top of page

ชุมชนวัดขนอน วิถีแห่งสายน้ำไม่หวนกลับ

ปกรณ์   คงสวัสดิ์

เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2552


วัดขนอนคงเป็นที่คุ้นหูของใครหลาย ๆ คนผ่านงานนาฏศิลป์หลวงที่ถูกส่งผ่านให้กับชาวบ้านอย่างเช่นหนังใหญ่ที่ยังคงอนุรักษ์เก็บไว้และเหลือเพียงไม่กี่คณะในประเทศไทย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ชุมชนวัดขนอนมีเรื่องราวความเป็นมาและวิถีชีวิตที่น่าสนใจเฉพาะตัวในแบบคนลุ่มน้ำแม่กลอง 


วัดขนอน ศูนย์รวมจิตใจของชุมชนมายาวนาน


ย่านหลากกลุ่มชน

วัดขนอน เป็นชื่อของชุมชนหมู่ ๔ ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอโพธารามประมาณ ๔ กิโลเมตร ชุมชนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดขนอนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านมาเนิ่นนาน

  

วัดขนอนเป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณนี้บางท่านเชื่อว่าเป็นที่เก็บภาษีอากรของเรือที่มาค้าขายทางแม่น้ำแม่กลอง ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของเส้นทางน้ำ และตัววัดดั้งเดิมหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำแม่กลอง

 

สืบเนื่องมาจากสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมืองราชบุรีมีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นในที่อยู่ติดกับชายแดนพม่าด้านตะวันตก จึงมีชนกลุ่มน้อยอพยพเข้ามาอาศัยอยู่เป็นระยะ ๆ ได้แก่ มอญและกะเหรี่ยง กลุ่มชนเหล่านี้เป็นกองลาดตระเวนหาข่าวให้กับสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

 

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อีก เช่น ลาว ถูกกวาดต้อนเทครัวมาในระหว่างสงคราม รวมทั้งชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้เพื่อค้าขายเป็นต้น เมื่อสงครามระหว่างสยามกับพม่าสิ้นสุดลงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ชนกลุ่มต่างๆ ยังคงติดค้างอยู่ในจังหวัดราชบุรี รวมไปถึงชุมชนวัดขนอนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์กระจายตัวอยู่ทั่วไป  


ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองหน้าวัดขนอน อดีตเคยคลาคล่ำไปด้วยเรือของพ่อค้าแม่ขายทั้งคนในและนอกชุมชน

 

พื้นที่รอบ ๆ วัดขนอนแห่งนี้หลากหลายด้วยกลุ่มคนที่อาศัยอยู่และพึ่งพาซึ่งกันและกันจนมองข้ามความต่าง ในหมู่บ้านละแวกวัดขนอนที่อยู่ในเขตการปกครองหมู่ ๔ ในปัจจุบันประกอบด้วย คนไทย คนมอญ คนจีน และคนลาวบางส่วน

 

คนไทย ส่วนมากอาศัยอยู่ละแวกวัดขนอนและใกล้เคียง ทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลัก


คนมอญ ตั้งชุมชนหนาแน่นอยู่ทางทิศใต้ของวัดขนอน ตั้งแต่หมู่ ๑ จนถึงหมู่ ๒ และทางทิศเหนือของวัดขึ้นไป อาชีพหลักไม่ต่างกับคนไทย ส่วนใหญ่ทำนาทำไร่ แต่มอญบางกลุ่มอย่างชุมชนบ้านหม้อที่อยู่ทางเหนือของวัดขนอนเป็นมอญใหม่ หมายถึงกลุ่มมอญที่เข้ามาใหม่ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ กลุ่มนี้ย้ายมาจากปากเกร็ดและสามโคก อาชีพดั้งเดิมเป็นช่างปั้นหม้อขาย

 

คนจีน แรกเริ่มชุมชนมีคนจีนรุ่นแรก ๆ อยู่ทางทิศใต้ของวัดขนอน ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า บ้านสวนขวัญ คนจีนอพยพเข้ามาจากการล่องเรือมาตามลำน้ำแม่กลอง บางส่วนเดินเท้า ส่วนใหญ่ค้าขาย ทำสวนทำไร่ นอกจากนี้ยังมีคนจีนอีกส่วนหนึ่งที่เป็นพ่อค้าเร่ที่เข้ามารับซื้อข้าวที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจมาตั้งแต่ ๓๐-๔๐ ปีแล้ว


คนลาว เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองบริเวณวัดสร้อยฟ้าที่ตั้งอยู่ทิศเหนือของวัดขนอน  แต่ปัจจุบันคนลาวได้ย้ายเข้าไปอยู่ตอนในของริมฝั่งแม่น้ำ แถบบ้านหนองหูช้าง บ้านหนองหญ้าปล้อง บ้านมะขาม บ้านเลือก เป็นต้น ส่วนมากทำนาทำสวน


ย่านค้าขายทางน้ำเก่าแก่

เมื่อสยามทำสนธิสัญญาเบาริงในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ เปิดการค้าเสรีและมีการขุดคลองภาษีเจริญและคลองดำเนินสะดวกเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลองในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕ เป็นการขยายเส้นทางการค้าทางน้ำ การขนส่ง การปลูกข้าว ตลอดจนการอพยพของผู้คน ทำให้การค้าบริเวณลุ่มน้ำแม่กลองขยายตัว มีชาวจีนเดินทางเข้ามาค้าขาย มาแลกข้าวตามหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมทั้งตั้งบ้านเรือนค้าขายสี่ห้าครอบครัวเกือบทุกหมู่บ้าน และกระจุกตัวหนาแน่นในบางแห่งที่เป็นแหล่งทำมาหากิน


ชาวบ้านซักซ้อมพายเรือก่อนถึงเทศกาลวันออกพรรษาของทุกปี 


การขายข้าวจะเป็นลักษณะของการแลกเปลี่ยนในฐานะที่ข้าวมีราคา การซื้อขายจะใช้ข้าวเปลือกแลกข้าวของต่าง ๆ และพ่อค้าคนกลางมักจะเอาสิ่งของอุปโภคบริโภค เช่น เสื้อผ้า น้ำมันก๊าด  ไม้ขีดไฟ เกลือ และอื่น ๆ มาแลก อัตราการแลกนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการกำหนดของพ่อค้าคนกลางเป็นส่วนใหญ่ เพราะชาวนาไม่ทราบราคากลางและการขนส่งข้าวไปขายที่กรุงเทพฯ หรือโรงสีในลุ่มน้ำแม่กลองไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องอาศัยพ่อค้าขนกลาง


พ่อค้าคนกลางส่วนใหญ่เป็นคนจีน คนมอญ ส่วนคนไทยมีน้อย มักพายเรือเล็ก ๆ ไปตามแม่น้ำลำคลองช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ซื้อข้าวโดยนำของไปแลกและนำข้าวไปขายต่อ พ่อค้าคนกลางจะได้กำไรทั้งจากการขายของและนำข้าวไปขายโรงสีใหญ่หรือนายทุนใหญ่ซึ่งเป็นคนจีน

 

นอกจากนี้ชุมชนวัดขนอนยังเป็นย่านค้าขายระดับท้องถิ่นที่สำคัญ การค้าของชุมชนวัดขนอนแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ มีทั้งที่เป็นเรือที่มาค้าขายกับคนที่อยู่ริมน้ำ และในส่วนที่เป็นตลาดบกประมาณสี่ห้าร้านตรงที่ตั้งโรงเรียนของวัดขนอนในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงข้ามฝั่งมาแลกสินค้ากัน อย่างชุมชนวัดคงคาและชุมชนวัดป่าไผ่

   

อีกส่วนหนึ่งเป็นการค้าระยะไกลทางแถบอัมพวา สินค้าที่ขึ้นชื่อของชุมชนวัดขนอนคือกระบอกไม้ไผ่ นำไปแลกของทะเล เช่น น้ำปลา กะปิ เป็นต้น เพราะในอดีตชุมชนวัดขนอนมีต้นไผ่มาก และทางแถบสมุทรสงครามมีการทำน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งต้องการกระบอกไม้ไผ่ไปรองน้ำตาลจากงวงมะพร้าวเป็นจำนวนมาก


สายน้ำก่อเกิดประเพณี

เมื่อย่างเข้าเดือน ๑๑ มหกรรมท้องทุ่งเริ่มเบาลง ตรงกับช่วงออกพรรษาพอดี คนกลุ่มต่างๆ จะร่วมกันทำบุญที่วัดขนอนกันอย่างคึกคัก พบปะพูดคุย ซักถามสารทุกข์สุกดิบกันในช่วงเช้า พอตกบ่ายชาวบ้านจะร่วมกันแข่งขันเรือยาว 


ความจริงแล้วงานจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ๑๐ วัยรุ่นจะนัดหมายกันมายกเรือจากใต้ถุนศาลาการเปรียญออกไปไว้ในที่โล่งแจ้งเพื่อซ่อมแซมเรือ หลังจากนั้นในยามเย็นของทุกวันจะซ้อมพายเรือเพื่อเตรียมแข่งขันกันระหว่างหมู่บ้านในวันออกพรรษาหรือวันทอดกฐิน

 

การแข่งขันเรือยาวแต่ละวัดแต่ละชุมชนจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ หลังออกพรรษาวัดต่าง ๆ จะทอดกฐินและจัดแข่งขันเรือยาว ทยอยกันจัดไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ เป็นอันสิ้นสุดประเพณี

    

แต่ละบ้านในชุมชนจะมีส่วนร่วมในงาน  เพราะจะช่วยกันทำข้าวห่อไปร่วมงานคนละห่อสองห่อตามกำลัง โดยเช้าตรู่ของวันแข่งเรือจะมีคนไปรับข้าวห่อจากแต่ละบ้านเพื่อนำไปแจกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน

 

นอกจากนี้ประเพณีสงกรานต์ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน ชุมชนจะร่วมกันจัดงานประเพณีสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ มีการสรงน้ำพระและมีการละเล่นลูกช่วงพวงมาลัยกันที่หาดทรายหน้าวัดที่น้ำมักแห้งพอที่จะลงไปเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน เหมือนที่ผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชนวัดขนอนหลายคนกล่าวว่า 


“ยังจำได้ว่ามีการละเล่นหลายอย่างเชียว ทั้งสาดน้ำ เล่นลูกช่วงพวงมาลัย สนุกมาก เล่นกันที่หาดหน้าวัดนั่นแหละ” 


แต่วิถีชีวิตและการเล่นน้ำที่หาดทรายหน้าวัดกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เพราะในราว ๓๐ ปีที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อบรรเทาอุทกภัย ซึ่งโดยปกติน้ำในฤดูฝน ทั้งในลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่จะมีปริมาณมาก เมื่อไหลมารวมกันจะทำให้เกิดน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำแม่กลองเป็นประจำ หลังจากสร้างเขื่อนเป็นต้นมา น้ำที่เคยท่วมในหน้าน้ำหลากของทุกปีแทบไม่เคยเกิดขึ้น


การสร้างเขื่อนทำให้ตอนใต้ของแม่น้ำเกิดการตื้นเขินในช่วงน้ำขึ้น จึงทำให้ประเพณีหลายอย่างหายไป เช่น ประเพณีแข่งเรือยาว ประเพณีสงกรานต์เลิกไปพร้อมกับระดับน้ำที่ลดลงและหาดทรายที่หายไป การคมนาคมทางน้ำหมดความสำคัญลง ชาวบ้านหันมาใช้เส้นทางทางบกแทน

 

แม้ว่าปัจจุบันการแข่งขันเรือยาวจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความหมายของการแข่งขันกลับเปลี่ยนไป เพราะมีเงินเดิมพันเข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นผลแพ้ชนะเพื่อเงินรางวัลและการพนันขันต่อ ซึ่งต่างจากวันวานที่เน้นความสนุกสนานและความสัมพันธ์ของคนบ้านใกล้เรือนเคียง


สายน้ำแห่งนี้เคยมีวันคืนที่น่าจดจำ ทั้งความสุขและความทรงจำในช่วงวัยหนุ่มสาวอันเนิ่นนาน และยังคงแจ่มชัดในคนรุ่นเก่าหลายต่อหลายคนในชุมชนวัดขนอน วันนี้คงเหลือแค่เพียงความหลังที่เล่าสู่กันฟัง วันวานกำลังผันผ่านอย่างไม่มีวันหวนกลับ


 

ปกรณ์  คงสวัสดิ์


อ่านเพิ่มเติมได้ที่:


Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page