เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2548
เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธุ์ ๒๕๔๘ ที่แล้วมา ข้าพเจ้าได้ไปร่วมชุมนุม งานธรรมชาติยาตราเพื่อแม่น้ำชี ของเครือข่ายองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำชีที่บ้านวังยาง จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นบริเวณที่แม่น้ำชีและแม่น้ำมูนมาสบกัน ซึ่งในปัจจุบันบริเวณนี้ถูกทำให้เป็นสวนสาธารณะของจังหวัด

แผนที่ซึ่งชาวบ้านวาดขึ้นแสดงขอบเขตการจัดการน้ำเปรียบเทียบแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติและระบบชลประทานหลวงบริเวณต้นน้ำชีที่บ้านส้มป่อย อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
ธรรมชาติยาตราครั้งนี้เป็นการต่อเนื่องมาจากธรรมชาติยาตราแม่น้ำมูนที่เคยทำมาในปีก่อน เป็นกระบวนการที่ร่วมกันของชาวบ้านในภาคอีสานกับคนรุ่นหนุ่มสาวขององค์กรเอกชน มูลนิธิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อันมี ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ปราชญ์อาวุโส ปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดไปจนถึง สว. บางคน อ.บ.ต. และ อ.บ.จ. บางคนที่มีสำนึกมนุษยธรรม
ประสบการณ์ที่เกิดจากธรรมชาติยาตราทั้งแม่น้ำมูนและแม่น้ำชีดังกล่าวนี้ ในการรับรู้ของข้าพเจ้าถือว่าเป็น กระบวนคิดใหม่ [new paradigm] ในเรื่องการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจทีเดียว เพราะเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากกระบวนคิดแบบเก่า ๆ ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจ (การเมือง) แห่งชาติ ที่ทำให้เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเกือบสิบแผนแล้วอย่างล้มเหลว
ความแตกต่างกันอย่างตรงข้ามก็คือ กระบวนคิดแบบเก่าเป็นการมองอะไรแบบนกและคิดแบบนกด้วยการวางแผนแบบเอาแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศมากางบนโต๊ะ แล้วลงรายการต่าง ๆ ในการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเป็นการพัฒนาที่มาจากข้อมูลและทฤษฎีทางเศรษฐกิจลงไปในพื้นที่แผ่นกระดาษที่มีมาตราส่วน พร้อม ๆ กับการใช้ยางลบลบสิ่งที่เป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติรวมทั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คนที่อยู่ในท้องถิ่นที่สืบเนื่องกันมาช้านานให้หมดไป เกิดโครงสร้างใหม่ ๆ เป็นเขื่อนชลประทาน เป็นอ่างเก็บน้ำ เป็นถนนหนทาง เป็นสถานที่ทางราชการ เป็นย่านการค้าธุรกิจ และโรงงานอุตสาหกรรม ขึ้นมาแทน
ผลที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ก็คือการล่มสลายของชุมชนมนุษย์ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น อันเนื่องมาจากความคิดและกระบวนการในการพัฒนานั้นเพื่อสนองตอบการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ทำอะไรจนเกินสมดุลในความเป็นมนุษย์ของผู้คนในยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกเพื่อความมั่งคั่งทางวัตถุสำหรับตัวเองและพวกพ้องมากกว่าสำนึกของการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมซึ่งเคยมีมาอย่างราบรื่นในอดีต ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในเรื่องนี้ ถ้าหากมีการถอดรหัสให้ดีจากพระราชกรณียกิจซึ่งพระองค์ทรงดำเนินมาเป็นเวลาช้านานก็จะทำให้เข้าใจได้ เพราะแกนหลักในการดำเนินงานก็คือ การจัดการน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มด้วยการรับทราบความเดือดร้อนของราษฎรในท้องถิ่นก่อน แล้วจึงทรงศึกษาในเรื่องภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นจากแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ จากนั้นเสด็จฯ ลงพื้นที่ด้วยพระองค์เองเพื่อให้แลเห็นข้อมูลและความจริง หาได้ยึดอยู่แต่การดูแผนที่ซึ่งเป็นแต่เพียงเครื่องมืออย่างเดียวไม่ ตรงนี้แหละที่งานของพระองค์แตกต่างไปจากบรรดานักอะไรต่ออะไรที่ร่วมกันวางแผนอะไรต่ออะไรเพื่อการพัฒนาที่เห็นอะไรต่ออะไรอย่างนก
การเสด็จฯ ลงพื้นที่แต่ละครั้งนั้น พระองค์ได้สัมผัสกับชาวบ้านที่เป็นตัวหนอน ทำให้ทรงทราบความต้องการของหนอนเพื่อที่จะได้ทรงพัฒนาให้ถูกทาง
ดังนั้น เมื่อนำพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่เสด็จฯ ลงพื้นที่แต่ละครั้งมาทำสถิติแล้ว ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เป็นแกนหลักในการดำเนินงานก็คือ การจัดการน้ำ เป็นการจัดการน้ำในระดับท้องถิ่นเพื่อการดำรงอยู่ของเกษตรกรรมที่มีความยั่งยืน เท่าที่แลเห็นในขณะนี้ โครงการการจัดการน้ำขนาดใหญ่ในพระราชดำรินั้นน้อยมาก และที่เห็นเป็นรูปธรรมขณะนี้ก็เพียง โครงการปากพนังและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เท่านั้น จึงสรุปในที่นี้ว่า การจัดการน้ำในระดับท้องถิ่นคือหัวใจของการพัฒนาในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งแต่ก่อนนี้คือ การจัดการร่วมกันของผู้คนในท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นชลประทานราษฎร์เป็นสำคัญ
ความสำคัญของชลประทานราษฎร์คือการร่วมกันทำโดยผู้คนที่ใช้พื้นที่การเกษตรร่วมกันในท้องถิ่นอย่างเป็นกลุ่มก้อน เป็นสังคมมีเงื่อนไขในการแจกแจงแบ่งปันร่วมกันอย่างเสมอภาค และมีดุลยภาพในสิ่งที่เป็นผลผลิตกับทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่ทำให้เศรษฐกิจแบบเพียงพอ คือ วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นที่อยู่ร่วมกันมาแต่อดีตนับพันปี แต่กำลังล่มสลายเพราะชลประทานหลวงอันเกิดจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรีของรัฐที่ทำมาร่วมสี่สิบปีนี่เอง
ธรรมชาติยาตราเพื่อแม่น้ำมูนและแม่น้ำชีที่ชาวบ้าน องค์กรเอกชน มูลนิธิ และบรรดานักวิชาการ นักการเมือง รวมทั้งบุคคลที่มีคุณธรรมและเห็นภัยพิบัติอันเกิดมาจากการพัฒนาแบบหนอนได้มีส่วนร่วมที่เคลื่อนไหวมาในระยะ ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้ คือผลจากความเดือดร้อนโดยตรงที่เกิดขึ้นแก่คนในท้องถิ่น โดยเฉพาะชาวบ้านที่ปากมูน
อีสานคือภูมิภาคพื้นที่แห้งแล้ง [dry area] ที่เหมาะสมกับการตั้งหลักแหล่งของชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่ราว ๔,๐๐๐ ปี เพราะมีสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ปรับตัวได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น ๆ จึงมีหลักฐานให้เห็นได้ว่า เคยมีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งมากกว่าบรรดาภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งในประเทศและประเทศใกล้เคียง แต่การที่จะดำรงอยู่ได้ของสังคมมนุษย์ที่มีพัฒนาการจากการเป็นหมู่บ้านอิสระมาเป็นเมืองเป็นรัฐและอาณาจักรนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการน้ำให้เกิดดุลยภาพในระบบนิเวศวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น เพื่อควบคุมภาวะแล้งน้ำและดินเค็ม ซึ่งถ้าหากไม่เข้าใจในเรื่องนี้แล้ว ภาวะความวิบัติก็จะเกิดขึ้น ดังเห็นตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น การสร้างเขื่อนทั้งเพื่อการชลประทานและพลังงานไฟฟ้า การรุกป่าโคกเพื่อขยายการปลูกพืชเศรษฐกิจนานาชนิด นับแต่ ปอ มันสำปะหลัง อ้อย ยูคาลิปตัส และยางพารา ซึ่งก็รวมไปถึงการทำเหมืองแร่โปแตชและการทำนาเกลือเพื่อการอุตสาหกรรม เป็นต้น

กุดเวียนที่บ้านส้มป่อย อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ เป็นคุ้งน้ำแบบกุดน้ำ [oxbow lake] เป็นการกักน้ำแบบโบราณตามธรรมชาติลักษณะหนึ่งในเขตต้นน้ำชี
ธรรมชาติยาตราเพื่อแม่น้ำชี-มูน คือ การเคลื่อนไหวเพื่อการเรียนรู้และสร้างสำนึกการพัฒนาแบบใหม่ที่เป็นการพัฒนาจากภายใน ที่แลเห็นว่าหัวใจของการพัฒนาให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงและยั่งยืนก็คือการสร้างความรู้และความเข้าใจในการจัดการน้ำ โดยการทำความเข้าใจในระดับมหภาคของแอ่งโคราชผ่านทางแม่น้ำมูนและแม่น้ำชี ซึ่งเป็นลำน้ำหลักของภูมิภาค นับแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อให้แลเห็นภาพรวมของภูมิภาคว่าสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่นว่าเชื่อมโยงกับลำน้ำ สภาพแวดล้อม และสังคมมนุษย์ในลักษณะที่เป็นนิเวศวัฒนธรรมอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมโดยแท้
ในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้เกี่ยวกับความพินาศฉิบหายของสภาพแวดล้อมธรรมชาติและสังคมมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่น อันเกิดจากการดำเนินการพัฒนาแบบนกของรัฐอย่างไรบ้าง โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการศึกษาและดำเนินการพัฒนาระบบนิเวศวัฒนธรรมเพื่อความยั่งยืนของผู้คนและสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นในขั้นปฏิบัติการอย่างไรบ้าง
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกับนิเวศวัฒนธรรมเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้อย่างมีทิศทาง ในการรับรู้และประสบการณ์ของข้าพเจ้าในแอ่งโคราช นิเวศวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากกระบวนการปรับตัวของผู้คนในท้องถิ่นที่มีมากกว่าหนึ่งชุมชนธรรมชาติ [village] เข้ากับสภาพแวดล้อมอันเป็นนิเวศธรรมชาติที่มีความหลากหลาย เช่น บริเวณที่ลุ่มน้ำท่วมถึงใกล้กับแหล่งน้ำใหญ่ [floodplain] บริเวณที่ลาดต่ำ [low terrace] ที่สัมพันธ์กับลำน้ำสายเล็ก ๆ ที่แวดล้อมไปด้วยป่าโคก และที่ลุ่มต่ำที่เป็นบุ่งทามและที่ลาดสูง [high terrace] ที่เป็นบริเวณที่เป็นป่าโคกมากและมีลำน้ำสายเล็ก ๆ ที่เป็นต้นน้ำของลำน้ำใหญ่ไหลผ่าน
นิเวศธรรมชาติทั้งสามอย่างนี้มักสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของในภาคอีสานมาตลอดเวลาและยาวนานกว่าพันปีขึ้นไป จนเป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาแหล่งที่เป็นบ้านใหญ่เมืองใหญ่ทั้งหลาย มักตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างที่ลาดสูงกับที่ลาดต่ำ หรือไม่ก็ระหว่างที่ลาดต่ำกับที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง เพราะมักเป็นบริเวณที่มีทั้งลำน้ำ ป่าโคก ที่ราบ และที่ลุ่มต่ำที่เป็นพื้นที่รับน้ำและชุ่มน้ำ เช่น บุ่งทาม นิเวศวัฒนธรรมเกิดขึ้นจากการปรับตัวของผู้คนที่เคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานในนิเวศธรรมชาติชนิดดังกล่าว โดยเน้นกระบวนการจัดการน้ำเป็นสำคัญ คือเห็นได้จากร่องรอยของชุมชนที่มีมาแต่โบราณและสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้หลายแห่ง
นั่นคือ ผู้คนมักเลือกตั้งบ้านเรือนรวมกันอยู่บนที่เนินสูงน้ำท่วมไม่ถึง เนินนี้อาจเป็นชายโนนของบริเวณป่าโคกก็ได้ หรือไม่ก็เป็นเนินใกล้กับบริเวณที่ลุ่มอันเป็นที่รับน้ำธรรมชาติที่เรียกว่าบุ่งทามในเวลาหน้าฝนหรือหน้าน้ำ บุ่งทามนี้จะขยายตัวเป็นหนองบึงใหญ่หรือทะเลสาบก็ได้ แต่หน้าแล้งน้ำน้อยพื้นที่โดยรอบจะกลายเป็นที่ราบลุ่มที่ปลูกข้าวได้ การสร้างบ้านเรือนรวมกันเป็นชุมชนจะเกิดจากผู้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาปรับบริเวณเนินดินใกล้ที่ราบลุ่มเหล่านี้ด้วยการขุดสระน้ำรอบเนินหรือขุดอ่างเก็บน้ำ [tank] ใกล้เนินเพื่อกักน้ำไว้อุปโภคบริโภคและนำเอาดินมาถมเนินที่อยู่อาศัยให้สูงขึ้นเพื่อน้ำท่วมไม่ถึง นับเป็นที่น่าสังเกตคือ ชุมชนที่อยู่ระหว่างรอยต่อของที่ลาดสูงและลาดต่ำนั้น มักตั้งอยู่ใกล้กับลำน้ำสายเล็ก ๆ ที่มักแห้งในฤดูแล้ง ด้วยการดักน้ำในลำน้ำนั้นไว้ สระน้ำที่อยู่รอบชุมชน หรือไม่ก็ขุดอ่างเก็บน้ำ (บาราย) ดักบนทางน้ำไหลของลำน้ำนั้น
อ่างเก็บน้ำ (บาราย) นี้จะมีขอบคันดินสูงทำให้กักน้ำเหนือระดับผิวดินได้ และเมื่อน้ำเต็มจะล้นขอบก็ก็มีช่องทางปล่อยน้ำออกไปตามสายน้ำธรรมชาติ แต่บริเวณที่ใดลำน้ำเล็กมีน้ำไม่พอแก่การกักเก็บ ผู้คนก็จะหันมาดักน้ำและเบนน้ำที่แผ่ลงมาตามผิวดินเข้าสู่สระน้ำรอบชุมชนหรืออ่างเก็บน้ำแทน นี่คือการจัดการน้ำเพื่อการบริโภคและอุปโภคในที่รอยต่อระหว่างที่ลาดสูงกับลาดต่ำ แต่ถ้าหากเป็นบริเวณรอยต่อระหว่างที่ลาดต่ำกับที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมถึงที่อยู่ใกล้ลำน้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำมูนและแม่น้ำชีก็จะเพิ่มการขุดคลองชักน้ำระบายน้ำเชื่อมต่อกันไปยังบริเวณชุมชนด้วย สิ่งสำคัญก็คือ คนในแอ่งโคราชแต่โบราณจนถึงสมัยก่อนยุครัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนริมแม่น้ำมูน-ชี เพราะตลิ่งสูงและไม่เคยใช้น้ำในแม่น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภครวมทั้งเพื่อการเกษตรด้วย
เพราะการใช้น้ำเพื่อการเกษตรนั้น ผู้คนในทั้งสองระบบนิเวศที่กล่าวมาแล้ว ต่างใช้น้ำที่แผ่ลงมาจากป่าโคกและที่สูงกักไว้ตามบิ้งนาที่มีคันค่อนข้างสูง โดยมีช่องน้ำระบายลงสู่บิ้งนาที่อยู่ต่ำลงมาอย่างทั่วถึง เป็นการทำนาปีไม่ใช่นาปรัง และแทบจะไม่ใช้น้ำจากลำห้วยหรือลำน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านชุมชนเลย ในขณะที่นิเวศที่เป็นรอยต่อระหว่างที่ลาดต่ำกับที่ลาดลุ่มน้ำท่วมถึงนั้น มักทำนาทามซึ่งก็เป็นนาปีเหมือนกัน โดยอาศัยการสร้างคันดินหรือทำนบชะลอน้ำที่เอ่อล้นจากบุ่งทาม หนองบึง และลำน้ำใหญ่ในฤดูฝนหรือฤดูน้ำไม่ให้รีบไหลกลับ แล้วทำนาหว่านข้าวไปยังบริเวณที่ชะลอน้ำไว้
บริเวณเช่นนี้มักเป็นบริเวณที่กว้างใหญ่ที่ทำการเพาะปลูกข้าวได้มาก จึงมักสัมพันธ์กับการเกิดหมู่บ้านหรือเมืองสำคัญขึ้นในบริเวณนี้ คนโบราณในแอ่งโคราชไม่แตะต้องน้ำที่อยู่ในหนองบึงหรือในลำน้ำใหญ่ ๆ ปล่อยให้เป็นท้องน้ำสาธารณะที่ใช้ในการคมนาคมและเป็นแหล่งอาหาร ปลา นานาชนิด ที่อาจสัมพันธ์กับชุมชนที่มีอาชีพส่วนใหญ่ในการประมง ทำให้การแลกข้าวแลกปลาเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในการผูกเสี่ยวของคนในภาคอีสาน
การจัดการน้ำทั้งเพื่ออุปโภคและบริโภค เพื่อการปลูกข้าว และจับปลาของคนอีสานดังกล่าวนี้ ได้ถูกทำลายอย่างยับเยินจากชลประทานหลวงที่สร้างขึ้นเพื่อทำเกษตรอุตสาหกรรมและพลังงานไฟฟ้า จนทำให้ชาวบ้านในท้องถิ่นขาดแคลนน้ำ หันมาใช้น้ำแย่งน้ำจากลำแม่น้ำใหญ่ ไม่ว่าจากแม่น้ำมูน แม่น้ำชี และบรรดาเขื่อนทั้งหลายที่รัฐบาลสร้างขึ้นเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง
การแล้งน้ำในปีนี้ทำท่าว่าร้ายแรงกว่าคลื่นยักษ์สึนามิ อันเนื่องมาจากคนจะฆ่ากันตายเพราะการแย่งน้ำกัน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Commentaires