เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2552

ย่านวัดเกตุ ริมน้ำปิงฝั่งตะวันออกในอดีต (ภาพจากหนังสือล้านนาเมื่อตะวา โดย บุญเสริม สาตราภัย)
นับย้อนกลับไปกว่า ๑๐๐ ปี ชุมชนทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำปิงใกล้กับสะพานนวรัตน์ ถูกจัดให้เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ฝรั่ง คนพื้นเมือง มุสลิม ดังเห็นได้จากอาคารสถาปัตยกรรมที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบัน ย่านดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีเรียกว่า “ย่านวัดเกตุ”
เหตุที่เรียก ย่านวัดเกตุ เพราะมีวัดเกตุการามเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นทั้งที่พักพิง สถานศึกษา บริเวณริมน้ำปิงท่าวัดเกตุ ครั้งหนึ่งยังเป็นท่าเรือที่ใช้ขนส่ง ซื้อขายสินค้าจากเชียงใหม่ไปขายยังปากน้ำโพ และกรุงเทพฯ การเป็นท่าเรือสินค้านี้เองที่ทำให้พื้นที่ย่านวัดเกตุการามมีคนจากที่อื่น ๆ เข้ามาอาศัยโดยเฉพาะชาวจีนที่มาทำการค้า ชาวจีนในย่านวัดเกตุมีมาหลายระลอกด้วยกัน จึงทำให้ย่านดังกล่าวมีชาวจีนสะสมอยู่จำนวนมาก
นอกจากชาวจีนยังมีคนเชื้อชาติอื่นได้เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยและทำกิจการอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ชาวอเมริกัน ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนา เราเรียกกันว่า มิชชันนารีหรือหมอสอนศาสนา มีการตั้งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงเรียนดาราวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน มหาวิทยาลัยพายัพ (พัฒนามาจากวิทยาลัยพยาบาลและผดุงครรภ์แมคคอร์มิค) ทั้งยังจัดตั้งคริสตจักรหลายแห่ง
ชาวอังกฤษ ที่เข้ามาทำสัมปทานป่าไม้กับเจ้าเมืองเชียงใหม่และรัฐบาลไทย หรือที่รู้จักกันดีคือ บริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด
ชาวซิกข์ จากแคว้นปัญจาบในอินเดีย ได้เดินทางผ่านทางพม่าเข้ามาตั้งรกรากและศาสนสถานยังชุนชนวัดเกตุ
คนจีนยูนนาน หรือ จีนฮ่อ ที่ทำการค้าแบบวัวต่างม้าต่างจากถิ่นอื่นๆ มีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ และอิสลาม
และคนมุสลิม มาจากปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ ได้มาตั้งรกรากในการทำมาหากิน โดยเฉพาะเรื่องของการค้าเป็นหลัก ต่อมาเมื่อประชากรมากขึ้น จึงได้สร้างโรงเรียน มัสยิดและสุเหร่าขึ้นในย่านนี้ด้วย
ทุกเชื้อชาติที่กล่าวมาล้วนเข้ามาตั้งรกรากยังย่านวัดเกตุอันเป็นย่านแห่งการค้าขายทั้งสิ้น และได้แต่งงานกับคนพื้นเมือง ผสมกลมกลืนกลายเป็นคนย่านวัดเกตุไปในที่สุด อีกนัยหนึ่งก็คือ คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม และซิกข์ พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่นอีกด้วย
ประโยชน์ที่ผู้คนต่างเชื้อชาติได้นำเข้ามาในย่านวัดเกตุและเชียงใหม่ ได้ก่อให้เกิดความเจริญขึ้นในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถานต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ต่างหล่อหลอมรวมกันจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่น่าเข้าไปเยี่ยมชมยิ่งนัก

โรงเรียนนักธรรมวัดสระเกษ พระธาตุ และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ภายในวัดเกตุการาม
ภายในพิพิธภัณฑ์หลังใหญ่แห่งนี้มีหลายสิ่งที่อยากแนะนำ ก่อนอื่นขอแนะนำพื้นที่ในชุมชนเริ่มจากวัดเกตุการาม สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๑ เดิมชื่อ วัดสระเกษ สร้างขึ้นโดยพญาสามฝั่งแกน พระราชบิดาของพญาติโลกราช โดยมีพระยาเมือง พระยาคำ และพระยาลือ พร้อมด้วยบริวารถึง ๒,๐๐๐ คน ในการก่อสร้างวัดเกตุแห่งนี้ (ข้อมูลดังกล่าวหาอ่านได้จากจารึกประวัติวัดเกตุการามที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารภายในวัด) ภายในวัดเกตุการามแห่งนี้ประกอบด้วยวิหารหลังใหญ่ หรือที่เรียกว่า วิหารซด สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังคาซ้อนกัน หากรวมถึงบันไดก็เป็น ๕ ชั้น ถือเป็นวิหารที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีลวดลายการแกะสลักและปิดทองไว้อย่างสวยงาม ภายในวิหารมีธรรมาสน์ และสัตภัณฑ์ที่สมบูรณ์และสวยงามอยู่หน้าพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง หลังพระประธานประดับด้วยพระแผง มีศิลาจารึกบอกเล่าเรื่องราวของวัดเกตุการามเป็นอักษรฝักขามอยู่หน้ามุขวิหารทางทิศใต้
พระอุโบสถแบบล้านนาประดับด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทอง บานประตูประดับด้วยไม้แกะสลักรูปเซี่ยวกางและประดับด้วยตัวกิเลน สิงโตจีนเหยียบมังกร และปลาพ่นน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับอิทธิพลจากจีน สิ่งที่สามารถอธิบายถึงความเป็นชุมชนที่มีบรรพบุรุษจีนได้ดีคงเป็นเจดีย์อัฐิหรือที่เก็บกระดูกของบรรพชนชาวจีนที่เรียงรายอยู่รอบวัด
เจดีย์หรือพระธาตุที่วัดเกตุการามแห่งนี้ จำลองมาจากพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีจอ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล องค์พระธาตุจำลองปลายยอดจะเอียงเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าต้องไม่ให้ยอดชี้ขึ้นไปตรงกับพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ พระธาตุจุฬามณีเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบ ล้านนา ฐานเป็นสี่เหลี่ยมย่อเก็จ หากอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของลำน้ำปิงจะเห็นยอดพระธาตุเอียงอย่างชัดเจน

มิสยิดอัต-ตักวา ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในย่านวัตเกตุ (ภาพจาก www.muslimthai.com)
หลังอุโบสถและพระธาตุจะเห็นอาคารเรือนไม้สักสวยงามตั้งเด่นอยู่ นั่นคืออาคารโรงเรียนนักธรรม วัดสระเกษ (วัดเกตุการาม) สร้างขึ้นปีพ.ศ. ๒๔๖๒ โดยจีนอินทร์ ซิ้มกิมฮั่งเซ้ง (พ่อค้าขายของโชว์ห่วย) พร้อมด้วยนางจีบ ภรรยา โดยถวายให้เป็นโรงเรียนนักธรรมบาลี ภายหลังไม่มีการเรียนการสอน จึงใช้เป็นกุฏิพระและเณรแทน อาคารดังกล่าวเพิ่งมีการบูรณะปรับปรุงและลงรักปิดทองเมื่อไม่นานมานี้เอง
ภายในวัดเกตุการาม ชาวบ้านย่านวัดเกตุยังได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์วัดเกตุขึ้นที่กุฏิเจ้าอาวาสเดิมหรือโฮ่งตุ๊เจ้าหลวงเก่า โดยมีคุณตาแจ๊คหรือ จริณ เบน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของเครื่องใช้ในอดีตทั้งของพระและฆราวาสอยู่จำนวนมาก โดยได้มีการแบ่งห้องจัดแสดงอยู่ ๓ ส่วน ส่วนแรกจะเป็นเครื่องใช้ในอดีตทั่ว ๆ ไป ส่วนที่สองจะเป็นการแสดงของพระพุทธรูป พระพิมพ์ และส่วนสุดท้ายได้จัดแสดงเกี่ยวกับธงและเครื่องประดับ พัดยศ ทั้งของเจ้านายเมืองเหนือและพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ด้านล่างของพิพิธภัณฑ์ยังเป็นลานจัดแสดงภาพเก่าเล่าขานเรื่องราวของชุมชนย่านวัดเกตุและเชียงใหม่ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปศึกษาอีกด้วย
พื้นที่อีกส่วนหนึ่งของวัดเกตุคือท่าเรือวัดเกตุ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งต่าง ๆ ทั้งของย่านวัดเกตุและเมืองเชียงใหม่ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้คน การค้า ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ท่าเรือดังกล่าวก็คือ บริเวณหัวสะพานจันทร์สมอนุสรณ์ทางฝั่งวัดเกตุนั่นเอง
ออกจากประตูวัดเกตุการามเลี้ยวขวาไม่ถึง ๑๐๐ เมตร บริเวณทางซ้ายมือ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของบริษัท บริติช บอร์เนียว จำกัด มาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนจนปัจจุบัน โดยบริษัทดังกล่าวได้รับสัมปทานตัดไม้จากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เป็นเวลา ๑๐๐ ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ สมัยรัชกาลที่ ๔ สัญญาสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ในขณะที่ยังดำเนินการอยู่นั้น ได้มีการเข้ามาในย่านวัดเกตุของคนในบังคับอังกฤษด้วย ทั้งพม่า ไทใหญ่ เงี้ยว มอญ เพราะคนเหล่านี้เชี่ยวชาญในการตัดไม้ เป็นเหตุให้ย่านวัดเกตุมีอัตราการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติ เมื่อเดินเข้าไปภายในรั้วดังกล่าว จะเห็นบ้าน ๓ หลัง แต่เดิมคือที่ทำการของบริษัท แต่ละหลังล้วนสร้างด้วยไม้สักเต็มใบ มีเสามากกว่า ๑๐๐ ต้น หลังใหญ่สุดมีเสามากถึง ๑๓๗ ต้น ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวถูกแบ่งเป็นมูลนิธิบ้านสมานใจ (ศูนย์พัฒนาเพื่อสร้างสรรค์คนพิการ-ซาโอริ) แบ่งให้ต่างชาติเช่าบ้าง เป็นห้องพักบ้าง เพราะพื้นที่ย่านวัดเกตุ ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ที่ชาวไทยและชาวต่างชาติถวิลหาแทบทั้งสิ้น
ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา เป็นมัสยิดศูนย์กลางของชาวมุสลิมย่านวัดเกตุ มุสลิมที่อยู่ในย่านวัดเกตุมีมาจากหลายประเทศ หลายเชื้อชาติ กล่าวคือ ก่อนจะมาเป็นชุมชนมุสลิมอย่างเช่นทุกวันนี้ พื้นที่เดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ ซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของโรงเรียนจิตต์ภักดีปัจจุบัน ก่อนหน้านั้นมีการอยู่ร่วมกันหลายชาติพันธุ์ ลักษณะเป็นชุมชนแออัด ขาดระเบียบวินัย มีทั้งซ่องโสเภณี ร้านขายเหล้าทั่วชุมชน มีมุสลิมอาศัยปะปนในชุมชนไม่เกิน ๑๐ ครอบครัว มีทั้งมุสลิมเชื้อสายจีนยูนนาน อินเดียปากีสถาน บังกลาเทศ ชาวมุสลิมที่นี่มีการเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มีการแต่งงานในกลุ่มมุสลิมกันเอง คนอินเดียเชื้อสายปากีสถานในย่านนี้เป็นคนที่อยู่ใต้ปกครองของนักล่าอาณานิคมอังกฤษ ติดตามเจ้านายอังกฤษเพื่อมาทำงานกลุ่มหนึ่ง และผู้อพยพกลุ่มหนึ่ง ความสัมพันธ์ของมุสลิมด้วยกันและมุสลิมกับคนท้องถิ่นในย่านนี้ค่อนข้างจะดี มีการไปมาหาสู่กันโดยผ่านทางวิถีประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา
พระศาสนสถานคุรุดวารา เชียงใหม่ หรือวัดซิกข์ ตั้งอยู่ริมกำแพงวัดเกตุการาม ชาวซิกข์ในย่านวัดเกตุเกิดขึ้นจากชาวอินเดียในแคว้นปัญจาบ เดินทางมาค้าขายและอาศัยอยู่ในย่านการค้าวัดเกตุ ต่อมามีชาวซิกข์ด้วยกันอพยพเข้ามา จึงร่วมกันสร้าง พระศาสนสถานคุรุดวาราขึ้นริมกำแพงวัดเกตุ พร้อมทั้งตั้งบ้านเรือนอาศัยร่วมกันกับชาวพื้นเมืองและชาวจีนที่มีมากในชุมชน
สถานศึกษาและสถานพยาบาลในย่านวัดเกตุ เกิดจากกลุ่มมิชชันนารีอเมริกาที่เข้ามาสอนศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย่านวัดเกตุมีสถานศึกษาและสถานพยาบาลที่สำคัญ คือ
โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๐ เป็นโรงเรียนชายที่เกิดจากการเข้ามาสอนศาสนาของชาวอเมริกัน คือ ศาสนาจารย์เดวิด กอร์มเลย์ คอลลินส์ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน แต่เดิมโรงเรียนดังกล่าวชื่อว่า โรงเรียนชายวัดสิงห์คำ หรือ Chiang mai boy’s school ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง ติดกับวังสิงห์คำ ต่อมานักเรียนมีจำนวนมากขึ้น จึงย้ายมาตั้งอยู่บริเวณปัจจุบัน คือ ใกล้ลำน้ำปิงฝั่งตะวันออกในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ และปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้รับพระราชทานนามโรงเรียนใหม่จากรัชกาลที่ ๖ ว่า The Prince Royal’s College
โรงเรียนดาราวิทยาลัย เป็นที่ดินที่เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่ ประทานให้แก่ ดร.แมคกิลวารี ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ดร.แมคกิลวารีและภรรยา นางโซเฟีย แมคกิลวารี เห็นความสำคัญของการศึกษาเด็กหญิง จึงนำเด็กหญิงที่เข้ารีตศาสนาคริสต์มาสอนเย็บปักถักร้อย รวมถึงสอนอ่านและเขียนหนังสือ ต่อมาเมื่อมีมิชชันนารีจากกรุงเทพฯ มาช่วยสอนหนังสือ จึงเปิดการเรียนการสอนอย่างจริงจัง แรกเริ่มมีนักเรียนหญิงเพียง ๒๐ คน เดิมทีชาวบ้านเรียกว่า โรงเรียนสตรีสันป่าข่อย แต่เมื่อนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนสตรีเป็นโรงเรียนพระราชชายา เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน
โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ก่อตั้งโดยมิชชันนารีโปรเตสแตนท์ คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน เริ่มจากการที่มิชชันนารีเอาใจใส่ดูแลและรักษาผู้บาดเจ็บด้วยการแบ่งยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งพวกเขาได้นำติดตัวมาใช้กับตนเองและคนในครอบครัว ต่อมาจึงได้ตั้งสถานที่จ่ายยาขึ้น โดยมีแพทย์ชาวอเมริกันทำงานประจำ ในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้พัฒนาเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของน้ำปิง (สถานีกาชาดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ดร.อี.ซี.คอร์ท มิชชันนารีนายแพทย์ผู้อำนวยการคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนร่วมกับ ดร.แมคกิลวารี ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลใหม่ขึ้นทางฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลในปัจจุบัน และให้ชื่อว่า โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ตามชื่อสกุลของนางไซรัส แมคคอร์มิค (Mrs.Cyrus McCormick) ผู้บริจาคเงินในการก่อสร้างโรงพยาบาล
นี่คือกลุ่มอเมริกันที่เข้ามายังพื้นที่เชียงใหม่และย่านวัดเกตุ ซึ่งได้ตั้งสถานที่ต่าง ๆ ทางทิศเหนือของวัดเกตุ การเข้ามาของคนกลุ่มนี้คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ย่านวัดเกตุเกิดความหลากหลายและสามารถอยู่ร่วมกันฉันมิตรได้ ตลอดจนเกิดความเจริญขึ้นไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและสาธารณสุขที่ดีขึ้น ความเจริญส่วนใหญ่อาจกล่าวได้ว่ามาจากทางย่านวัดเกตุก่อนจะขยายไปอีกฝั่งหนึ่งของน้ำปิงก็ว่าได้
พื้นที่วัดเกตุนอกจากจะมีการเข้ามาของคนที่หลากหลายแล้ว ชุมชนย่านวัดเกตุยังเชื่อมต่อกับชุมชนอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเส้นสันป่าข่อย (เส้นทางที่มีกิจการร้านรวงเกิดขึ้นมากมาย เมื่อเส้นทางรถไฟมาถึง) หรือจะเป็นเส้นทางข้ามน้ำปิงไปยังตลาดลำไย ตลาดวโรรส หรือถนนท่าแพ เป็นต้น
“ย่านวัดเกตุ” จากอดีตถึงปัจจุบันทั้งในแง่วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างมาก หากแต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นกลับนำมาซึ่งเรื่องราวอันหลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การค้า การเดินทาง การศึกษา ฯลฯ
เพราะย่านวัดเกตุมีชีวิตพิพิธภัณฑ์ที่ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments