เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2558
เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
“ทวาย” เมืองชายฝั่งทะเลอันดามันในรัฐตะนาวศรีของพม่า ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ใต้สุดของแผ่นดิน ระยะทางห่างจากฝั่งไทยที่ด่านพุน้ำร้อน เมืองกาญจนบุรีเพียง ๑๔๐ กิโลเมตร ผ่านเทือกเขาตะนาวศรี ลำน้ำตะนาวศรี ลงสู่ที่ราบและลุ่มน้ำทวาย ก่อนจะมีแนวสันเขาเตี้ย ๆ กั้นพื้นที่เพื่อเข้าสู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน
และบริเวณนั้นถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมทวายที่กลุ่มบริษัทอิตัลไทยผลักดันมา ๓ ปี โดยจัดการสร้างถนนและจัดพื้นที่ไว้ในเขตชายฝั่งไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนในเขตชายฝั่งหลายแห่งหลายชุมชน และสร้างความกังวลต่อผู้คนจำนวนหนึ่งในเขตทวายไม่ใช่น้อย
โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๕๑เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า จนปี ๒๕๕๓ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานเพื่อดำเนินโครงการเป็นเวลา ๖๐ ปี และจัดการแผ้วถางพื้นที่ หมู่บ้าน และทำถนน โดยร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นสัดส่วน ๗๕% และ ๒๕%
แต่พอปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โครงการนี้ไม่มีแหล่งเงินกู้จึงถูกระงับไปก่อนจะพยายามหาทุนจากที่อื่น ๆ มาร่วมลงทุนหลังจากที่แหล่งทุนหลายแห่งถอนตัวไปเมื่อปลายเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา จึงได้รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันรับรองร่วมลงนามบันทึกเพื่อความเข้าใจ [MoU] กับรัฐบาลพม่าผลักดันให้เกิดโครงการต่อไป

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และอาจารย์ซอ ทูระ ผู้ศกษาเรื่องสภาพแวดล้อมและประวัติศาสตร์โบราณคดีจากทวายกำลังสนทนากัน
ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทอิตัลไทยกับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะที่เพิ่มเข้ามาเพื่อผลักดันโครงการเขตเศษฐกิจพิเศษทวายนี้ให้ได้ และมีการกล่าวถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงจากญี่ปุ่น แต่ทางฝ่ายญี่ปุ่นก็มีเงื่อนไขว่าโครงการนี้ต้องถูกผลักดันให้สำเร็จเป็นรูปร่างเสียก่อน
โครงการทวายบางโครงการอยู่ห่างจากตัวเมืองทวายราวๆ๒๐ กิโลเมตร โครงสร้างพื้นฐานหลักๆ คือ ท่าเรือน้ำลึกและอู่ต่อเรือ โรงกลั่นน้ำมันครบวงจร โรงถลุงเหล็ก โรงงานผลิตปุ๋ยเคมี อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงงานแปรรูปกระดาษ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่หาดมองมะกัน หาดท่องเที่ยวของชาวทวาย อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ การก่อสร้างถนนขยายเป็นสี่เลน การทำเหมืองแร่ต่าง ๆ
แน่นอน สิ่งเหล่านี้กำลังเดินซ้ำรอยโครงการนิคมอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งการก่อสร้างถนนที่คาดว่าจะให้เชื่อมต่อเป็นระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก ผ่านประเทศไทยวกเข้าที่แหลมฉบังแล้วแยกไปออกที่เขมรออกสู่ฝั่งทะเลทางทะเลจีนใต้ อันเป็นความใฝ่ฝันของนักลงทุนมาทุกยุคสมัย

สภาพแวดล้อมตั้งแต่เขตเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองมิตยา สวนหมากตามชุมชนในเขตที่สูง
และบ้านเรือนชาวบ้านทวายที่เมืองวีดี
ในทางหนึ่ง ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นย่อมกระทบอย่างจริงจังต่อทั้งพื้นที่ในทวายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่ในแผ่นดินพม่าเอง และจะส่งผลกระทบแก่พื้นที่ของระบบการขนส่งในประเทศไทยอย่างมโหฬารที่ยังไม่มีกระบวนการศึกษาผลกระทบใด ๆ จากเส้นทางดังกล่าว
แน่นอน ผลกระทบต่อเมือง ผู้คน และชุมชนที่อยู่ในโซนการจัดตั้งพื้นที่อุตสาหกรรม การทำเหมืองแร่ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของทวาย และจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพแวดล้อมอย่างขนานใหญ่จนถึงรากเหง้าโครงสร้างทางสังคม เราจะช่วยกันเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่กำลังสร้างห่วงโซ่ตามมาอย่างมหาศาลทั้งต่อคนทวาย สังคมคนทวาย และสังคมไทยอย่างไร ?
คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะพวกเราเพียงแต่คุ้นเคยกับคำว่า “ทวาย” ทั้งที่ถูกเรียกกลุ่มคนทวายที่เข้ามาตั้งชุมชนในกรุงเทพฯ ยุคเก่า วัฒนธรรมทางอาหาร และคำบอกเล่าในทางประวัติศาสตร์บางช่วงเวลามากกว่าจะรู้จักเมืองทวายอย่างที่เป็นอยู่
เมืองทวายที่เราไม่รู้จัก
หลังจากมีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองทวายสำหรับคนไทยสามารถเดินทางเข้าออกได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเหมือนเมืองอื่นๆ และมีการสร้างจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านพุน้ำร้อน เมืองทวายเปิดรับทุนไทยเสียมากมายจนพอมองเห็นแล้วว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งในอนาคต
เมื่อข้ามเทือกตะนาวศรี ผ่านต้นน้ำตะนาวศรีและลำน้ำสาขาที่เห็นได้ชัดว่า ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำของบริษัทจีน จนลำน้ำตื้นเขิน ขุ่นมัว มองเห็นได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียมและถนนที่เพิ่งตัดผ่านป่าเขาในเขตนี้ เมื่อลงจากเทือกตะนาวศรีแล้วก็ถึงที่ราบลุ่มแคบๆ ของลุ่มน้ำทวาย
เมืองทวายในปัจจุบัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทวาย ซึ่งอยู่ห่างจากปากน้ำที่อยู่ทางทิศใต้ราว ๆ ๔๐ กิโลเมตร และมีเทือกเขาเตี้ย ๆ กั้นระหว่างที่ราบลุ่มลุ่มน้ำทวายภายในและชายฝั่งทะเลที่ติดกับทะเลอันดามัน ข้ามไปสู่อ่าวเบงกอลได้สะดวก
ที่ตั้งของเมืองทวายในปัจจุบัน อยู่ซ้อนทับและเหลื่อมอยู่กับเมืองทวายในยุคอยุธยา ที่มีบทบาทอยู่ในประวัติศาสตร์ของรัฐสยามอยู่ไม่น้อย
ทวายยังมีเมืองโบราณที่สำคัญในยุคพยู่ตอนปลายเรื่อยมาจนถึงยุคร่วมสมัยกับศรีวิชัย จนถึงสมัยอยุธยาซึ่งพบร่องรอยหลักฐานหลายอย่างที่สืบเนื่องในวัฒนธรรมแบบอยุธยา
เมืองทาคะระหรือสาคะระ [Thagara] ที่แปลว่าเมืองสาครหรือสายน้ำในภาษาบาลี อยู่ทางเหนือของเมืองทวายปัจจุบันและอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำทวาย ในบริเวณที่มีลำน้ำสายสั้น ๆ เชื่อมต่อ แต่ปัจจุบันเมื่อไม่มีการใช้งานก็ทำให้ตื้นเขินไปมาก
ตัวเมืองในรัศมี ๑ ไมล์ มีการกำหนดขอบเขตห้ามใช้ที่ดินเพื่อการกระทำต่าง ๆ หลังจากมีโครงการสร้างถนนตัดผ่านและชาวทวายเรียกร้องไปที่รัฐบาลกลางและได้ผลตอบกลับที่ดี ทำให้โครงการสร้างถนนยุติไป ที่นี่มีการขุดค้นทางโบราณคดีจากหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบของพม่าสองสามจุด เช่น ที่บริเวณซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ‘วัง’ ทางฝั่งทิศเหนือทำให้เห็นอาคารในรูปแบบศาสนสถานชุดหนึ่งรวมทั้งสำรวจบริเวณรอบ ๆ และบริเวณที่เรียกว่า ‘ท่าเรือ’ [Jetty] ที่ยังคงมีร่องรอยทางน้ำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ ซึ่งพบโบราณวัตถุและฐานอาคารอิฐหลายแห่ง

ฐานอาคารโบราณสถานในเมืองสาคะระที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็น "วัง"
แต่น่าจะเป็นอาคารทางศาสนาอาจจะเป็นฮินดูหรือพุทธก็ได้

โบราณวัตถุที่พบจากเมืองสาคะระ, แผ่นหินสลักรูปอาจจะเป็นพระศรีหรือลักษมีเทวี เทพแห่งความรุ่งเรืองที่นิยมกันในยุคนั้น (พยู่ตอนปลาย)
เมืองสาคะระน่าจะมีการตั้งถิ่นฐานในรุ่นแรกๆ ในเขตลุ่มน้ำทวาย เพราะพบหลักฐานแตกต่างจากเมืองโบราณในทวายอื่นๆ นักวิชาการบางท่านจัดอยู่ในช่วงยุคเพี่ยวหรือพยู่ [Pyu] ซึ่งกำหนดอายุราว ๖-๑๔ แต่เมื่อเห็นหลักฐานทางโบราณคดี อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ประเมินคร่าว ๆ ว่าอาจจะอยู่ในช่วงยุคปลายของยุคพยู่แล้ว ส่วนอิฐที่พบมีหลายรูปแบบทั้งขนาดใหญ่และเล็กลงมาเล็กน้อยและหลายก้อนมีร่องรอยลายสัญลักษณ์ประทับอยู่หลายแบบ
นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุหลายชิ้นที่ต่อเนื่องกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ขวานหินขัดต่างๆ ลูกปัดแก้วหลายสี และบางชิ้นเป็นหินอาเกต พบแผ่นหินมีรูปสลักอาจจะเป็นพระศรีหรือพระลักษมีก็เป็นได้ พระพุทธรูปนั่งปางประทานอภัยขนาดเล็ก ๆ เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของเมืองทวายซึ่งคล้ายกับพระพุทธรูปนั่งศิลาขนาดใหญ่พบที่วัฒนธรรมทวารวดีแบบภาคกลางของไทยหรือจันทิเมนดุต เกาะชวา
เมืองสาคะระมีการอยู่อาศัยอย่างเบาบางเพราะพบหลักฐานการอยู่อาศัยน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองโบราณสมัยทวารวดีในประเทศไทย แต่มีการขยายขอบเขตของเมืองสองสามครั้ง เพื่อดึงน้ำหรือรับน้ำทางฝั่งตะวันตกและเหนือของเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่ชายเขา เพื่อเก็บน้ำในคูน้ำทางพื้นที่ที่สูงกว่าทางตะวันตก อย่างไรก็ตามก็ยังพบเครื่องถ้วยจีนบางชิ้นและเครื่องเคลือบหยาบๆ ที่แสดงว่ามีการอยู่อาศัยเรื่อยมาจนถึงการร่วมสมัยกับเมืองวีดีหรือเมืองทวายในยุคอยุธยาเช่นกัน

โบราณวัตถุที่พบจากเมืองสาคะระ, ลูกปัดแก้ว

ชิ้นส่วนเทวรูปยืนตริภังค์ น่าจะเป็นเทวรูปเช่นเดียวกับที่พบในแถบคาบสมุทรมลายู-สยามหลายแห่งซึ่งอยู่ในช่วงศรีวิชัย
เมืองโมกติ [Mokti] อยู่ทางใต้ของเมืองทวายทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทวาย เป็นเมืองรูปร่างซับซ้อน เพราะแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ ด้านทิศเหนือมีร่องรอยของแนวกำแพงสามชั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งทางฝั่งขวาที่ติดกับเชิงเขา มีร่องรอยของแนวคันดินในพงป่าที่รกรื้อและเข้าสำรวจรูปร่างที่แท้จริงได้ยาก
กล่าวกันว่ามีการพบเทวรูปทั้งสี่ด้านของเมือง ซึ่งชาวบ้านนำเทวรูปพระนารายณ์มาไว้สักการะที่ริมถนนทางเข้าเมืองด้านเหนือและสร้างหลังคาคลุมอยู่ ส่วนเทวรูปอื่นๆ ที่มีทั้งส่วนที่ใส่เครื่องประดับยืนตริภังค์ พระคเณศวร พระนารายณ์ ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองทวายที่วัดใหญ่ประจำเมือง และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ พระพิมพ์ขนาดใหญ่เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ และปางหัตถ์แตะธรณี มีสถูปจำลองประดับทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายคลึงกับพระพิมพ์ที่พบในเขตคาบสมุทรภาคใต้และพบเป็นจำนวนมาก
อายุของเมืองนี้น่าจะอยู่ในช่วงระหว่างช่วงอายุที่สืบเนื่องมาจากเมืองสาคะระในรุ่นพยู่ตอนปลายและสมัยอยุธยา จากวัตถุที่พบที่เป็นเทวรูป และพระพิมพ์ที่พบเช่นเดียวกันในแถบคาบสมุทรภาคใต้ ทำให้เห็นว่าน่าจะอยู่ช่วงกลุ่มรัฐศรีวิชัยหรือบ้านเมืองที่ติดต่อค้าขายทางทะเลในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงเมืองโบราณ ๓ แห่งในที่ราบลุ่มน้ำทวาย
เมืองสาคะระ เมืองโมกติ และเมืองวีดี

บริเวณเนินดินกลางทุ่งในเขตที่มีแนวคันดินซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นส่วนของวังเจ้าชายรัชทายาท ใกล้กันนั้นมีบ่อน้ำดื่มศักดิ์สิทธิ์และมีตำนานกล่าวถึงเจ้าชายชาวฉานซึ่งคนทวายเรียกชื่อทั้งคนจากรัฐฉานและคนจากเมืองไทย เป็นเนินดินศักดิ์สิทธิ์ที่ยังใช้กราบไหว้ประจำปีและไม่มีผู้ใดไปทำลาย

โบราณวัตถุพบที่เมืองวีดี เหรียญตะกั่วและดีบุกภาพบนเหรียญที่ปรากฏส่วนใหญ่เป็นสัตว์ในจินตานาการทางพุทธศาสนาเป็นพวกสัตว์ผสมบ้าง เช่น นาค หงส์ มังกร ?


พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยและพระพุทธรูปที่พระพักตร์ยังคงเค้าลักษณะพระรุ่นอู่ทองที่วัดชินโมที ในเมืองโมกติ ที่นี่พบระฆังที่กล่าวถึงชนชั้นสูงที่เป็นคนไทยมาถวายไว้ ศักราช พ.ศ. ๑๙๗๕

เทวรูปพระนารายณ์ที่ชาวบ้านนำไปตั้งไว้หน้าเมืองโมกติ
แต่เมืองนี้ยังมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องตลอดมาจนถึงเมื่อคราวกรุงศรีอยุธยายกทัพมายึดทวายและผลัดกันปกครองกับฝ่ายพม่าตั้งแต่เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ดังเห็นได้จากวัดเก่าที่อยู่บนเขา ซึ่งเป็นวัดสำคัญของเมืองและมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเขานี้ด้วยทางฝั่งทิศใต้ใกล้กับลำน้ำที่ต่อเนื่องกับแม่น้ำทวาย พบจารึกภาษาพม่าพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่มักพบในเขตทวายซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทางอยุธยา รวมทั้งการมีโบสถ์ที่อยู่บริเวณนี้ด้วย
ส่วนที่กลางเมืองมีวัดสำคัญของเมืองทวายคือวัดชินโมที ซึ่งมีตำนานเล่าถึงพระพุทธรูปพี่น้อง ๕ องค์ลอยน้ำมาจากลังกาและขึ้นที่เมืองท่าสำคัญของรัฐมอญและทางทวาย ที่นี่พบระฆัง ที่กล่าวถึงชนชั้นสูงที่เป็นคนไทยมาถวายไว้ศักราช พ.ศ. ๑๙๗๕ รวมทั้งยังคงมีพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยและพระพุทธรูปที่พระพักตร์ยังคงเค้าลักษณะ พระรุ่นอู่ทอง แม้จะมีการบูรณะปรับเปลี่ยนไปมากก็ตาม
เมืองนี้ค่อนข้างถูกทำลายบริเวณกำแพงเมืองไปหลายส่วนแล้ว ทั้งจากการอยู่อาศัย และการสร้างถนนและการก่อสร้างทางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งาน
เมืองวีดี [Weidi] เป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำทวาย มีการขุดคลองขุดเป็นแนวตรงเข้ามาสู่ตัวเมืองและใช้เป็นแนวคูน้ำด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นลำน้ำธรรมชาติที่มีสภาพเป็นป่าชายเลนน้ำกร่อย
ที่นี่น่าสนใจเพราะพบเหรียญและแม่พิมพ์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๐ เซนติเมตร มีทั้งที่เป็นตะกั่วและดีบุก บริเวณเมืองทวายในเขตที่เป็นเทือกเขา ในแนวเทือกเขาตะนาวศรี มีแร่ธาตุดังกล่าวอยู่มาก จนกล่าวกันว่า ที่เมืองวีดีเมื่อครั้งกองทัพกู้ชาติเพื่ออิสรภาพของพม่ารวมตัวกันเดินทางจากเมืองไทย เข้าสู่ทวายเป็นที่แรก และใช้พื้นที่บริเวณเมืองวีดีเป็นแคมป์ ก็ขุดแนวกำแพงด้านหนึ่งออกไป (เราจะพบว่าเมืองนี้แนวกำแพงมีร่องรอยถูกรื้อทำลายเพื่อใช้พื้นที่อยู่มาก) และพบเหรียญตะกั่วและดีบุกดังกล่าวนี้ ก็ใช้นำมาหลอมเป็นกระสุนในช่วงเวลานั้นเสียจำนวนมาก
อายุสมัยของเหรียญขนาดใหญ่ดังกล่าวน่าจะสัมพันธ์กับเมืองวีดี ที่มีอายุเข้าสู่ยุคสมัยแบบการเป็นเมืองท่าค้าขายชายฝั่งอันดามันที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของทั้งพม่าตอนบนและกรุงศรีอยุธยาแล้ว คือในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒
ภาพบนเหรียญที่ปรากฏส่วนใหญ่ก็เป็นภาพที่มีลักษณะของสัตว์ในจินตนาการทางพุทธศาสนา เป็นสัตว์ผสมบ้าง เช่น นาค หงส์ มังกร ? ดูเหมือนที่ใช้ในงานศิลปกรรมทางศาสนาแบบคนไตหรือไทใหญ่ ซึ่งในเมืองนี้ก็มีร่องรอยตำนานเรื่องคนสาม หรือเสียม หรือเสียน ที่เป็นคำที่คนทวายใช้เรียกทั้งคนไตที่รัฐฉานและคนไทยจากเมืองไทยหรือกรุงศรีอยุธยาด้วย
พื้นฐานดั้งเดิมของความเป็นเมืองทวาย หัวเมืองชายฝั่งทะเลทางใต้ของพม่ายังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมอีกมากที่คนไทยยังไม่มีโอกาสรับรู้ แม้จะยังไม่มีการศึกษาเรื่องของเมืองทวายออกมามากนัก แต่ก็ควรตระหนักไว้เสมอว่า หากโครงการเศรษฐกิจพิเศษทวายเดินหน้าจะสร้างผลกระทบอย่างมากมายและถาวรแก่สังคม คนทวายและประเทศพม่าแล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของคนไทยด้วยเหมือนกัน ที่จะต้องรู้ และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ทวาย
ก็เพราะพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ที่ไปรับรองโครงการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่นั่นเอง
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments