top of page

ทุ่งไหหิน ดินแดนสำคัญที่เชียงขวาง

เผยแพร่ครั้งแรก 1 เม.ย. 2551


สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นประเทศที่ร่ำรวยทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ที่แขวงเชียงขวางซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๗ และมีเมืองโพนสะหวันเป็นเมืองหลวง มี “ทุ่งไหหิน” ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องในการทำพิธีกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ที่คนไปเยือนลาวทุกคนควรจะเดินทางมาเที่ยวชมในความมหัศจรรย์ของภูมิทัศน์ที่น่าตื่นใจนี้


“ทุ่งไหหิน” หรือ “Plain of jars” มีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง แต่ลาวได้จัดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เพียง ๓ จุดเท่านั้น เนื่องจากที่อื่นยังไม่มีการกู้ระเบิดซึ่งเป็นผลพวงจากการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของสหรัฐอเมริกา


ตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน ทุ่งไหหินถูกค้นพบเมื่อครั้งที่ชาวบ้านออกหาของป่าและล่าสัตว์ เป็นไหหินที่ผลิตจากก้อนหินขนาดใหญ่ มีจำนวนมากและกระจัดกระจายไปทั่วเขตภูเพียง ไหหินที่มีขนาดใหญ่สุด สูง ๓.๒๕ เมตร ปากกว้าง ๓ เมตร ส่วนใหญ่สกัดจากหินทราย  


มีเรื่องเล่าถึงที่มาของทุ่งไหหินอยู่ ๓ เรื่อง คือ อย่างแรก ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นไหเหล้าของนักรบโบราณ ตามตำนานกล่าวว่าระหว่างศตวรรษที่ ๘ นักรบของลาว ชื่อ “ท้าวขุนเจือง” หรือท้าวฮุ่ง ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษประวัติศาสตร์ ได้รับการยกย่องจากกลุ่มต่าง ๆ ของสองฝั่งโขงว่าเป็นผู้รวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมให้แก่กลุ่มต่าง ๆ ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ตั้งแต่สิบสองปันนา สิบสองเจ้าไท ล้านนา ล้านช้าง จนถึงลุ่มแม่น้ำดำ-แดงในภาคเหนือของเวียดนาม ได้ยกกำลังทำสงครามเพื่อตีเอาเมืองปะกันหรือเมืองเชียงขวางของพวกแกวได้ จึงสั่งทำเหล้าไหเพื่อเลี้ยงไพร่พลฉลองชัยชนะอยู่ที่เชียงขวางนาน ๗ เดือน ไหเหล้าในพื้นที่ภูเพียงจึงถูกเรียกกันในกลุ่มคนลาวว่า “ไหเหล้าเจือง”


“ทุ่งไหหิน” พื้นที่ที่มีความสำคัญทั้งนัยทางประวัติศาสตร์และการเมือง


ไหหินมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ รูปทรงมีลักษณะแตกต่างกัน ไหหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนเนิน

น่าที่จะบรรจุโครงกระดูกของผู้นำ 


อย่างที่สอง คือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และ สุดท้าย เป็นพิธีกรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ทำการตัดหินออกจากหินก้อนใหญ่เพื่อบรรจุโครงกระดูกเป็นเวลาราว ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้นที่เชื่อว่าสถานที่ฝังศพของคนตายต้องรักษาไว้ในที่สูง เว้นจากการกัดเซาะของน้ำ จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับความคิดเห็นของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่กล่าวถึงทุ่งไหหินว่าเป็นสถานที่บรรจุโครงกระดูกของมนุษย์ครั้งที่ ๒ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือฝังกระดูกของศพที่เผาแล้ว และใส่เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ยังโลกหน้า  


ดูเหมือนว่าข้อสันนิษฐานสุดท้ายจะมีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยบริเวณของทุ่งไหหินจะเป็นคำตอบได้ดี เพราะนอกจากจะพบไหหินขนาดต่าง ๆ และมีรูปร่างที่หลากหลาย เป็นจำนวนมาก พื้นที่โดยรอบของทุ่งไหหินยังพบถ้ำขนาดใหญ่สูงประมาณ ๖๐ เมตร อยู่ใกล้ ๆ กัน บริเวณหน้าถ้ำเป็นพื้นที่โล่งซึ่งอาจารย์ศรีศักรได้อธิบายว่าถ้ำดังกล่าวว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะเห็นได้จากการที่ไม่มีไหหินหรือสิ่งของที่มนุษย์สร้างเข้าไปวางไว้ ส่วนพื้นที่โล่งหน้าถ้ำนั้นดูเหมือนจะใช้ในการประกอบพิธีกรรมเป็นหลัก


ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่ในสมัยสงครามเป็นพื้นที่หลบภัยจากการทิ้งระเบิด


การจัดวางไหหินจะพบว่า จุดแรก เมื่อเข้าไปยังพื้นที่ทุ่งไหหินจะเป็นเนินขนาดเล็ก มีไหหินขนาดใหญ่กว่า ๑๐ ใบ บ้างสมบูรณ์ บ้างถูกระเบิดจนแตก จุดที่สอง อยู่ระดับที่ต่ำกว่าจุดแรกพอประมาณ พบไหหินขนาดเล็กเรียงรายกันอยู่เป็นจำนวนมาก  อาจารย์ศรีศักรกล่าวว่าไหหินขนาดใหญ่บนเนิน น่าจะเป็นที่บรรจุกระดูกของกลุ่มผู้นำ ส่วนไหหินขนาดเล็กจะเป็นที่บรรจุกระดูกของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งมีการจัดวางเป็นกลุ่มตระกูลอย่างชัดเจน เห็นได้จากการมีหินที่มนุษย์นำมาวางล้อมรอบไหหินนั่นเอง แต่เชื่อว่าหินที่มนุษย์นำมาวางย่อมที่จะมีความหมายเชิงลึกทางหนึ่งด้วย


ทุ่งไหหินเป็นสมรภูมิแห่งการสู้รบนับแต่เรื่องราวในตำนานที่ขุนเจืองเข้ามาตีพวกแกวก็เพื่อต้องการพื้นที่ของเชียงขวาง อันรวมถึงทุ่งไหหินด้วย หรือจะเป็นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการรบกับฮ่อ  พวกฮ่อที่ไทยรบด้วยเป็นจีนจากกลุ่มกบฏไท่ผิงที่รบกับผู้ปกครองแมนจูใน พ.ศ. ๒๔๐๕ แล้วพ่ายแพ้ จึงหลบหนีไปซุ่มตัวตามป่าเขาในเขตมณฑลยูนนาน ฮกเกี้ยน กวางไส กวางตุ้ง และเส ฉวนของจีน ส่วนหนึ่งหนีมายังตังเกี๋ยและชายแดนสิบสองจุไท พวกฮ่อใช้ทุ่งไหหินเป็นฐานที่มั่นของตนเอง  ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ฮ่อยกพลมาตีเมืองพวนในเชียงขวางแล้วตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ทุ่งเชียงคำ หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ ทุ่งไหหิน เพื่อเตรียมเข้ามาตีเมืองหลวงพระบางและหนองคายของสยาม เวลาเดียวกันนั้นได้มีกบฏของพวกข่าซึ่งอ้างว่าได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์จากไหขุนเจือง ทำให้เก่งกล้าสามารถ ไม่ขอขึ้นกับลาวอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงส่งกองทัพจากกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่าง ๆ ไปปราบทั้งฮ่อและข่า และปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้โปรดเกล้าฯให้จัดส่งอาวุธแบบตะวันตกไปปราบฮ่ออีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ฮ่อเผาเมืองหลวงพระบางซึ่งเป็นเมืองขึ้นชายขอบของสยาม รัชกาลที่ ๕ จึงส่งกองทัพไปปราบฮ่ออีกครั้ง  


หลุมบึ้มหรือหลุมระเบิด ผลพวงจากสงคราม จะมีให้เห็นเป็นจำนวนมากในทุ่งไหหินแห่งนี้

และบางพื้นที่ทางการยังไม่ให้เข้าไปเนื่องจากยังไม่ได้ทำการกู้วัตถุระเบิด


ครั้นในสงครามเวียดนามเป็นเหตุให้ไฟสงครามลามไปทั้งลาว เวียดนาม และกัมพูชา  ทุ่งไหหินกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิรบดังกล่าวด้วยปี พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๘ เชียงขวางเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารในสงครามเวียดนาม เพราะความได้เปรียบทางภูมิประเทศซึ่งติดต่อกับพรมแดนเวียดนาม โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๗ ซึ่งใช้ส่งกำลังอาวุธต่าง ๆ จากเวียดนามเหนือมายังขบวนการประเทดลาวหรือลาวฝ่ายซ้าย กองบัญชาการใหญ่ของลาวฝ่ายซ้ายที่อยู่เชียงขวาง 


“ทุ่งไหหิน” เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งมั่น ด้วยความพร้อมของสภาพภูมิประเทศ เพราะมีที่กำบังและสถานที่หลบภัย ว่ากันว่าสหายผู้นำของลาวฝ่ายซ้ายเคยนั่งวางแผนการสู้รบในไหหินพร้อมกันถึงสามคน ทุ่งไหหินจึงเป็นสมรภูมิที่ผลัดกันรุกรับระหว่างทหารขบวนการประเทศลาวหรือลาวฝ่ายซ้ายกับทหารม้งและทหารรับจ้างจากไทยภายใต้การบังคับบัญชาของสหรัฐอเมริกา รัฐบาลลาวฝ่ายขวาซึ่งมีอเมริกาหนุนหลังพยายามแย่งชิงเชียงขวางจากขบวนการประเทศลาวด้วยสนับสนุนให้อเมริกาทิ้งระเบิดแบบปูพรมทั่วเชียงขวาง ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนต้องอพยพออกจากพื้นที่  


ช่วงสงครามเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๖ ระเบิดที่สหรัฐอเมริกาขนใส่เครื่องบินเพื่อมาทิ้งลงในลาวมีปริมาณถึง ๒,๕๐๐,๐๐๐ ตัน เฉลี่ยแล้วตลอดเวลา ๙ ปีของสงครามทางอากาศ เครื่องบินได้ทิ้งระเบิดลงในลาวทุก ๆ ๘ นาที หลายลูกระเบิดทันที แต่ยังคงมีอีกหลายลูกเช่นกันที่ยังรอวันระเบิด


ประเทศลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุดและยังเป็นประเทศที่หลงเหลือวัตถุระเบิดมากที่สุดในโลกอีกด้วย ดูได้จากโครงการเก็บกู้วัตถุและลูกระเบิดซึ่งมีมาตั้งปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จนถึงปัจจุบันซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ


 

เหมือนพิมพ์  สุวรรณกาศ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page