เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ย. 2542
ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยขณะนี้ น่าที่จะบานปลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War] ที่อาจยืดเยื้อเป็นเวลานับปี เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในสภาพที่สุดโต่งระหว่างรัฐกับสังคม

ภาพศึกวันที่ ๑๐ ภีษมะปฏิเสธที่จะสู้กับศิขัณทินที่เกิดเป็นหญิง ทำให้อรชุนระดมยิงธนูไปทั่วร่างของภีษมะด้วยความเศร้าใจ (ภาพจาก ศิลปิน Ramanarayanadatta astri, http://archive.org/details/mahabharata00ramauoft)
รัฐเป็นทรราช ที่ใช้ระบอบทักษิณครอบงำบรรดาข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้มาอยู่ภายใต้อำนาจเงินของเผด็จการที่ได้มาจากการคอรัปชั่นโกงกินและหลอกลวงเอาภาษีอากร ตลอดจนทรัพยากรของชาติมาเป็นประโยชน์ของพวกตนและเครือข่ายมาร่วมกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา จนประเทศไทยอยู่ในสภาพประเทศเพื่อขาย [For Sale] ให้แก่บรรดาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีไอ้กัน ไอ้กิดและไอ้เศส เป็นอาทิ
และเพื่อเป็นการตอบแทนบรรดาประเทศมหาอำนาจทุนนิยมดังกล่าวมานี้ ก็ล้วนให้ความสนับสนุนสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐทรราชในทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ต้องยืนยันช่วยเหลือว่ารัฐบาลทรราชนั้นคือรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองและรัฐสภาตามแบบอย่างประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
แต่หลังจากที่เผด็จการทรราชทักษิณครอบงำบ้านเมืองและสังคมมาร่วมสิบกว่าปี ผู้คนในสังคมก็เกิดอาการตื่นรู้ทั้งสติปัญญา ความรู้ ความกล้าหาญทางจริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการตื่นรู้ที่ทันโลกของผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกชาติพันธุ์ทุกศาสนาและอาชีพ ในบรรดาบุคคลที่เกิดในดินแดนประเทศไทยที่มีสำนึกในเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน [Patriotism]
เป็นการตื่นรู้ที่จะปลดปล่อยประเทศชาติบ้านเมืองให้พ้นจากเงื้อมมือทรราชที่กำลังขายประเทศขายแผ่นดิน เป็นการตื่นรู้ที่ทำให้เมืองไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือรัฐทรราชที่อยู่ในสภาพล้มละลายทางศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์ ใช้ความรุนแรงด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจบังคับใช้ของรัฐ และบรรดาอันธพาลติดอาวุธเข้าปราบปรามจับกุมและเข่นฆ่าประชาชานที่แสดงอาการประชาขัดขืน [Civil Disobedience] เป็นขั้วหนึ่ง กับสังคมที่ตื่นรู้ทั้งในด้านสติปัญญาความรู้และความเป็นมนุษย์อีกขั้วหนึ่ง

สิ่งที่เหลืออยู่หลังความรุนแรงบนถนนราชดำเนิน
เป็นการตื่นรู้อย่างพร้อมพรั่งที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมความเสียสละอย่างไม่กลัวความตายที่ทางตำรวจและอันธพาลของรัฐทรราชจะยื่นให้ ทำการต่อสู้ด้วยอหิงสาไม่มีอาวุธ และการสวดมนต์ให้ใจมั่นคงและเปลี่ยนอารมณ์ที่หวาดกลัวมาเป็นความรื่นเริง มีมหรสพควบคู่กันไป
จากปรากฏการณ์ที่แลเห็นถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันประชาชนของฝ่ายทรราช และการต่อสู้ด้วยอหิงสาสวดมนต์รำลึกถึงพุทธคุณของมวลมหาประชาชน ข้าพเจ้าเรียกการต่อสู้ครั้งนี้ว่า “ธรรมาธรรมะสงคราม” ตาม พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงเปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างเทวดาสองฝ่าย คือ ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ฝ่ายชั่วมีกำลังกล้าแข็งและโหดร้าย ยุยงโกหกหลอกให้คนเชื่อในเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมและผิดมนุษย์ เป็นฝ่ายได้เปรียบและรุกไล่ฝ่ายดีจนแตกยับและทำท่าจะปราชัย แต่บัดดลฝ่ายอธรรมก็เกิดอาการมืดหน้าอ่อนเพลียและหมดแรง ทำให้ทางฝ่ายธรรมะมีชัยปราบปรามคนชั่วและอบรมสั่งสอนให้คนดี และอยู่ร่วมโลกกันด้วยศีลธรรม เมตตาธรรม
เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้เห็นเป็นอุทาหรณ์ในการสู้รบของมวลมหาประชาชนชาวสยามสองครั้งที่แล้วมา ครั้งแรกที่สี่แยกหลักสี่ บนถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อขบวนของฝ่ายหลวงปู่พุทธอิสระเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณใต้สะพานลอยหลักสี่ มีกำลังของอันธพาลที่ได้รับการสนับสนุนโดยตำรวจที่ก่อนหน้านั้นมีการชุมนุมระดมพลกันอย่างเปิดเผย พออันธพาลกลุ่มนี้เปิดการทุบตีและยิงอาวุธเข้าใส่ขบวนมหาประชาชนที่มากับเสียงการสวดมนต์ ก็มีกลุ่มคนที่เป็นกองกำลังนิรนาม มีอาวุธสงครามซ่อนไว้ในถุงข้าวโพดล้อมยิงและโต้ตอบ ทำให้กลุ่มอันธพาลบาดเจ็บและล้มตายถอยหนีกระเจิงไป และไม่กล้าที่จะเข้ามาคุกคามมวลมหาประชาชนต่อไป
การออกมาขัดขวางของกองกำลังนิรนามนี้ มีผู้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังป๊อปคอร์น
ครั้งที่สองเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรมของศาสนิกสันติอโศกที่มานั่งคัดค้านรัฐบาลทรราชด้วยการนั่งสวดมนต์และปฏิบัติธรรม รัฐทรราชได้ส่งกองกำลังตำรวจในเครื่องแบบพร้อมทั้งอาวุธสงครามเข้าขับไล่ทุบตีบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะบรรดาสตรีที่ต่อสู้ด้วยการนั่งสวดมนต์ภาวนาอย่างหฤโหดไร้มนุษยธรรม รวมทั้งมีการใช้ปืนยิงใส่เข้าไปในกลุ่มชนด้วย ข้าพเจ้าติดตามรับฟังการถ่ายทอดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากโทรทัศน์และวิทยุด้วยความรู้สึกสลดและสิ้นหวัง คิดว่าฝ่ายธรรมะคงไม่มีทางหยุดยั้งพวกตำรวจอธรรมหฤโหดผิดมนุษย์ได้ แต่บัดดลก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อตำรวจโหดเคลื่อนเข้ามาใกล้กับสมณะโพธิรักษ์ที่นั่งอยู่ด้วยความสงบและเตือนสติให้ผู้ปฏิบัติทำสวดมนต์ต่อไป ก็มีกองกำลังนิรนามที่ออกมายิงใส่ตำรวจจนล้มเจ็บและตายแตกกระเจิงกลับไปในลักษณะที่พ่ายแพ้
แต่ว่าชัยชนะที่เป็นปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้น ก็เป็นเพียงการชนะในการต่อสู้ที่เป็นครั้งคราว [Win the Battle] หาเป็นชัยชนะเด็ดขาดในสงคราม [Win the War] ไม่ เพราะการสู้รบกับรัฐทรราชระบอบทักษิณที่ครอบงำบ้านเมืองมากว่า ๑๐ ปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เป็นความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านไปแทบทุกอณูของประเทศชาติ ในลักษณะเช่นการแพร่กระจายของมะเร็งร้ายขั้นสุดท้าย เกินศักยภาพของมวลมหาประชาชนที่แม้จะออกมาแสดงพลังกันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ก็ตาม
นั่นก็คือ มหาประชาชนไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจเบ็ดเสร็จในการใช้บังคับอย่างของรัฐทรราชที่แม้ว่าจะถูกทำลายความชอบธรรมหมดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ้างอิงกติกาในการยืดเยื้อโดยอาศัยรัฐธรรมนูญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างประการหนึ่ง
ประการที่สอง สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนาเถรวาทที่มีแต่เมตตาธรรมและการให้อภัยเป็นพื้นฐาน หามีอะไรเด็ดขาดในการจัดการกับความชั่วร้ายที่โหดเหี้ยมและไม่มีศีลธรรมได้ นอกจากรอให้กฎแห่งกรรมมาตามทัน เสมือนเมื่อไหร่มะม่วงจะหล่นก็หาทราบไม่ โดยเฉพาะการเน้นเรื่องการต่อสู้อย่างอหิงสานั้นจึงมีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงฝ่ายเดียว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
เรื่องของการต่อสู้แบบอหิงสานั้น เป็นเรื่องของผู้คนในสังคมอินเดียที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นฮินดูที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงเดี่ยวอย่างง่าย ๆ ยังผูกพันกับแนวคิดและปรัชญาของอินเดียอีกหลายร้อยเล่มเกวียน กระนั้นก็ดีการต่อสู้ด้วยอหิงสาของคานธีกับอสูรร้ายอังกฤษนั้น กว่าจะได้เสรีภาพคือชัยชนะมา ผู้คนก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก แม้แต่ท่านคานธีก็ต้องตายในที่สุด
ความต่างกันระหว่างอหิงสาของไทยกับของอินเดียก็คือ อหิงสาของอินเดียอยู่ในบริบทของสมัยเวลาที่โลกแห่งคุณธรรมยังดำรงอยู่ มีหลายชาติ และมหาอำนาจที่ไม่เห็นดีงามกับจักรวรรดินิยมอังกฤษ แต่ในบริบทของอหิงสาแบบคนไทยนั้นอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยวัตถุนิยม ความโลภ และอำนาจของบรรดาประเทศมหาอำนาจ เช่น “ไอ้กัน” และพรรคพวก ต่างต้องการจะเข้าครอบครองทรัพยากร ผู้คน และดินแดนที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทย และก็พากันสนับสนุนทรราชระบอบทักษิณด้วยแนวคิด “ประชาธิปไตยสาธารณ์” ที่ต้องเลือกตั้งและไม่แคร์กับการซื้อเสียง ขายเสียง และเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ล้วนแต่สร้างความชั่วร้ายให้เพิ่มขึ้น
ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ กำลังเปิดทางให้การกระทำรุนแรงผิดมนุษย์ของรัฐทรราชเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม
เพราะฉะนั้นสถานการณ์เมืองไทยที่เป็นอยู่ แม้ว่ามหาประชาชนจะได้ชัยชนะในการต่อสู้แต่ละครั้งมา ก็ไม่แน่ว่าจะชนะสงครามได้ในที่สุด อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเป็นสงครามกลางเมืองได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามความหวังยังไม่สิ้น เพราะในสังคมไทยในส่วนรวมก็หาได้มีแต่เพียงกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายรัฐทรราชและฝ่ายอหิงสาแต่เพียงอย่างเดียวไม่ ยังแฝงไว้ด้วยบุคคลและกลุ่มคนที่มีมโนธรรมและมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่ แลเห็นว่าอะไรถูกอะไรควร แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่นและความพร้อมเพียงกันในการออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ดังเช่นพวกกองกำลังป๊อปคอร์น เป็นต้น จึงกลายเป็นกองกำลังนิรนามที่แลไม่เห็นบุคคลที่เป็นผู้ทำอย่างเปิดเผย ทั้ง ๆ ที่เวลาได้มาถึงแล้ว
ข้าพเจ้าเลยนึกเลยเถิดไปถึงแนวคิดและแนวปรัชญาของคนในสังคมฮินดูของอินเดีย ที่เป็นรหัสซ่อนเร้นอยู่ในมหากาพย์เช่น รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับอวตารของพระเป็นเจ้าลงมาปราบยุคเข็ญในโลก
แต่ในที่นี้ขอยกเอาจากมหาภารตะก่อน เพราะดูใกล้เคียงกับสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ มหาภารตะเป็นมหากาพย์ที่รวบรวมเรื่องราวจากตำนานความขัดแย้งในหลายท้องถิ่น หลายภูมิภาคของดินแดนที่เรียกว่าภารตะ คือดินแดนของ “พระภารตะ” ปฐมวงศ์ของบรรดากษัตริย์ในแดนภารตะ มารจนาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ที่ผู้อ่านและศึกษาจะนำเอาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งไปเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตือนและสั่งสอนสังคมที่หลากหลาย ไม่จำเป็นเฉพาะภายในอินเดียเท่านั้น ยังแพร่หลายกระจายไปยังบรรดาบ้านเมืองและดินแดนที่รับอารยธรรมอินเดีย
เรื่องราวในมหาภารตะในกรณีเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคมไทยขณะนี้ก็คือ เรื่อง “ภควัคคีตา” ซึ่งคนทั่วไปแปลอย่างง่าย ๆ ว่าเป็น เพลงของพระเป็นเจ้า แท้จริงเป็นบทฉันท์ที่เรียกว่า โศลก กล่าวถึงเหตุการณ์การสู้รบระหว่างแม่ทัพของฝ่ายธรรมะ คือพวกปานณพ กับฝ่ายอธรรมคือพวกเการพ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำการรบพุ่งเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนในท้องทุ่งที่เป็นสนามรบเรียกกุรุเกษตร
ฝ่ายปานณพผู้น้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะนอกจากมีความชอบธรรมในราชสมบัติและยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคุณธรรม รวมทั้งมีความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ ฝ่ายเการพลูกผู้พี่เป็นอธรรมและมีความประพฤติและพฤติกรรมที่เป็นทรราชกดขี่ใช้ความรุนแรงและกระทำการผิดศีลธรรมแก่คนในสังคม และเป็นผู้ที่ยึดครองรัฐและเป็นรัฐบาลอยู่ที่รัฏฐาธิปัตย์และกำลังรบกำลังทัพมากมาย ซึ่งมีบรรดาบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่แต่งตั้งจากเครือญาติตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่ถึงชั้นผู้น้อยมารับราชการทำหน้าที่ด้วยความภักดี แม้ว่าจะขัดกับศีลธรรมก็ตาม แต่ก็ให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า
ในการทำสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ทั้งฝ่ายปานณพและเการพต่างก็ขอความช่วยเหลือทางกำลังทหารและกำลังทัพจากบรรดารัฐและบ้านเมืองที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะบรรดารัฐที่เป็นเครือญาติกัน หนึ่งในรัฐเหล่านั้นก็คือ รัฐทวารกะ ที่มีพระกฤษณะปกครอง พระกฤษณะต้องทรงช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน โดยให้ฝ่ายลูกผู้พี่คือพวกเการพเลือกก่อน พวกเการพเลือกเอากำลังทหารและกองทัพทั้งหมดไปเป็นของฝ่ายตน คงเหลือแต่องค์พระกฤษณะเท่านั้นที่ไม่ได้เอาไป ซึ่งฝ่ายปานณพก็ยินดีเลือกพระกฤษณะ แต่ไม่ใช่มาเป็นขุนพลแม่ทัพ หากมาทำหน้าที่สารถีคือคนขับรถศึกให้ผู้ที่เป็นแม่ทัพคือ อรชุน ผู้เป็นนักรบที่มีความเป็นเลิศในการใช้ธนูสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรครั้งนี้
พี่น้องทั้งสองฝ่ายสู้รบกันที่มีผลทำลายญาติพี่น้องให้ล้มตายทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ จนมาถึงการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพสำคัญของทั้งสองฝ่ายคือ อรชุนฝ่ายปานณพกับกรรณของฝ่ายเการพ ทั้งคู่นี้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดา ต่างมีความเลิศในการใช้ธนูเสมอกัน และการสู้รบของคนทั้งสองคือการตัดสินว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ
ในขั้นแรกฝ่ายกรรณได้เปรียบเพราะรถศึกของทางอรชุนขัดข้อง ซึ่งธรรมดาการสู้รบกันตามกติกานั้น อีกฝ่ายหนึ่งต้องหยุดรอเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขสิ่งขัดข้องให้เรียบร้อยก่อนจึงจะดำเนินการต่อไปได้ แต่กรรณผู้เหี้ยมโหดไม่กระทำกลับยิงธนูเข้าประหารอรชุนที่กำลังเสียทีทันที แต่อรชุนก็รอดได้เพราะความสามารถของสารถีคือพระกฤษณะ
พอการรบดำเนินต่อไปทางฝ่ายกรรณก็เกิดขัดข้องเชิงเทคนิคในเรื่องรถศึกบ้าง คือเพลาล้อรถหักต้องการซ่อมแซมจึงขอทางอรชุนให้หยุดรอเพื่อซ่อมรถก่อน ซึ่งอรชุนก็ทำท่าลังเลเพราะเป็นคนใจอ่อนมีธรรมะและความเมตตา โดยเฉพาะกรรณซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดา
ในช่วงที่รีรอนี้ พระกฤษณะจึงเร่งและยุให้อรชุนเผด็จศึกด้วยการยิงธนูประหารกรรณในขณะที่อยู่ในสภาพขัดข้องในเรื่องรถเสีย อรชุนก็ยังรีรอและเป็นคนใจอ่อนเกรงกลัวต่อบาปที่จะเกิดขึ้น พระกฤษณะจึงต้องรับประกันว่าไม่เป็นบาปในการปฏิบัติหน้าที่นักรบที่ดีในยามสงครามที่ปลอดจากความเป็นธรรมและยุติธรรม แต่ต้องทำเพียงชัยชนะ พระกฤษณะได้แสดงพระองค์ว่า อรชุนไม่บาปก็เพราะพระองค์คือพระเป็นเจ้า เป็นการสร้างความมั่นใจและพลัง [Empowerment] ให้แก่อรชุนผู้ลั่นธนูไปประหารกรรณที่เป็นฝ่ายอธรรม และเป็นการสู้รบที่นำไปสู่การได้ชัยชนะของสงครามของฝ่ายปานณพในที่สุด
การกล่อมเกลาและอบรมในลักษณะที่เป็น Dialogue ระหว่างพระกฤษณะกับอรชุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่อรชุนในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ภควัคคีตาหรือเพลงของพระเจ้า ซึ่งก็มีผู้รู้ในสังคมไทยมักนำมากล่าวถึงในการกระตุ้นให้ฝ่ายทหารออกมาแสดงบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องชีวิตของประชาชนที่ถูกย่ำยีและฆ่าฟันโดยกองกำลังตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลทรราชทักษิณ ข้าพเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าทหารจะออกมาป้องกันอย่างเต็มรูปและเต็มตัวมากกว่าการปฏิบัติการของกองกำลังนิรนามป๊อปคอร์นที่อาจจะได้ชัยชนะแต่เพียงการช่วยเป็นครั้งคราวไป
เพราะดูแล้วสงครามระหว่างรัฐอสูรกับประชาชนคนมีธรรมะนี้ ดูเกินกำลังกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีธรรมะและอหิงสาจะชนะได้ หากเป็นสงครามของกลียุคที่อำนาจเหนือธรรมชาติหรือพระเป็นเจ้าต้องอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นกลียุคที่มีต้นตอมาจากอสูรร้ายตะวันตก อเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศสที่เผยแพร่ลัทธิประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีอันเป็นเกราะป้องกันให้แต่บรรดารัฐทรราชทั้งหลาย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments