top of page

ต่อรองโลกาภิวัตน์ ต่อต้านโลกาวิบัติต้องขจัดโลกียวิสัย

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2553


ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นวิทยากรนำคณะท่องเที่ยวเพื่อทางเลือกของบริษัทสยามมิชลิน กรุ๊ป จำกัด อันมีผู้ใหญ่ของเครือซีเมนต์ไทยร่วมเดินทางไปด้วยเช่นทุกปี ไปที่จังหวัดแพร่และน่านเพื่อเรียนรู้และสัมผัสสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมและชีวิตวัฒนธรรมของคนเมืองแพร่และคนเมืองน่าน


เขาช้างผาด่าน ผาแดง ยามเช้าที่เมืองแพร่


โดยทั่วไป การไปเที่ยวนั้นมักมุ่งแต่เรื่องศิลปวัฒนธรรมแต่โสดเดียว ซึ่งก็เป็นการแลเห็นและสัมผัสเพียงรูปแบบที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจแต่เพียงอย่างเดียว หาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นความหมายและสัญลักษณ์ที่เป็นเรื่องลึกลงไปถึงชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนและสังคมไม่


การเลือกเดินทางไปเมืองน่านในครั้งนี้ได้แลเห็นทั้งศิลปวัฒนธรรมและชีวิตวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของผู้คนปัจจุบันในแอ่งแพร่และแอ่งน่าน แอ่งแพร่เป็นแอ่ง [Basin] ของลำน้ำยม ในขณะที่แอ่งน่านเป็นแอ่งของลำน้ำน่าน อันเป็นแควสำคัญที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง


การเดินทางไปน่านต้องผ่านแอ่งแพร่ก่อน จึงต้องทำความรู้จักกับแอ่งแพร่ในเวลาสั้น ๆ ที่บริเวณวัดพระธาตุช่อแฮซึ่งคนล้านนาและคนไทยปัจจุบันเห็นว่าเป็นพระธาตุประจำปีขาลหรือปีเสือ


พระธาตุช่อแฮ เป็นพระบรมธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่ของเมืองแพร่ มีพัฒนาการมาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มาจากสุโขทัย ในทางศิลปวัฒนธรรม พระธาตุช่อแฮคือสิ่งสวยงามและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปกรรมและอารยธรรมที่คนนอกอยากมาเห็นมากราบไหว้ และคนในพากันมาทำพิธีกรรมกราบไหว้และฉลองตามฤดูกาลที่กำหนดในรอบปี


ในปัจจุบันนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองแพร่จนมีการบูรณะและพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวของ ททท. อันเป็นโลกียวิสัย จนกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะบริเวณเขาอันเป็นเขตพุทธาวาสที่ภายในประดิษฐานพระมหาสถูปที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ และเจดีย์อันเป็นพระวิหารได้ถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสมัยใหม่ที่เป็นกุฏิพระสงฆ์ ที่เข้ากันไม่ได้กับบรรยากาศของความขรึมขลังศรัทธา ในขณะที่เบื้องล่างก็กลายเป็นแหล่งตลาดค้าขายสินค้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ทำให้เกิดป่าคอนกรีตขึ้นมาแทนที่ความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ที่เคยมีมาแต่อดีต อันสภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้างใหม่ในปัจจุบันดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อขานรับการท่องเที่ยวแบบล้างผลาญ [Mass tourism] ของ ททท. เช่นนี้ คือสิ่งที่บดบังและทำลายความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมของคนแพร่แต่โบราณจนหมดสิ้น ผู้ที่เสียหายก็คือคนท้องถิ่น [Local stakeholder] ที่ต้องเผชิญกับการล่มสลายทางสังคมแบบประเพณีที่มีมาช้านาน


ข้าพเจ้าเรียนรู้จากผู้รู้ของเมืองแพร่และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและชาติพันธุ์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งของพระธาตุช่อแฮนั้นเป็นจุดสำคัญทางสังคมวัฒนธรรมของเมืองแพร่ เป็นบริเวณเชิงเขาที่ลาดลงมาจากทิวเขาทางตะวันออกของแอ่งแพร่ที่สัมพันธ์กับเขาช้างผาด่านและผาแดง อันเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำของลำห้วยที่ไหลผ่านที่ราบลุ่มเชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุช่อแฮลงสู่ที่ราบลุ่มสองฝั่งลำน้ำยม อันเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่ ลำน้ำลำห้วยเหล่านี้คือต้นน้ำที่ทำให้เกิดการทำฝายและขุดเหมืองหล่อเลี้ยงพื้นที่ราบลุ่มเพื่อการเกษตรกรรมและเพื่อการมีน้ำกินน้ำใช้ของคนเมืองแพร่ทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำยม


ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมืองแพร่แต่เดิมตั้งอยู่ ณ บริเวณพระธาตุช่อแฮ อันเป็นบริเวณที่คนจากที่สูงคือพวกลัวะซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมเคลื่อนย้ายลงมารวมกับกลุ่มคนไทยและลาวที่เป็นคนในที่ลุ่ม รู้จักการชลประทานแบบเหมืองฝาย การผสมผสานของคนจากที่สูงและคนจากที่ลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นจากการมี ศาลขุนลัวะอ้ายก้อม อยู่หน้าดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุช่อแฮ สมัยก่อนบริเวณบันไดขึ้นสู่พระวิหารบนดอยที่อยู่หน้าพระธาตุนั้นเป็นลานกว้าง มีศาลขุนลัวะอ้ายก้อมอยู่ข้าง ๆ หันหน้าลงสู่ที่ราบลุ่มทางตะวันตกเฉียงเหนือและแลเห็นเขาช้างผาด่านและผาแดงอันเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำแต่ไกล ลานกว้างนี้เป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนเมืองแพร่เผ่าต่าง ๆ ที่มาประกอบพิธีกรรมในการไหว้พระบรมธาตุ แต่ปัจจุบันทางวัดและทางจังหวัดทำถนนเข้ามาให้เป็นลานจอดรถสำหรับคนขึ้นไปเที่ยวไหว้พระธาตุ เลยไม่ไยดีกับศาลขุนลัวะอ้ายก้อมที่ในอดีตคือแหล่งของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลพระบรมธาตุและคนเมืองแพร่


พระธาตุแช่แห้งที่เมืองน่าน


การเกิดเมืองแพร่บนฝั่งน้ำยมที่มีการสร้างกำแพงเมืองและขุดคูเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนมาบริเวณชุมชนเก่าที่พระธาตุช่อแฮลงมาตามลำน้ำและเหมืองฝาย เป็นผลมาจากการเรียนรู้ในการจัดการร่วมกันของการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างชัดเจน เพราะการจัดการในเรื่องการชลประทานเหมืองฝายนั้น ทำให้สามารถควบคุมการตั้งหลักแหล่งที่อยู่อาศัยบนที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมถึงได้ นั่นคือไม่เพียงแต่จะตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สามารถทำการเพาะปลูกในพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงได้ดี แต่ยังสามารถควบคุมน้ำไม่ให้ท่วมเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณที่น้ำเอ่อท่วมในบริเวณที่ตั้งเมืองได้ ดังเห็นได้จากการดำรงอยู่ของเวียงแพร่ที่มีกำแพงดินเป็นกำแพงเมืองแบบที่ไม่ก่ออิฐ มีใบเสมารับทางปืน มีป้อมปราการแบบตะวันตกเช่นเดียวกับเวียงร่วมสมัยในที่อื่น ๆ เหตุที่กำแพงเวียงแพร่ไม่เปลี่ยนแปลงก็เพราะยังคงทำหน้าที่ในการป้องกันน้ำท่วมเมืองได้อย่างที่เคยเป็นมาแต่อดีต


เพราะฉะนั้น การมาที่พระธาตุช่อแฮได้แลเห็นตำแหน่งที่ตั้งและภูมิประเทศ ตลอดจนการเรียนรู้ประวัติความเป็นมานั้นจะทำให้เข้าใจถึงกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองแพร่ ที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนเผ่าลัวะบนที่สูง บริเวณเทือกดอยช้างผาด่าน ผาแดง ลงสู่ที่ราบลุ่มบริเวณพระธาตุช่อแฮ ผสมผสานกับกลุ่มชนในที่ราบลุ่มที่มีความรู้ในเรื่องการสร้างฝายและขุดเหมือง อันเป็นกลไกในการจัดการน้ำทั้งเพื่ออุปโภคและบริโภค ตลอดจนการเพาะปลูก ขยายแหล่งที่ทำกินและแหล่งที่อยู่อาศัยลงสู่ที่ราบลุ่ม จนมีการสร้างเมืองแพร่ริมฝั่งน้ำยมขึ้นในที่สุด


เขาช้างผาด่าน ผาแดง คือภูศักดิ์สิทธิ์อันเป็นแหล่งผีต้นน้ำของบรรดาลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงสู่ที่ราบลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างฝายและเหมืองและสร้างบ้านแปงเมืองจากบริเวณพระธาตุช่อแฮมายังเมืองแพร่ เหมืองฝาย คือการจัดการน้ำอันเป็นทรัพยากรร่วมของคนเมืองแพร่ในอดีตที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทั้งที่ลงมาจากที่สูงและคนจากที่ราบซึ่งเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายที่ทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น


เหมืองฝายเป็นภูมิปัญญาของผู้คนที่มีสำนึกร่วมกันของคนเมืองแพร่ เป็นการจัดการน้ำที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ อันได้แก่ น้ำ ดิน และสภาพแวดล้อมในลักษณะที่เป็นนิเวศวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอำนาจเหนือธรรมชาติในทางศาสนา ผีและพุทธอันรวมศูนย์อยู่ ณ บริเวณพระธาตุช่อแฮที่เชื่อมโยงระหว่างลำน้ำลำห้วยจากเขาศักดิ์สิทธิ์ช้างผาด่านมายังที่ราบลุ่มพระธาตุช่อแฮและลงสู่ที่ราบลุ่มริมน้ำยมอันเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่


เหมืองฝายเป็นการจัดการน้ำที่เป็นชลประทานราษฎร์ของผู้คนในท้องถิ่น


แต่ปัจจุบันแอ่งแพร่และบ้านเมืองได้ถูกทำลายจนเกิดภาวะน้ำท่วมและดินถล่ม [Landslide] จากการจัดการน้ำและที่ดินของรัฐอันเป็น ชลประทานหลวง ที่เป็นเทคโนโลยีมาจากภายนอก การจัดการน้ำแบบชลประทานหลวงคือการข่มขืนธรรมชาติ เป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ คือการขุดคลองชลประทานและทำเขื่อนตัดทางน้ำที่เป็นลำน้ำลำห้วยแล้วเบนน้ำไปใช้ตามพื้นที่การเพาะปลูกหรือพื้นที่ทางอุตสาหกรรมของบรรดานายทุน และผู้ประกอบการที่มาจากภายนอก หรือไม่ก็เอาไปกระตุ้นการผลิตแบบละเมิดฤดูกาลธรรมชาติ เช่น การทำนาปรัง เป็นต้น


ในขณะที่การจัดการน้ำแบบชลประทานราษฎร์แบบเหมืองฝายของคนแพร่และคนล้านนาโดยทั่วไปแต่โบราณนั้น คือการจัดการทรัพยากรร่วมของคนท้องถิ่น [Common property] มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คือไม่ทำเพื่อปัจเจกบุคคล หากเป็นการทำเพื่อการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทางสังคม มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติในเรื่องการทำกิน แหล่งทำกินที่สัมพันธ์กับชุมชนทั้งในระดับบ้านเมือง และมีความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติทางศาสนาและระบบความเชื่อที่ควบคุมให้คนอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันในกรอบของกติกาทางสังคม ศีลธรรม และจริยธรรมเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันอย่างราบรื่น


แต่การจัดการชลประทานหลวงของรัฐนั้นเป็นการจัดการแบบโลกีย์ เพื่อตอบสนองความต้องการทางวัตถุที่ไม่มีมิติทางความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย ผลที่ตามมาก็คือเมืองแพร่ถูกทำลายโดยการทำเกษตรอุตสาหกรรมแบบไม่มีฤดูกาล อย่างเช่นเมื่อสองปีที่แล้วมา พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นที่ลาดเชิงเขาจากดอยศักดิ์สิทธิ์ เช่น เขาช้างผาด่าน ผาแดง ถูกโคลนดินถล่ม [Landslide] เรือกสวนไร่นาถูกทำลาย รวมทั้งบ้านช่องเสียหายยับเยิน


แต่คนแพร่ในปัจจุบันที่เป็นการผสมผสานของคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายจากถิ่นต่าง ๆ เข้ามาพร้อมกับอำนาจการจัดการแบบเศรษฐกิจการเมืองของรัฐ พวกคนเหล่านี้คือคนที่คิดเป็นปัจเจก ยุ่งแต่เรื่องวัตถุที่เป็นโลกียวิสัย จึงยากที่จะแก้ไขและบูรณาการเศรษฐกิจสังคมให้มีดุลยภาพดังเช่นอดีตได้


ยิ่งในกระแสโลกาภิวัตน์ของปัจจุบันที่แผ่โครงสร้างเดรัจฉานที่มากับเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่เน้นคนเป็นปัจเจกหรือเดรัจฉานนั้นคือพาหะสำคัญที่บรรดานักการเมือง นักธุรกิจการเมือง ข้าราชการและนักวิชาการที่เป็นทาสของระบบการปกครองประชาธิปไตยแบบตะวันตก และระหว่างเศรษฐกิจแบบเดรัจฉานลงสู่และครอบงำผู้คนในท้องถิ่นนั้น ผลที่ตามมาก็คือโลกาวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


แต่เมื่อข้าพเจ้าและคณะเดินทางข้ามเขาจากแอ่งเมืองแพร่มาสู่แอ่งเมืองน่านก็แลเห็นความแตกต่างระหว่างคนน่านกับคนแพร่


แอ่งน่านและคนน่านยังไม่อยู่ในลักษณะการครอบงำของโลกาภิวัตน์อย่างเมืองแพร่ เพราะแอ่งน่านอยู่ไกลกว่า การคมนาคม เช่น ถนนขนาดใหญ่ และการลงทุนจากพวกเดรัจฉานยังไม่เคลื่อนเข้ามาเท่าใดนัก ทำให้เมืองน่านยังเป็นสังคมที่ผู้คนยังมีหัวนอนปลายตีนอยู่ เพราะสืบเนื่องกันมาอย่างมีรากเหง้า ยังมีภูมิปัญญาทางความคิดและเทคโนโลยีที่ยังพึ่งตนเองได้ในการทำให้เกิดการทำมาหากินที่เป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในลักษณะที่ต่อรองกับโลกาภิวัตน์อยู่


โลกของคนน่านจึงเป็นโลกของคนที่เป็นมนุษย์ ทั้งในสังคมชนบทและสังคมเมือง ในสังคมชนบทผู้คนยังมีที่ทำกิน ทำเกษตรแบบพอเพียง บ้านเรือนแม้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ดูใหม่อย่างฟุ่มเฟือยแบบที่อื่น ๆ ในสังคมเมืองยังไม่มีตึกสูงในรูปของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร วัดวาอารามทั้งวัดประจำบ้านและประจำเมืองยังเป็นวัดที่เรียบง่าย สะอาด มีการจัดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และสาธารณ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีตที่แออัดแบบวัดในเมืองใหญ่ที่มีพวกขุนนางพระที่เป็นเจ้าอาวาสเป็นเจ้าของ


ข้าพเจ้าแลเห็นสิ่งที่ต่างกันราวฟ้ากับดินระหว่างวัดพระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นวัดพระบรมธาตุแห่งเมืองน่านกับวัดพระธาตุช่อแฮของเมืองแพร่ แต่ที่สำคัญเมืองน่านมีการเคลื่อนไหวทางภูมิปัญญาของคนรักเมืองน่านทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในการอนุรักษ์และพัฒนาสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในภาคประชาชน ที่แตกต่างไปจากกระบวนการพัฒนาของรัฐ วิธีคิดและกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมและชีวิตวัฒนธรรมของคนรักเมืองน่านนั้น มีลักษณะเป็นองค์รวมที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คือไม่ใช่เป็นปัจเจกแต่เป็นการร่วมกันของคนในชุมชนท้องถิ่นระดับบ้านและเมือง ที่มีสำนึกร่วมในบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน


ดังเช่นคนในบ้านดอนมูล อำเภอท่าวังผา ที่ได้จัดการอนุรักษ์ลำน้ำน่านและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นให้เป็นของส่วนรวมด้วยภูมิปัญญาที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับแนวคิดและการใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ ชาวบ้านดอนมูลและชุมชนใกล้เคียงล้วนเป็นลูกหลานของคนเมืองหล้า อันเป็นคนไทลื้อที่เคลื่อนย้ายมาจากลุ่มน้ำโขงในแดนประเทศลาว หันมาพึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติเพื่อการอยู่ร่วมกันและการจัดการทรัพยากรร่วมกันจากเจ้าหลวงเมืองล้าซึ่งเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม ด้วยการฟื้นฟูศาลผีเมืองซึ่งเป็นศาลมเหสักข์และการปั้นรูปเจ้าหลวงขึ้นกราบไหว้ เป็นประธานในพิธีกรรมทางความศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน สร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอันเป็นที่รวมของความรู้และภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตวัฒนธรรมร่วมกัน เพื่อให้คนทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นหลังได้เรียนรู้รากเหง้าของตนเอง ในขณะเดียวกันก็อนุรักษ์วัดวาอารามที่เป็นศิลปกรรมแบบไทลื้อ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้มีความงดงามเป็นอัตลักษณ์ของพวกตนอย่างน่าภูมิใจ ทั้งหมดนี้เป็นทั้งการอนุรักษ์และพัฒนาจากคนใน อันเป็นการดำเนินการของภาคประชาชนที่สามารถต่อรองกับการรุกล้ำทรัพยากรและการพัฒนาทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากภาครัฐได้อย่างดียิ่ง


อนุสาวรีย์เจ้าเมืองล้าที่บ้านดอนมูล ตั้งอยู่ริมน้ำน่านและชาวบ้านจัดเรือนแบบไตลื้อให้เป็นตัวอย่างพิพิธภัณฑ์ที่แสดงวิถีชีวิตแบบคนไตลื้อ


การเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนโดยคนในเพื่อประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเช่นนี้ คือสิ่งที่ทำให้เมืองน่านกลายเป็นเมืองที่น่าอยู่และดูเหมือนจะขานรับความสนใจของคนนอก โดยเฉพาะจากแดนมิคสัญญีในกรุงเทพฯ ด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานและสำมะโนครัวมาเป็นคนเมืองน่านกัน


ก็เลยอดวิตกไม่ได้ว่า ถ้าท่านเหล่านั้นมาด้วยน้ำใสใจจริงแล้วก็ดีไป แต่ถ้าหากยังมากับความคิดที่เป็นวัตถุนิยมที่เป็นโลกียวิสัยดังเช่นคนกรุงเทพฯ แล้ว ก็นับว่าน่าเสียใจสำหรับเมืองน่านทีเดียว


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Kommentare


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page