิดว่าคงจะหวาดระแวงมากกว่าที่จะไม่พยายามเข้าใจ แม้กระทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่เข้าใจพวกเรา ทำให้ลำบากใจในการเก็บข้อมูล ต้องระวังทั้งสองฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งผู้ก่อความไม่สงบ เวลาขี่รถจักรยานยนต์ต้องเหลียวหน้าดูหลัง แลในกระจกข้างตลอดเวลา
ก่อนเกิดเหตุการณ์ ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ครอบครัวที่บ้านไม่ต้องเป็นห่วง แต่วันนี้ชีวิตที่มีความสุขเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สนุกสนาน กลับกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เศร้าโศก เครียด หวาดระแวง หวาดกลัว วันไหนที่จะออกไปข้างนอกต้องพบหน้ากับลูกๆ และภรรยาก่อน บอกกับลูกว่า “วันนี้พ่อไปก่อนนะเสร็จธุระแล้วพ่อจะรีบกลับมา” ในใจคิดเสมอว่า วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองไหม มีโอกาสจะได้พบลูกเมียอีกหรือเปล่า ถ้าผมเป็นอะไรไป ลูก ๆ และภรรยาใครจะดูแล เขาอาจจะมีคนใหม่แต่ลูก ๆ ล่ะจะทำอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่กับพ่อเลี้ยง
บางครั้งทำให้ผมเครียด เก็บมาฝันร้าย เช่น คืนหนึ่งผมฝันว่า “มีโจรกำลังชักปืนจะยิงผมขณะที่กำลังตัดฝืน” และคืนต่อมาผมฝันอีกว่า “เจ้าหน้าที่จับตัวผม ผมร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ” ผมคงร้องไห้ออกมาจริง ๆ จนทำให้ภรรยาตื่น แล้วปลุกผมขึ้นมาถาม “เป็นอะไรทำไมต้องร้องไห้ด้วย”
ผมคิดว่ายังมีสถานการณ์ความเครียดรูปแบบต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นกับคนในสามจังหวัดภาคใต้เหมือนกับผม
ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ไม่มีเพียงเฉพาะปัญหาความไม่สงบเท่านั้นที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่ยังมีปัญหาทางสังคมภายในอีกมากมาย เช่น วัยรุ่นที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีงานทำ วัยรุ่นกลุ่มนี้จะสร้างกระท่อมเล็ก ๆ อยู่ต่างหาก ไม่ชอบนอนที่บ้าน ผมเคยถามว่าทำไมไม่กลับไปนอนที่บ้าน เขาตอบว่า นอนที่นี่มีความสุขกว่า กลับไปที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่อยู่เพราะไปทำงานมาเลเซีย
ผมคิดว่ากลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้ อาจจะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ต้องจากลูกไปทำงานต่างถิ่นตั้งแต่ เล็ก ๆ ฝากให้ยายแก่ ๆ เลี้ยงที่บ้าน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และไม่ได้รับการอบรมที่ดี ถึงจะมีไม่มากในหมู่บ้าน แต่เราอย่าลืมว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ ตามกระแสโลกนิยมที่เราคาดไม่ถึง เช่น ปัญหายาเสพย์ติด กลุ่มเหล่านี้ทำอะไรก็ได้ที่จะได้มาซึ่งเงิน ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่ผู้รับจ้างก่อความไม่สงบ แต่ผมเป็นห่วง หากพวกเราหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบไม่รีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ส่วนเรื่องที่พวกเราได้พบได้เห็นซึ่งเป็นปัญหาต่อชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดกับชายทะเล ก็คือ เรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ใช่ของตัวเอง บางคนสร้างบ้านอยู่เป็นสิบ ๆ ปีแต่ก็ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย บางคนอาศัยที่ดินของปอเนาะ บางคนอาศัยที่ดินของชาวบ้านที่รอเจ้าของไล่ออก แต่ก่อนคนกลุ่มนี้เคยอยู่ติดกับทะเล พอทะเลถูกกัดเซาะก็หนีไปอยู่ในที่ดินที่กล่าวข้างต้น บางคนมีที่ดินของตัวเองถูกโกงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ฝ่ายรัฐส่วนหนึ่งพยายามแก้ไขปัญหาให้กับคนกลุ่มนี้ แต่ก็ไม่ได้ผล เพระมีกฎกติกาและระเบียบต่าง ๆ ที่ออกมาทำให้คนจนกลุ่มนี้รับไม่ได้ เพราะไม่สามารถปฏิบัติตามกติกาที่ดูเหมือนจะเอื้อให้ผู้มีรายได้มากกว่าเท่านั้น
ผมยอมรับว่า “โลกย่อมเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัตน์ได้ แต่จะแก้ไขปัญหาอย่างไรให้มองเห็นผลกระทบต่อคนในพื้นที่” ทุกวันนี้ สังคมในประเทศไทยวุ่นวายไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ในเมืองกรุงเอง ดีที่เรามีพระเจ้าแผ่นดินเป็นที่พึงของพสกนิกรทั่วประเทศ ผมขอภาวนาให้พระองค์ทรงพระเจริญ อย่าได้เป็นอะไรเลย พวกเรากลัวบ้านเมืองจะพินาศไปมากกว่านี้
มีคนถามว่า “กลัวหรือไม่ อาศัยอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้” แน่นอน ต้องตอบว่าไม่กลัว แต่ในใจก็กลัว แต่ถ้าเรากลัวจนไม่กล้าออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน สักวันหนึ่งความตายจะถามหา เพราะความอดอยาก เราต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ไหนจะเรื่องเสื้อผ้า ไหนจะเรื่องการศึกษา ถึงแม้วันนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วง แต่ก็ต้องทำใจออกไปทำงาน ตัวผมก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ที่เป็นเจ๊ะฆู สอนตาดีกา (เจ๊ะฆู-ครูสอนศาสนาในโรงเรียนตาดีกา, ตาดีกา-โรงเรียนพิเศษในชุมชน สอนศาสนาอิสลามสำหรับเด็กเล็ก) อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ถูกทางการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่า คนที่เป็นเจ๊ะฆูไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีอุดมการณ์ สามารถทำร้ายหรือฆ่าใครก็ได้แม้กระทั้งเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้บาปบุญ ที่ยังบริสุทธ์เสมือนผ้าขาวก็ยังฆ่ากันลงคอ คนที่ตายประจำวันไม่ใช่พุทธอย่างเดียว มุสลิมก็ถูกฆ่าเป็นว่าเล่น คนส่วนใหญ่อยากเห็นความสงบ อยากได้ยินเสียงหัวเราะกลับมา อยากมีความเป็นอิสระในอาชีพเช่นเดิม แล้วใครกันละครับจะเป็นพระเอกเข้ามาแก้ปัญหา สร้างความฝันและความหวังให้กับพวกเราและสังคมกลับมาผาสุกดังอดีตอีกครั้ง
ยิ่งส่งทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนทันสมัย ก็เหมือนยิ่งยุให้เปลวไฟลุกไหม้หนักกว่าเดิม คิดแล้วก็น่าสงสารเจ้าหน้าที่ที่ต้องห่างลูกเมียเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่และถูกทำร้าย ทั้ง ๆ ที่มีปืนครบมือ สำหรับชาวบ้านอย่างพวกเราจะเอาอะไรสู้กับเขาได้ ชาวบ้านบางคนสะท้อนความรู้สึกที่ไม่อาจจะอดกลั้นได้ว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ แล้วพวกเราจะพึ่งใคร”
ผมในฐานะเป็นเจ๊ะฆู ไม่ใช่ว่าไม่กลัวต่อเหตุการณ์ เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่เจ๊ะฆู หรือ ผู้นำศาสนาในพื้นที่นั้นจะต้องถูกเรียกไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ และหากตัวเขาไม่ผิด ทำให้ญาติ ๆ คิดต่าง ๆ นานา เช่น ทำไมต้องมาสอบเขาด้วย ทำให้ภาพดีๆ ของตำรวจหายไปกับการกระทำแบบนี้ และผู้ที่ถูกตำรวจเอาตัวไปสืบสวนกลายเป็นจำเลยต่อสังคมโดยปริยาย
สำหรับตัวผมคิดว่า ความยุติธรรมย่อมคู่เคียงกับคนที่ตั้งใจสร้างความดี ความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตายและเลือนหายไปจากโลกง่ายๆ ถึงจะจากโลกนี้ไปแต่ความดีก็ยังกล่าวถึงไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น ผมไม่กลัวในสิ่งที่ทำ ในทางทฤษฎีความดีย่อมชนะความชั่วได้ แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เลย คนดี ๆ ต้องสังเวยชีวิตเพื่อความสะใจของคนบางคน ผมเองก็มืดแปดด้านที่จะช่วยแนะนำในการแก้ปัญหา หลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ คนดี ๆ ถูกจ้องมองเป็นกรณีพิเศษเพราะผู้ลงมือกระทำนั้นอยู่ในชุดที่มุสลิมสวมใส่ทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการกระทำของคนมุสลิม แต่อย่ามองว่ามุสลิมเป็นแบบนั้นทุกคน เรื่องแบบนี้มีทั่วไป เพราะเพื่ออำพรางตัวเองให้ลอยนวลในสังคมมุสลิมต่อไป
มีคำพูดของบางคนที่พูดแบบปลง ๆ ปนตลกเศร้า ๆ ที่ขำไม่ออกคือ “อีกสองปีข้างหน้า “คนดี ๆ” และ “คนจน” จะไม่มีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกต่อไป เพราะคนเหล่านี้ตายไปหมดแล้ว”
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments