top of page

“ต้องสร้างพลังประชาสังคมต่อรองอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ” เพื่อการอยู่รอดของสังคมไทย

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 1 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2554


ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาตราบจนปัจจุบัน อิทธิพลของโลกาภิวัตน์ที่ครอบงำและมีผลกระทบอย่างร้ายแรงแก่ผู้คนในสังคมไทยก็คือ อำนาจของทุนเหนือรัฐและเหนือตลาดของกลุ่มนักธุรกิจข้ามชาติ



อำนาจทุนดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของเงินตัวเดียว หาได้มีตัวอื่นไม่ และเป็นอำนาจที่ใช้ได้กับรัฐไทย โดยผ่านรัฐไทยลงสู่สังคมข้างล่างได้ดีกว่ารัฐอื่น ๆ ในโลก เพราะรัฐไทยเป็นรัฐรวมศูนย์ที่ทำให้การจัดการทุกอย่างในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง การปกครอง กำหนดมาจากศูนย์กลางแต่ฝ่ายเดียว


รัฐไทยนับว่าเป็นรัฐในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศในโลก โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก แต่ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนแบบผูกขาด โดยผู้ที่มีอำนาจและมีความรู้จากศูนย์กลางเป็นผู้กำหนด ตามความเคยชินของคนจากข้างบนที่ได้รับการยอมรับจากคนข้างล่างมาแต่สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงต่างกันกับสังคมในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ที่ความเป็นประชาธิปไตยนั้น เริ่มมาจากข้างล่างจากการประสบการณ์ในความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของผู้คนหลายท้องถิ่น หลายชาติพันธุ์และหลายศาสนา เป็นประชาธิปไตยที่อุบัติขึ้นในลักษณะที่เป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายและความขัดแย้ง


แต่ที่สำคัญเป็นประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสและพื้นที่ให้คนจากข้างล่างในภาคประชาชนมีอำนาจในการต่อรองและตรวจสอบอำนาจรัฐที่มาจากเบื้องบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพลังประชาสังคม [Civil society] ที่เป็นกลุ่มก้อนและเครือข่าย อำนาจต่อรองของกลุ่มประชาสังคมนั้น โดยหลักการหาได้เป็นอำนาจในการบังคับใช้ [Authoritative power] เช่นของรัฐไทยไม่ หากเป็นอำนาจของการต่อรองและตรวจสอบ [Sanction] รวมทั้งการต่อต้านด้วยสันติวิธี เช่นการเดินขบวนเรียกร้องและที่เข้มข้นก็คือ อารยะขัดขืน [Civil disobedience] เช่น การไม่ยอมเสียภาษี ถ้าหากทางรัฐไม่รับฟังและใช้อำนาจบังคับจนขาดความชอบธรรมก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการจลาจลและสงครามกลางเมือง อันเป็นการปฏิวัติจากข้างล่าง [Civil war] ในที่สุด


หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นยุคของสงครามเย็นที่มีการแบ่งขั้วกันระหว่างประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีกับประเทศประชาธิปไตยสังคมนิยมที่คนทั่วไปเรียกว่า คอมมิวนิสต์ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส คือกลุ่มแกนนำของฝ่ายระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเสรี ในขณะที่รัสเซียและจีน คือแกนนำของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างชั้วประชาธิปไตย ขั้วคอมมิวนิสต์ ได้แบ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ไทยและมาเลเซียกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เวียดนาม ลาว และเขมร ส่วนพม่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการทหาร


อเมริกาใช้ประเทศไทยเป็นปราการสำคัญในการต้านคอมมิวนิสต์จากทางจีน รัสเซียและเวียดนาม โดยการให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหารและการศึกษาที่จะอบรมบ่มสอนให้ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อเมริกาประสบความสำเร็จในการอบรมความเป็นประชาธิปไตยให้แก่ไทยได้อย่างสำเร็จเบ็ดเสร็จ เพราะทำให้เกิดคนไทยรุ่นใหม่ขึ้นที่แตกต่างไปจากคนไทยรุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง เป็นคนไทยรุ่นที่เป็นพ่อแม่คนและรุ่นลูกในขณะนี้ที่รับรู้และยกย่องประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ความคิดและวัฒนธรรมอเมริกันอย่างสุดโต่ง จนเรียกว่าถูกทำให้เป็นคนอเมริกัน [Americanization] ก็ว่าได้ โดยหาตระหนักถึงความเป็นจริงไม่ว่า เป็นเพียงอเมริกันแบบต่อยอดเท่านั้น หาได้มาจากกระบวนการอบรมทางประสบการณ์ที่มาจากรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรมไม่


เพราะฉะนั้น ความเป็นประชาธิปไตยแบบต่อยอดที่รับเข้ามา จึงเป็นประชาธิปไตยข้างบนที่ห่างไกลกับความเข้าใจและประสบการณ์ของคนจากข้างล่าง ประชาธิปไตยของคนจากข้างบนจึงเป็นประชาธิปไตยของกลุ่มปัญญาชน เช่น พวกนักวิชาการที่เป็นด๊อกเตอร์ด๊อกตีน ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับการอบรมปลูกฝังมาจากอเมริกาพวกหนึ่ง กับพวกนักธุรกิจการเมืองร้อยพ่อพันแม่ที่มุ่งหวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพรรคพวกในการเป็นนักการเมือง โดยผ่านการเลือกตั้งเพื่อให้เข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในสภาและเป็นรัฐบาลคุมอำนาจในการบริหารประเทศในลักษณะธุรกิจ การเมือง การตลาด แล้วก็แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพลัดถิ่นเข้ามาทำมาหากินกันในการเป็นรัฐบาล


ข้าพเจ้าเรียกประชาธิปไตยจากข้างบนนี้ว่า ประชาธิปไตยสามานย์ ตามอย่างทุนนิยมสามานย์ของอาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ที่ริเริ่มคำว่า “ทุนสามานย์” เพราะเป็นประชาธิปไตยจากข้างบนที่เกิดจากอำนาจทุนของพวกนักธุรกิจข้ามชาติ ข้ามพรมแดน


ถ้ามองย้อนทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแบบนี้ ฟักตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแต่สมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นต้นมา เพราะเป็นยุคที่มีนักธุรกิจและนักวิชาการที่เป็นพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศแทนกลุ่มเผด็จการทหาร และเป็นรัฐบาลเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า ประชานิยมที่เห็นได้จากการผันเงินลงสู่ชนบท จนทำให้ชุมชนไม่อยากจะพึ่งตนเองอย่างแต่ก่อน หันมาหวังเงินผันจากทางรัฐแทน สืบเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเปลี่ยนสนามรบเป็นการค้า และทุนรับโครงการทางอุตสาหกรรมและการลงทุนจากภายนอก เป็นผลให้คนข้างล่างขายที่ดิน เลิกทำการเกษตร หันมาขายที่ตนเองเป็นแรงงาน ทิ้งถิ่นฐานไม่อยู่และไปทำงานในที่ต่าง ๆ เกิดสภาวะบ้านแตกขึ้นในหลายท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาค ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าหมดแม้แต่ลูกเมียและตนเอง


การสิ้นสุดของสงครามเย็นในสมัยประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ เป็นเหตุให้เปลี่ยนระเบียบโลก [World order] เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติทำให้อเมริกามีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างล้นหลาม ที่จะดลบันดาลให้ประเทศใด ๆ ร่ำรวยหรือยากจนก็ได้ด้วยเล่ห์กระเท่ทางเศรษฐกิจและการทหาร การสงครามและการค้าอาวุธ หลายๆ ประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์แต่ไม่ทันโลกก็อาจเป็นเหยื่อของการเข้ามาแย่งทรัพยากรธรรมชาติของชาติมหาอำนาจเช่น ประเทศไทยยุคฟองสบู่แตกที่ทำให้นักธุรกิจและนักลงทุนชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำกิจการ ใช้ทรัพยากรของประเทศไปเป็นสินค้าเพื่อเอากำไรส่วนใหญ่เป็นของตนเอง ในที่สุดยุคของการจัดระเบียบโลกก็เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคของประเทศมหาอำนาจและบรรษัทลงทุนข้ามชาติครอบครองโลกด้วยการสื่อสาร ด้วยการเทียบระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตนี้สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรได้แทบทุกมุมโลกอย่างไร้พรมแดน ทำให้เกิดอำนาจทุนเหนือรัฐเหนือตลาดขึ้นอันเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ (โลกาพิบัติ?) อย่างแท้จริง


ทุนเหนือรัฐดังกล่าวคือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ไปผูกติดกับการปกครองแบบประชาธิปไตย เลยทำให้เกิดระบบประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมเสรีขึ้น เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยในลักษณะนี้ จึงสามารถนิยามได้ว่าเป็นประชาธิปไตยสามานย์ เป็นประชาธิปไตยแบบซื้อเสียงขายเสียงที่สร้างขึ้น และกำหนดมาจากกลุ่มทุนเหนือตลาดที่ไม่มีพรมแดนนั่นเอง


ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคโลกภิวัตน์ เมื่อเกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่มีนักธุรกิจข้ามชาติเข้ามาบริหารประเทศ ได้นำเอาความคิดประชานิยมมาพัฒนาอย่างสุดโต่งในลักษณะที่เป็นการตลาด เปิดรับการลงทุนจากภายนอกที่ให้โอกาสคนต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจกรรมได้อย่างกว้างขวาง เปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของบ้านเมือง ไม่ว่าการคมนาคม แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งทรัพยากรเพื่อการลงทุน ที่ทำให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาขึ้นทั้งประเทศ อันทำให้พื้นฐานการเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบเดิมแทบหมดไป ประเทศไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว


การเคลื่อนย้ายของผู้คนทั้งภายนอก ภายในเข้าไปทำงานและอยู่อาศัยตามแหล่งทรัพยากรของท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศอย่างรวดเร็ว และไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นได้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมเดิม ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน และสภาพแวดล้อมทางนิเวศวัฒนธรรมของท้องถิ่นจนเกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งการสร้างสำนึกการมองโลกและค่านิยมที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลที่มองและแสวงหาในเรื่องของความต้องการทางวัตถุเพื่อตนเองและพวกพ้อง แทนการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทางสังคม เช่น การรวมกลุ่มแบบครอบครัวและชุมชนในลักษณะเป็นสังคมมนุษย์แต่เดิม


สังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นสังคมที่เจ็บปวด เพราะกำลังขาดความเป็นมนุษย์


อาจวิเคราะห์ออกได้เป็นสองระดับ ระดับบนคือระดับของพวกนักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการ นักวิชาการและคนในสังคมเมืองส่วนใหญ่ เป็นระดับที่กำลังขาดความเป็นมนุษย์ เพราะถูกครอบโดยกระแสโลกาภิวัตน์ คนเหล่านี้นอกจากเน้นตัวตนที่เป็นปัจเจกแล้ว ยังขาดสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน เพราะถูกทำให้กลายเป็นคนของโลกเดียวกันที่ไร้พรมแดน


ส่วนคนระดับล่างแม้ว่าจะอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองในกระแสโลกาภิวัตน์ก็ตาม ก็ยังมีหลายกลุ่มหลายแห่งในหลายๆ ท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นมนุษย์อยู่ คือยังมีความคิดที่จะอยู่ติดที่เป็นกลุ่มเหล่า ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรกรรมแบบพอเพียงที่ทำเพื่อกินก่อนขาย ยังรักษาบ้านเรือนและถิ่นฐานไว้ได้ ตลอดจนยังให้ความสำคัญกับวัดวาอารามและระบบความเชื่อ คือยังคงเป็นคนมีศาสนาอยู่และมีสำนึกในเรื่องชาติภูมิ ที่คนไร้ชาติจากข้างบนมักจะกล่าวหาว่าเป็นพวกคลั่งชาติอะไรทำนองนั้น คนเหล่านี้ยังมีอยู่และทวนกระแสต่อรองกับโลกาภิวัตน์ แต่การดำรงอยู่ของคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามไปจากคนระดับบนที่สยบกับโลกาภิวัตน์ และมักถูกกล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและสังคมของคนเหล่านี้จัดเป็นการกระทำของชนชั้นกลาง อันมีคนเสื้อเหลืองที่เคลื่อนไหวล้มล้างรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของนายกรัฐมนตรีทักษิณให้พ้นอำนาจ


แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลทักษิณและนอมินีก็หาได้มีแนวคิดและพฤติกรรมในการปกครองประเทศแตกต่างไปจากรัฐบาลทักษิณไม่ กลับเป็นรัฐบาลของคนระดับบนที่ขาดความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับรัฐบาลทักษิณและดูจะเลวร้ายกว่าเพราะแทนที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นกลับเลวลงจนเกิดความแตกแยกมากกว่าเดิม


ก็เพราะนอกจากเป็นรัฐบาลที่รวบอำนาจไว้ศูนย์กลางแล้วตามแบบรัฐบาลเดิมในเรื่องประชานิยม มอมเมาชาวบ้านชาวเมืองด้วยทุนอุดหนุนและการคอรัปชั่นนานาประการ


ดูเหมือนความเลวร้ายของทั้งสองรัฐบาลที่ผ่านมาที่ใช้ลัทธิประชานิยมเหมือนกันก็คือ การแย่งและแข่งกัน มอมเมาประชาชนเพื่อการขายทรัพยากรและขายประเทศ ได้เกิดการแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าของกลุ่มผลประโยชน์ [Factions] ที่ต่างอ้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เน้นเสียงข้างมากว่าเป็นสิ่งชอบธรรม โดยไม่ยี่หระกับการซื้อเสียงขายเสียงแม้แต่น้อย ใครมีเงินมากแจกมาก ซื้อมากก็มีสิทธิ์ชนะการเลือกตั้ง อีกทั้งถ้าหากมีการกระทำใดที่ตนต้องเสียประโยชน์และเสียอำนาจก็มักมีการออกมาคุกคามประณามความยุติธรรมและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายสามานย์ไปกับประชาธิปไตยสามานย์ เพราะพอใครได้มามีอำนาจก็แก้กฎหมายเพิ่มกันไม่หยุดหย่อนหลายตระหลบ


มาบัดนี้ รัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งและกำลังจะกลับมามีอำนาจก็ยังคงใช้นโยบายประชานิยมอย่างเดิม แต่ดูเข้มข้นกว่า เพราะสามารถมอมเมาคนให้เป็นพวกอมนุษย์ได้มากกว่า อีกทั้งดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกาและพันธมิตรที่มุ่งหวังจะครอบครองดินแดนและทรัพยากร ด้วยกระบวนการเศรษฐกิจทุนนิยมข้ามชาติ


ดังเห็นได้จากการศึกษาเพื่อการปฏิรูปการปกครองของคณะกรรมการปฏิรูปที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน สังคมเกษตรแบบเดิมที่ประกอบด้วยเกษตรรายย่อย ที่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ปลูกพืชนานาชนิดแบบ กินก่อน เหลือขาย มาเป็นเกษตรกรรมแบบพันธะสัญญาที่ปลูกพืชเชิงเดียวเพื่อขายอย่างเดียว โดยมีนายทุนเป็นผู้กำหนด จนปัจจุบันคนไทยในประเทศที่เป็นเกษตรกรจำนวน ๙๐ เปอร์เซ็นต์มีที่ทำกินเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๙๐ เปอร์เซ็นต์บรรดานายทุนทั้งในชาติและข้ามชาติถือครอบครองหมด


นอกจากนั้นแล้ว ในตามท้องถิ่นต่างๆ แทบทุกภูมิภาคของประเทศ คนท้องถิ่นที่อยู่ในชุมชนมาแต่เดิมก็ถูกคุกคามแย่งที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรจากคนข้างนอกที่เป็นนายทุน เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยและทำกินแบบใหม่ที่ไม่เป็นชุมชนมนุษย์ขึ้นมากมาย เช่น คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และนิคมอุตสาหกรรม


การรุกล้ำและคุกคามของกลุ่มทุนที่มีต่อคนข้างล่างที่เป็นเกษตรกรมาแต่เดิม ในขณะนี้รุนแรงถึงขั้นกดขี่ [Oppression] ทำให้คนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้ที่ทำกินและถูกจองจำในคุกตะราง จนถึงภายในคุกก็มีมาก โดยที่กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังเช่นชาวบ้านในเขตจังหวัดลำพูนที่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ทำกินมากว่าชั่วคน ถูกรัฐออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ให้นายทุนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย ถูกจับและศาลตัดสินลงโทษให้จำคุกจนตายไปหลายคน ซึ่งบางคนมีอายุถึง ๗๐ และ ๘๐ ปี รวมทั้งในเขตจังหวัดลำพูนก็มีการปล่อยให้นายทุนได้สิทธิ์ครอบครองพื้นที่เพื่อทำโรงงานอุตสาหกรรมราว ๔,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ก็มี ลักษณะเช่นนี้แผ่ซ่านไปทั่วราชอาณาจักร


จนกล่าวได้ว่าทั่วทั้งประเทศเต็มไปด้วยราษฎรที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากอำนาจรัฐและทุนเหนือรัฐ จนกลายเป็นคนเสื้อแดงไปหมด การกลายเป็นคนเสื้อแดงนั้นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีที่พึ่ง ต้องหนีไปพึ่งอำนาจนอกรัฐเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งสงครามเย็นที่ชาวบ้านหันไปเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นระบบการปกครองที่เป็นทางเลือกได้ดีกว่าระบบประชาธิปไตยสามานย์รวมศูนย์ของรัฐบาลในยุคนั้น


ปัจจุบันประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยที่ประชาชนขาดที่พึ่งจึงหันไปหารัฐบาลทักษิณ ซึ่งฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์กลมอมเมาชาวบ้านด้วยโครงการประชานิยม จนทำให้เกิดความเชื่อมั่นใน พ.ต.ท.ทักษิณสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณและรัฐบาลนอมินีก็คือตัวแทนของรัฐบาลทุนนิยมสามานย์และประชาธิปไตยรวมศูนย์ รวมอำนาจ และเป็นเผด็จการรัฐสภายิ่งกว่าสมัยใด ๆ ในระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพราะคนเสื้อแดงที่เป็นสมุนและผู้ตามทักษิณ ได้มอมเมาหลอกลวงชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกกดขี่โดยอำนาจรัฐให้มาเป็นพวก ระดมคนเหล่านี้ก่อความจลาจลวุ่นวาย เผาบ้านเผาเมืองถึงสองปีซ้อนในสมัยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์บริหารแผ่นดิน


ขณะนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลง และรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณก็กำลังเข้ามาแทนที่ ก็ยังใช้นโยบายประชานิยม (ฉิบหายนิยม) มอมเมาประชาชนอีก โดยประเดิมแต่แรกการหาเสียงจะขึ้นค่าแรงงานให้กรรมกรเป็นวันละ ๓๐๐ บาท นักศึกษาที่เรียนจบปริญญาตรีจะได้เงินเดือนขั้นแรก ๑๕,๐๐๐ บาท และประกันข้าวเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นต้น


การให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่การหาเสียงและซื้อเสียงเช่นนี้ คือการจุดประกายแห่งความหวังให้กับคนที่ขาดความรู้และสติปัญญาและมักง่ายมักได้โดยแท้ เพราะดูดีและโน้มน้าวได้พวกปัญญาชนที่เห็นใจประชาชนในเรื่องความไม่เป็นธรรมในเรื่องเงินค่าจ้างและเงินเดือน เห็นพ้องด้วยในลักษณะเข้าข้างคนด้อยโอกาส โดยหาคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของบรรดากลุ่มบุคคลที่เป็นนายทุนผู้จ้างไม่ ซึ่งถ้าหากให้ค่อยเป็นค่อยไปแล้วก็จะเกิดการยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง อันเป็นความสมดุลในความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของคนทั้งสองกลุ่มที่เกี่ยวข้อง


แต่ดูเหมือนนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าจ้างและแรงงานดังกล่าวนี้ น่าจะมีสิ่งซ้อนเร้นมากไปกว่านั้นในเรื่องที่จะเป็นการปิดทางให้กับการลงทุนจากภายนอก ที่มีกำลังเงินทุนในการให้ค่าจ้างแรงงานได้มากกว่าคนที่เป็นนายทุนภายในประเทศ ซึ่งนั่นก็จะเป็นการนำไปสู่การขายประเทศ ขายที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรให้แก่ต่างชาติโดยตรง


เพราะฉะนั้น สภาพการทางเศรษฐกิจ การเมืองของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดยรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์อำนาจ ทั้งอำนาจบังคับใช้และใช้เงินงบประมาณของทุกรัฐบาลมาจนถึงสมัยนี้ จึงกำลังเดินหน้าในการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมแทบทุกท้องถิ่นในระดับล่างอย่างโหดร้าย เร่งสร้างภาวะของความไร้ศีลธรรม จริยธรรมและมนุษยธรรม [Demoralization] ขึ้นแก่ผู้คนในสังคมส่วนรวม


ดังเห็นได้จากโพลที่ออกมาว่าคนส่วนใหญ่ไม่รังเกียจคนชั่วครองแผ่นดิน ถ้าหากว่าคนชั่วเหล่านั้นให้คนอยู่ดีกินดีได้


ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่เรียกว่า ประชานิยมนั้นคือฉิบหายนิยม ที่เป็นเครื่องมือของทุนและรัฐที่ฉ้อฉลกำลังสร้างความแตกแยก และความไม่เป็นธรรม รวมทั้งความเหลื่อมล้ำที่กำลังนำพาไปสู่การทำลายร้างชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง [Dehumanization] ในสังคมในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และประเทศชาติในส่วนรวมก็จะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจและปัญญาของพวกมหาอำนาจข้ามชาติทางเศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย


ในฐานะที่ข้าพเจ้าเคยเป็นคนหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป ที่มีคุณอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน ที่เห็นพ้องต้องกันว่า การแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมของประเทศนั้น ความจำเป็นที่ยิ่งยวดก็คือรัฐต้องจัดการให้มีการกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่น โดยให้องค์บริหารท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการให้ในการบริหารท้องถิ่นแทน ตัดหรือลดความสำคัญของส่วนภูมิภาคลง มติและความเห็นเช่นนี้ไม่ได้รับการขานรับทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะเข้ามามีอำนาจ แถมยังเลือกปฏิบัติด้วยการสนับสนุน แต่คณะกรรมการปรองดองโดยมีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน เพราะดูมีประโยชน์แก่คนเสื้อแดงที่ออกมาเผาบ้านเผาเมืองและทำความผิด


การไม่ยอมกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นให้กับ อปท. เช่นนี้ คือการแสดงออกของความต้องการที่จะใช้ความเป็นศูนย์กลางในการใช้อำนาจและเงินอย่างไม่มีทางโปร่งใสได้ในการบริหารประเทศ และขณะเดียวกันก็ยอมสยบต่ออำนาจของทุนเหนือรัฐที่จะมาจากประเทศมหาอำนาจและบรรษัทข้ามชาติ


ในขณะนี้ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศที่ส่งให้เห็นการสมยอมหลาย ๆ อย่างในการที่จะทำให้มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเครือข่ายเข้ามาครอบครองประเทศไทยนับแต่เรื่องศาลโลกตัดสินให้มีการถอนกำลังทหารของทั้งไทยและเขมรออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งทางฝ่ายไทยเสียเปรียบนานาประการ เช่นกำหนดให้ทางฝ่ายไทยยอมให้ฝ่ายพลเรือนของเขมรไปทำการบูรณะจัดการปราสาทพระวิหารและพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่อยู่ในเขตประเทศไทยได้ แถมยังกำหนดให้พื้นที่ถัดจากบริเวณ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณสระตราว ผามออีแดง และภูมะเขือเป็นพื้นที่ปลอดทหารเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ทางฝ่ายมรดกโลกเคลื่อนขยับเข้าผนวกเป็นเขตพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารได้ในอนาคต ทั้งๆ ที่ทางไทยได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว เพราะเบื้องหลังของคณะกรรมการชุดนี้นั้น ล้วนมีฝรั่งเศส อเมริกาและประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ล้วนหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น


แต่ประการสำคัญที่เห็นในเวลานี้ก็คือ การที่รัฐบาลเยอรมันนียกเลิกการประกาศห้ามไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษของรัฐบาลไทยเข้าประเทศเยอรมันได้ นับเป็นการทำลายและท้าทายอำนาจตุลาการอันเป็นเสาหลักที่สำคัญของการปกครองของประเทศอย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเซลล์แมนในการขายแผ่นดินและทรัพยากรของประเทศไทยแทน


ข้าพเจ้าคิดว่า ประเทศไทยและสังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะที่โดดเดี่ยว พึ่งภาครัฐก็ไม่ได้ พึ่งภาคธุรกิจก็ไม่ได้ พึ่งความยุติธรรมจากต่างประเทศก็ไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งตนเองเพื่อความอยู่รอด นั่นคือในหมู่ภาคประชาชน หรือภาคสังคมนั่นเองที่จะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มที่เป็นองค์กรประชาสังคมขึ้น [Civic group] ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางรัฐและ อปท.(องค์กรปกครองท้องถิ่น)


แต่เดิมกลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปขององค์กรเอกชนที่เรียกว่า NGO กลุ่มเหล่านี้มีอยู่ในรูปมูลนิธิ และกลุ่มอิสระที่ได้รับทุนอุดหนุนจากองค์กรต่าง ๆ ทางธุรกิจ หรือสมาคมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา องค์กรเอกชนเหล่านี้ประกอบด้วยคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ที่มีความรักมนุษย์ อยากหาความรู้และสนใจในการทำงานอย่างเสียสละเพื่อสังคม การดำเนินงานขององค์กรอิสระเหล่านี้ ที่ผ่านมาเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ประสบทั้งผลสำเร็จและล้มเหลว แม้ว่าในระยะหลังจะถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกก็ตาม แต่ก็ได้วางรากฐานของการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมไม่น้อย


แต่ที่สำคัญนั้นได้มีบุคคลที่ทำงานเป็นจำนวนไม่น้อยที่ขณะนี้อยู่ในวัยกลางคนและบางคนก็กลายเป็นผู้อาวุโสนั้น มีประสบการณ์ที่ดีทางสังคม เป็นผู้รู้จริงและมีจิตใจที่เสียสละและไม่ท้อถอยที่จะดำเนินการต่อไป คนเหล่านี้ได้ทำการผลักดันและขับเคลื่อนกระบวนการทางสังคม เพื่อให้มีการต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนในภาคประชาชน ในหลาย ๆ ท้องถิ่นอยู่แล้ว


แต่ที่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรนั้น เพราะเมื่อเวลามีการรวมตัวกันของคนในภาคประชาชนในการต่อสู้และต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น กลุ่ม NGO มักถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกมือที่สาม ที่เข้าไปยุแหย่ชาวบ้านให้มีการแตกแยก และทำให้ความเข้มแข็งและพลังต่อรองทางภาคประชาชนอ่อนแอไป


ดังนั้นเพื่อความเข้มแข็งของภาคประชาชนในการที่จะต้องช่วยตนเองเพื่อต่อรองกับอำนาจรัฐและอำนาจทุนนั้น ก็มีการเคลื่อนไหวกันขึ้นใหม่ในการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคม คือต้องประกอบด้วย กลุ่มหรือองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่นที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากผลกระทบจากการเข้ามารุกล้ำและจัดการในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของท้องถิ่น กลุ่มหรือองค์กรนี้ต้องเป็นตัวยืน โดยมีกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มองค์กรอิสระ [NGO] และมูลนิธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างพลังต่อรอง


ข้าพเจ้าเห็นว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มประชาสังคมที่มีอยู่แล้วนี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องกลุ่มองค์กรที่เป็นตัวแทนของคนในชุมชนท้องถิ่น เพราะเท่าที่เข้าใจกันนั้นเห็นว่า องค์กรของชุมชนนั้นอยู่ในพื้นที่ทางการบริหารที่เรียกว่า หมู่บ้าน และตำบลภายใต้การควบคุมของอำเภอ รวมทั้งในหลาย ๆ แห่งก็อยู่ภายใต้ อบต. และ อบจ. ในปัจจุบัน องค์กรชุมชนดังกล่าวนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นองค์กรทางประชาสังคม เพราะเป็นการจัดตั้งโดยอำนาจรัฐ เรื่ององค์กรชุมชนในพื้นที่การบริหารเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่แม้แต่คณะกรรมการปฏิรูปการปกครองก็ยังเข้าใจสับสน เพราะยังหยุดอยู่กับการกระจายอำนาจจากส่วนกลางมายังองค์กรปกครองท้องถิ่น หรือ อปท.แต่เพียงอย่างเดียว โดยคิดว่า อปท. คือตัวแทนของประชาชนในการบริหารปกครองตนเองและต่อรองกับอำนาจรัฐ


ดังเห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นของศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ที่ให้ความสำคัญกับปลัด อบต.เป็นอย่างมาก ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าและผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านคิดว่า อปท.ก็คือองค์กรของรัฐท้องถิ่นที่มีอำนาจในการบริหารและปกครอง ถ้าหากบุคคลที่ดำรงหน้าที่ต่างๆ ในองค์กรนี้ รวมทั้งผู้ที่เป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ตาม เป็นคนฉ้อฉลมาทำงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับบรรดานักการเมืองและข้าราชการในรัฐบาลกลางปัจจุบัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในคณะกรรมการของ อบต. และ อบจ. เอง ในหลายๆ ท้องถิ่นก็อยู่ในลักษณะที่เต็มไปด้วยการทุจริตเป็นประจำ เช่นรายได้ก็ใช้ไปในงานกับสร้างที่ทำการ หรือกิจกรรมเพื่อให้มีค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก


เพราะฉะนั้น ถ้ายังปล่อยให้สภาพการเช่นนี้ดำรงอยู่ การกระจายอำนาจจากส่วนกลางลงสู่ส่วนท้องถิ่นก็คงไม่บังเกิดประโยชน์ในเรื่องความเป็นธรรมและความมั่นคงทางสังคมแต่อย่างใด แต่ถ้าผลทำให้เกิดมีองค์กรประชาสังคมของชุมชนที่ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ต่อรองและตรวจสอบการดำเนินงานของทางฝ่าย อบต. และ อบจ.แล้ว ก็จะทำให้มีการควบคุมจากภาคประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สมัยก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่มีการแบ่งเขตการบริหารออกเป็นหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอดังเช่นทุกวันนี้ แต่มีแต่ชุมชนธรรมชาติที่เรียกกันว่า บ้านและเมือง เป็นชุมชนสองระดับที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ทั้งบ้านและเมืองเป็นสองสิ่งที่แยกกันไม่ออก เพราะสังคมในภูมิภาคนี้พัฒนาขึ้นจากกระบวนการสร้างบ้านแปงเมือง คือในท้องถิ่นหนึ่งซึ่งเป็นนิเวศวัฒนธรรมนั้นจะมีหลายบ้าน [Village] แต่ละบ้านก็จะมีวัดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวัดและชื่อบ้านมักมีชื่อเดียวกัน คนในชุมชนเท่านั้นที่จะรู้ว่าบ้านของตนเองมีขอบเขต และขนาดของชุมชนเป็นอย่างใด


บ้านเป็นชุมชนที่คนเกิด โต และตาย อีกทั้งคนในชุมชนต่างมีความสัมพันธ์กันทางการแต่งงาน หรือการเป็นพี่น้องร่วมบ้าน แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะตีความเป็นมาทางเผ่าพันธุ์และศาสนาที่แตกต่างกันก็ตาม บ้านเป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยอยู่ร่วมกันมาไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วคน ซึ่งอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า บ้านเกิด ความเป็นบ้านเกิดในทางโครงสร้างกายภาพ แลเห็นได้จากการมีอยู่ของบ้าน วัด และแหล่งเผาศพหรือฝังศพ ชื่อบ้านและวัดเป็นชื่อเดียวกัน ตั้งขึ้นกำหนดขึ้นโดยคนในชุมชน โดยดูตามลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นสำคัญ วัดเป็นของคนในชุมชนช่วยกันสร้าง อนุรักษ์และพัฒนาปฏิสังขรณ์ ในขณะที่แหล่งฝังศพ ป่าช้าและเชิงตะกอนเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนในชุมชนอยู่อาศัยได้จนถึงตาย อย่างเช่นชุมชนบ้านหลายแห่งในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ยังมีการรักษาสถานที่และประเพณีการฝังศพและเผาศพของคนในบ้านเกิดของคนอยู่ หลายคนที่ออกไปทำงานข้างนอกอยากจะกลับมาตายและเผาศพที่บ้านเกิดของตน ดูเหมือนชุมชนอิสลามแทบทุกแห่งยังคงรักษาโครงสร้างของชุมชนในเรื่องวัดหรือมัสยิดกับแหล่งฝังศพที่เรียกว่า กูร์โบ ได้ดีกว่าที่อื่น ๆ


นอกจากโครงสร้างทางกายภาพดังกล่าว ก็ยังมีขนบธรรมเนียมและประเพณีและกฎข้อห้ามต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับเวลาและสถานที่ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า จารีต เป็นกลไกที่สร้างความเกาะเกี่ยวให้คนในชุมชนต้องปฏิบัติร่วมกันและรู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ดังเช่นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและประเพณีสิบสองเดือนเป็นต้น คนในชุมชนได้รับการเรียนรู้ในเรื่องจารีตและประเพณีเหล่านี้จากการอยู่ร่วมกัน และจากการถ่ายทอดของคนรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ในรูปแบบที่เรียกว่า การปลูกฝังทางวัฒนธรรม [Enculturation] อันนับเป็นการศึกษาอย่างหนึ่งเพื่อให้รู้จักความเป็นมนุษย์ เป็นการศึกษาทางด้านสังคมวัฒนธรรม ที่ทำให้คนได้รู้จักตนเอง รู้จักครอบครัว เครือญาติ เพื่อนบ้าน ก่อนที่จะไปเรียนรู้เรื่องราวจากภายนอกทางเศรษฐกิจและการเมือง


การอยู่ร่วมกันมาหลายชั่วคนและการรับรู้ในเรื่องความเป็นมาของชุมชนและการยอมรับกติกาในการอยู่ร่วมกันนี้ จะทำให้เกิดสำนึกร่วมกันว่าเป็นคนเกิดในบ้านเดียวกันและเป็นพวกเดียวกัน [Consciousness of the kind] และความผูกพันในท้องถิ่น [Sense of belonging] ที่เรียกว่า เมืองนอน


ท้องถิ่นเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในท้องถิ่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติในนิเวศธรรมชาติเดียวกัน และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ทั้งสามมิตินี้ทำให้ท้องถิ่นกลายเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่ในทางสังคมและการเมืองเรียกว่า บ้านและเมือง หรือพูดย่อ ๆ ว่า บ้านเมือง แต่ถ้าพูดได้มีความหมายลึกลงไปก็เป็น บ้านเกิดเมืองนอน นั่นเอง


บ้านและเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในกระบวนการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นเป็นรัฐและประเทศชาติ เพราะแต่ละท้องถิ่นหรือในนิเวศวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีชุมชนที่เรียกว่าบ้านหลายชุมชน ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ตามสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละสมัยเวลา แต่จะมีชุมชนที่เป็นเมืองอยู่เพียงแห่งเดียวเพื่อรวมศูนย์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม เพราะชุมชนบ้านแต่ละแห่งไม่อาจอยู่ได้ตามลำพัง หากมีความสัมพันธ์กันทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องอาศัยเมืองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะสถานที่และย่านที่เป็นตลาดที่ทำให้ชุมชนเมืองมีขนาดใหญ่ มีคนหลายชาติพันธุ์ หลายภาษาหลายศาสนาและหลายอาชีพ ที่อาจมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์แตกต่างกัน


บ้านและเมืองเป็นชุมชนที่ต้องพึ่งพิงกันเพื่อการอยู่รอด ความต่างกันระหว่างบ้านกับเมืองในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็คือ บ้านเป็นชุมชนที่ผู้คนมีความใกล้ชิดสนิทกัน เช่น เป็นญาติพี่น้องกันหรือเป็นเพื่อนบ้านเดียวกัน มีอาชีพไม่ต่างกัน เช่นเป็นคนชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ทำให้มีวิถีชีวิตและความคิดเห็นที่เหมือนกันคล้องจองกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นสำนึกร่วมกันคล้าย ๆ กับกลไกของเครื่องจักรเครื่องยนต์ [Mechanical solidarity] ในขณะที่เมืองเป็นชุมชนที่มีคนหลายอาชีพหลายที่มาหลายชาติพันธุ์แต่ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกัน เสมือนอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้มีสำนึกร่วมกันในลักษณะที่เป็นอินทรีย์ของสิ่งมีชีวิต [Organic solidarity]


โครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านและเมืองดังกล่าวคือ โครงสร้างพื้นฐานในความเป็นมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคมที่พัฒนาขึ้นในสังคมเกษตรกรรมที่เรียกว่า สังคมชาวนา [Peasant society] อันมีเวลายาวนานมากว่าพันปีในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เป็นโครงสร้างที่บูรณาการคนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์และความเป็นมา ทั้งจากข้างนอกและข้างในให้เป็นกลุ่มเหล่าเดียวกันหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะจากทางตะวันตกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมอุตสาหกรรมมาในยุคโลกาภิวัตน์ของทุกวันนี้


ความเป็นชุมชนบ้านและเมืองอันเป็นชุมชนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมกำลังอยู่ในสภาพล่มสลาย เพราะการครอบงำจากอำนาจในการบริหารและการปกครองของรัฐในเรื่องการปกครองท้องถิ่นที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ต่อมาจนถึงสมัยปัจจุบันในรัฐบาลประชาธิปไตยสามานย์ที่รวมศูนย์ และทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาจากศูนย์กลางและเบื้องบน


ในระบบอำมาตย์เจ้า มาถึงอำมาตย์ไพร่ในรัฐบาลนอมินีของ ...ทักษิณ การล่มสลายของสังคมชาวนาอันเป็นสังคมมนุษย์มาเปลี่ยนสภาพ [Transform] เป็นสังคมอุตสาหกรรมทุนนิยมอันเป็นสังคมเดรัจฉานนั้น เหตุใหญ่มาจากการเคลื่อนย้ายและโยกย้ายถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนไปสู่แหล่งทำงาน เช่นโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว บริการเขตเมืองและแหล่งเกษตรอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลา โดยแทบไม่มีโอกาสปักหลักให้อยู่ติดที่เป็นหลักแหล่ง ผู้ที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเหล่านี้แทบไม่มีหัวนอนปลายตีน และไม่ยอมรับกติกาทางจารีตประเพณีของชุมชนในท้องถิ่นที่ตนเข้าไปอยู่ บางคนเป็นนายทุน เป็นคนมีเงินกว้านซื้อที่อยู่อาศัย แย่งทรัพยากรและที่ทำกินของคนที่อยู่มาก่อน เกิดเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เป็นกำนัน อบต. จนกลายเป็นนักธุรกิจการเมืองในท้องถิ่นไป


กล่าวได้ว่ามาในปัจจุบันนี้แทบไม่มีชุมชนเก่าแก่ในท้องถิ่นใดเลยที่สามารถบูรณาการให้คนที่มาจากข้างนอกกลายเป็นคนในท้องถิ่นได้เลย แถมยังถูกเบียดเบียนให้ออกไปอยู่ในที่อื่น ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นที่ขายไร่นาและที่ดิน เลิกทำเกษตรกรรมแล้วผันตัวมาเป็นแรงงานให้กับแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งประกอบการของบรรดานายทุนในท้องถิ่นใดที่มีอุตสาหกรรมหนักเข้าไปดำเนินการก็จะมีการจัดการสร้างแหล่งที่อยู่ใหม่กับคนทำงานร้อยพ่อพันแม่เหล่านี้ในนามของนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดของบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อะไรต่ออะไรอีกมากมายภายใต้สังคมอุตสาหกรรม


มนุษย์กลายเป็นปัจเจกชนมีตัวตนหรืออัตตาสูง เน้นความสำคัญทางวัตถุ เห็นอะไรก็อยากได้อยากเอา ถึงแม้จะมีการรวมกลุ่มก็เป็นเพียงเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน และมีการขัดแย้งกันจนเป็นปรปักษ์ (faction) และไม่เห็นความสำคัญระหว่างคนกับคน และไม่เห็นคนกับธรรมชาติ เพราะมุ่งหน้าทำลายสภาพแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว และไม่เห็นคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางที่ดีงาม เช่น การยึดมั่นและสยบในอำนาจความเชื่อทางพระศาสนา อันเป็นสถาบันที่จรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรมและจริยธรรม นอกจากการพึ่งแต่เพียงความเชื่อทางไสยศาสตร์ เพื่อเอาตัวรอดแต่เพียงอย่างเดียว


สังคมอุตสาหกรรมที่เป็นอยู่ในขณะนี้คือ สังคมไร้ราก ไร้แผ่นดินเกิด กำลังอบรมสั่งสอนให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นเยาวชนถูกครอบงำไปด้วย ไม่ว่าการศึกษาตั้งแต่เด็กชั้นประถมถึงมัธยม และขั้นอุดมศึกษาตามมหาวิทยาลัยก็กำลังผลิตคนรุ่นใหม่ที่ไร้พรมแดนและไร้รากเช่นนี้


เพราะฉะนั้นการอยู่รอดของสังคมมนุษย์ในประเทศไทยจึงหลีกเลียงไม่ได้ที่จะต้องหันกลับไปทบทวนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ในสังคมที่มีมาในอดีตก่อน [Go back to the basic] นั่นคือหันกลับไปทบทวนสังคมชาวนาและชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนว่าเคยมีความราบรื่นและมีดุลยภาพในการต่อรองกับอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองที่มาจากภายนอกอย่างไร


ชุมชนที่ว่านั้นคือชุมชน บ้านและเมือง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคนในสังคมท้องถิ่น เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม ไม่ใช่พื้นที่การบริหารที่กำหนดโดยรัฐในรูปแบบหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ ชุมชนบ้านจะต้องมีองค์กรชุมชนที่คนในจัดตั้งขึ้นประกอบด้วยบุคคลอาวุโสที่มีความรู้ มีคุณธรรมเห็นโลกมามาก ผู้นำทางศาสนา เช่นพระเจ้าอาวาส บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านเลือกกันเองโดยอาศัยพื้นฐานของการเป็นคนภายในที่มีความประพฤติและมาจากครอบครัวหรือตระกูลที่คนยอมรับ รวมทั้งบุคคลที่ดีมีความเสียสละ มีพฤติกรรมที่เห็นได้ เช่น ครู และคนที่มีความสามารถในกิจกรรมต่างๆ มาเป็นกรรมการชุมชน องค์กรดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกว่า สุเหร่า มีสถานที่พบปะประชุมกันที่มัสยิด ในขณะที่องค์กรของชุมชนทางพุทธประชุมกันที่วัด เช่นที่ศาลาการเปรียญ เป็นต้น


หลายบ้านกลายเป็นเมือง เพราะต้องอยู่ในภูมินิเวศและนิเวศวัฒนธรรมเดียวกัน การจัดการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นก็จะมีสภาผู้อาวุโส อันประกอบด้วยผู้อาวุโสของแต่ละบ้านมาพบปะหารือกันในเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกัน การจัดการกิจกรรมสาธารณะ การป้องกันอุทกภัย พายุ อัคคีภัย โรคระบาดรวมไปถึงความขัดแย้งพิพาทระหว่างกัน สภาอาวุโสดังกล่าวนี้ในสังคมมุสลิมเรียกสภาซูรอ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านชาวเมืองให้ความเคารพและแลเห็นคุณค่า


ทั้งองค์กรชุมชนบ้านและสภาผู้อาวุโสของเมืองดังกล่าวนี้คือกลุ่มประชาสังคม อันเป็นพลังในการจัดการชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของคนในสังคมเกษตรกรรม


กลุ่มพลังดังกล่าวนี้จะต้องได้รับการฟื้นฟูจนมีการยอมรับ [Institutionalization] ให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจแทรกแรง [Sanction] ในการต่อรองจากอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองที่มาจากรัฐและจากทุนเหนือรัฐ องค์กรประชาสังคมทั้งบ้านและเมืองดังกล่าวนี้ คือพื้นฐานของการสร้างขึ้นโดยประชาชนภายในชุมชนเพื่อการอยู่รอดร่วมกันอย่างเสมอภาคที่มีการจัดการการเลือกตั้งโดยคนภายในร่วมกัน นับเป็นองค์กรแบบประชาธิปไตยโดยธรรมชาติ


ข้าพเจ้าสังเกตว่าในการประชุมหารือกันในเรื่องการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางมายังท้องถิ่นนั้น ดูเหมือนจะไม่เห็นและไม่ยอมรับในองค์กรประชาสังคมที่ว่านี้ แต่มักจะมองว่าเป็นสิ่งเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ใน อบต. และ อบจ. หมดแล้ว เพราะคิดว่าบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติการใน อปท. นั้น คือบุคคลที่คนในชุมชนเลือกเข้ามาเป็นกรรมการก็พอแล้ว ปัญหาจึงมีอยู่ว่าถ้าคนที่เลือกเข้ามา เป็นคนไม่ดีได้รับเลือกมาจากการหาเสียงจากสมัครพรรคพวกที่มีอิทธิพลหรือการซื้อเสียงก็จะได้คนที่ทุจริตเข้ามาทำงาน และเบียดเบียนประชาชนอย่างที่แลเห็นอยู่ใน อบต. หรือในคณะกรรมการตำบลที่มีกำนันเป็นผู้มีอำนาจอย่างในขณะนี้


แล้วใครหรือองค์กรใด ๆ ในภาคสังคมจะควบคุมและต่อรองกับ อบต. หรือกำนันในขณะนี้เล่า เพราะแม้แต่อำนาจรัฐที่มาจากส่วนกลางก็ไม่อาจจะจัดการได้ อันเนื่องมาจากคนที่เป็น อบต. และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามานย์ของทุกวันนี้


องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นพลังของภาคประชาชนหรือภาคสังคม มักถูกมองข้ามไปจากบรรดานักวิชาการและนักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการอบรมมาจากทางตะวันตก โดยเฉพาะจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส คนเหล่านี้เห็นว่าเป็นสิ่งล้าหลังหมดยุคไปแล้ว มักเป็นการปฏิเสธที่ควบคู่ไปกับการไม่ยอมรับเศรษฐกิจเพียงพอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทีเดียว


แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เคยสนใจว่า คนในท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่หันมาทบทวนและทำการเคลื่อนไหว อย่างเช่นชุมชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จัดการให้มีเบี้ยกุดชุมขึ้นมาใช้ในการจัดการเศรษฐกิจภายในของตนเอง จนเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักวิชาการแบบตะวันตกมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองไม่ดี

ในทุกวันนี้ องค์กรบ้านและเมืองอันเป็นการจัดตั้งขึ้นโดยคนในท้องถิ่นจะยังไม่เป็นที่ตระหนักของคนในชุมชน อันเนื่องมาจากการครอบงำของความคิดที่ว่า ชุมชนคือหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอก็ตาม แต่ก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนผู้รู้ในภาคประชาชน หรือภาคสังคมอีกมากมาย เช่นกลุ่มของ NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ ทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ ก็ได้ทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นของคนในชุมชนในหลาย ๆ ท้องถิ่นเกือบแทบทุกภูมิภาค ส่วนมากก็เป็นชุมชนที่มีรากเหง้ามาแต่เดิม ที่ยังแลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม คนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติในทางศาสนาและพิธีกรรม แต่ที่สำคัญยังสืบเนื่องทางภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คนรุ่นใหม่ ๆ ยังรับรู้และเห็นคุณค่า


การเคลื่อนไหวและตื่นตัวของคนในท้องถิ่นที่ว่านี้ คนระดับขุนที่เป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหาร นักวิชาการและนักธุรกิจมักมองข้ามไปว่าล้าหลัง ด้อยพัฒนา แต่มองออกไปในระดับข้ามชาติ สนับสนุนให้คนจากภายนอกเข้ามาลงทุนมาตั้งหลักแหล่งอันเป็นการนำคนจากภายนอกทั้งระดับชนชั้นกลางและระดับแรงงานเข้ามา ทำให้การเพิ่มประชากรในประเทศหาได้มาจากการเกิดไม่ หากเป็นการโยกย้ายถิ่นฐานจากภายนอกเข้ามา ซึ่งมีมานานไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประชากรรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เรียนรู้หรือรับรู้ความเป็นมาของบ้านเมืองแต่อย่างใด ขาดความรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม มุ่งแต่เรียนรู้สิ่งที่ห่างตัวในทางเศรษฐกิจ การเมือง จนมีสำนึกเป็นปัจเจกเดรัจฉาน ผิดแผกความเป็นมนุษย์ไป


ความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในทุกวันนี้ก็คือ ทำอย่างไรจะฟื้นความเป็นมนุษย์ที่เคยอยู่ร่วมกันในชุมชนแบบบ้านและเมืองที่เคยมีกลับมา โดยไม่จำเป็นต้องถอยหลังเข้าคลองเป็นแบบเดิมแบบเก่า แต่เป็นแบบใหม่ที่ยังคงความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมอยู่ เพราะแม้แต่บรรดาประเทศทางตะวันตกไม่ว่าอเมริกาและอังกฤษก็ยังมีชุมชนท้องถิ่นดังกล่าวนี้อยู่เป็นชุมชนทางวัฒนธรรมที่แลเห็นทั้งในเขตเมืองและชนบท แต่ประเทศไทยมีแต่เพียงชุมชนทางราชการ หรือชุมชนแบบบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมเท่านั้น


จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าในการทำงานทางด้านมานุษยวิทยาโบราณคดีและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การฟื้นฟูชุมชนธรรมชาติในท้องถิ่นท่ามกลางความล่มสลายของชุมชน ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ไม่ยาก เพราะยังมีรากเหง้าของอดีตอยู่ในแทบทุกภูมิภาค แต่ต้องเริ่มต้นด้วยการปลุกสำนึกร่วมของความเป็นคนที่เกิดในท้องถิ่น คือบ้านเกิดเมืองนอนกลับมา โดยใช้การขับเคลื่อนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การจัดการให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นเองเพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดความรู้และสำนึกร่วมไปยังเด็กที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยการทำให้เกิดหลักสูตรขั้นพื้นฐานของท้องถิ่นและการอบรมยุวมัคคุเทศก์ให้กับเยาวชนเพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่


ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่นคือการถ่ายทอดความรู้ทางชีวิตวัฒนธรรม อันเป็นชีวิตร่วมของคนในบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกัน จากคนรุ่นเก่า รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายมายังคนขั้นลูกหลานและเหลน เป็นประวัติสังคมที่มีชีวิตที่สร้างให้เกิดสำนึกร่วม จะเป็นสิ่งนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรชุมชนที่เป็นพลังของประชาสังคมโดยคนใน ทำให้เกิดการเลือกเฟ้นและเลือกตั้งคนที่ดีมีความรู้และการเสียสละในชุมชนเข้ามาทำงานในองค์กร โดยเฉพาะบุคคลที่ทำหน้าที่ปกครองเป็นผู้ใหญ่บ้าน จะต้องเป็นคนที่สังคมท้องถิ่น รู้จักและแลเห็นคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ใช่คนจากที่อื่นที่เข้ามาหาเสียง ซื้อเสียงและผ่านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้นำ เพราะถ้าหากไม่ได้คนในที่ดีแล้ว ก็อาจเป็นพิษเป็นภัยได้ เมื่อคนเหล่านี้ถูกคัดเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนทำงานในองค์การบริหารท้องถิ่น เป็น อบต. และ อบจ. เป็นต้น


การทำให้เกิดองค์กรชุมชนทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ จะทำให้เกิดกลุ่มพลังจากภายใน อันเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองจากภายนอก กลุ่มพลังนี้จะรวมพลังกับกลุ่มประชาสังคมที่เป็นเครือข่าย ร่วมมือและประสานกันกับกลุ่มอื่น ๆ ในท้องถิ่นอื่นกับกลุ่ม NGO และบรรดามูลนิธิต่าง ๆ เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองกับฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็น อปท. หรือจากรัฐ หรือจากทุนขนาดใหญ่ เพื่อความอยู่รอดของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page