top of page

“นครแพร่” จากอดีตสู่ปัจจุบัน

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 7 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 10 มิ.ย. 2559


งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีชีวิต [Living history] ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคม–วัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่การปกครองของรัฐซึ่งเรียกกันว่า จังหวัดแพร่ ในปัจจุบัน


ที่เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์มีชีวิตก็เพราะเป็นเรื่องราวที่ส่วนใหญ่มาจากการศึกษาค้นคว้าของคนใน คือ ผู้รู้ ที่เป็นคนแพร่ ซึ่งทำให้แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมที่ผ่านไปตามกาลเวลาอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน [Change through time] ผิดกับประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นหรือสร้างขึ้นจากนักวิชาการที่เป็นคนนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของแพร่ไปตามยุคสมัย [Change over time] จนไม่อาจแลเห็นความต่อเนื่องทางสังคม-วัฒนธรรมได้

ความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในงานวิจัยนี้ก็คือ การแสดงถึงความเป็นมาของผู้คนหลายกลุ่มเหล่าทางชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกันและสัมพันธ์กัน จนเกิดสำนึกร่วมในการเป็นพวกเดียวกันคือ คนแพร่



พื้นที่ทางวัฒนธรรม

พื้นที่ทางวัฒนธรรมในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ท้องถิ่น นั่นเอง เป็นอาณาบริเวณที่ผู้คนจากภายในเท่านั้นที่จะรู้ขอบเขตและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สัมพันธ์กับชีวิตวัฒนธรรมของพวกตน เหตุนี้งานวิจัยเรื่องนี้จึงประกอบด้วยกระบวนการเก็บข้อมูลและเรียนรู้คนกับพื้นที่ใน ๓ ระดับ คือ


ภูมิวัฒนธรรม [Cultural landscape] นิเวศวัฒนธรรม [Cultural ecology] และชีวิตวัฒนธรรม [Way of life]


ภูมิวัฒนธรรม

เป็นบริบทของพื้นที่กว้างขวางในลักษณะที่เป็นภูมิประเทศของเมืองแพร่ที่แลเห็นได้จากการกำหนดชื่อภูเขา แม่น้ำลำคลอง ลำห้วย หนองบึง ขุนน้ำ และสถานที่ต่าง ๆ ทางการคมนาคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่คนแพร่รู้สึกว่าเป็นของตน เป็นเขตแคว้นของพวกตน


ในขณะที่นิเวศวัฒนธรรม ก็คือพื้นที่ธรรมชาติที่ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้าน และเป็นเมืองขึ้นมา โดยมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติร่วมกัน สร้างความรู้ร่วมกันในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกัน รวมทั้งการกำหนดแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมร่วมกัน


แก่นแท้ของความเป็นท้องถิ่นอยู่ตรงนิเวศวัฒนธรรมนี้ เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เกิดเป็นบ้านเป็นเมืองที่ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก็คือ ประวัติศาสตร์ของบ้านและเมืองในบริเวณใดบริเวณหนึ่งนั่นเอง ซึ่งในสมัยโบราณมักเล่าขานในตำนานที่เรียกว่า การสร้างบ้านแปงเมือง ท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องของพื้นที่ซึ่งมีบ้านและเมืองอยู่รวมกัน จนเกิดสำนึกร่วมว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่นคำว่า คนเมืองแพร่ คนเมืองลำปาง เป็นต้น


ส่วน ชีวิตวัฒนธรรม หมายถึง ชีวิตของผู้คนในชุมชนที่เรียกว่า บ้าน อันเป็นหน่วยย่อยหรือบริวารของ เมือง ความเป็นบ้านนั้นหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] ที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางสังคม อยู่ร่วมกันในพื้นที่อยู่อาศัยจนเกิดเป็นครัวเรือน ครอบครัว ตระกูล โคตรเหง้าและพี่น้องร่วมบ้านกันมาไม่ต่ำกว่าสามชั่วคน เป็นความสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตา รู้จักกันว่าใครเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และมักสื่อกันด้วยคำที่เป็นญาติ เช่น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย และพี่น้อง เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดความเกาะเกี่ยวทางสังคมที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแบบกลไกของเครื่องจักร เครื่องยนต์ [Mechanical solidarity]


ความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนบ้านแบบที่เป็นกลไกนี้ ทำให้การอยู่ร่วมกันของความเป็นชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนที่เป็นจริง [Social reality] ที่แตกต่างไปจากชุมชนเมืองอันเป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง เพราะในพื้นที่หรือท้องถิ่นนั้นประกอบด้วยหลายหมู่บ้านที่แตกต่างกันไปตามความเป็นมาทางชาติพันธุ์ แต่การมาอยู่ร่วมพื้นที่เดียวกันที่ต้องใช้พื้นที่สาธารณะทั้งในด้านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสาธารณะร่วมกัน ทำให้เกิดสำนึกร่วมในการต้องพึ่งพิงจนเกิดสำนึกในความเป็นคนถิ่นเดียวกันขึ้น


โดยโครงสร้างทางสังคมในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงกันนี้ ทำให้การเกาะเกี่ยวทางสังคมมีลักษณะเหมือนอวัยวะ [Organic solidarity] เป็นโครงสร้างสังคมที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในเรื่องความเป็นชนชั้น นับเนื่องเป็นชุมชนทางจินตนาการ [Imagined community] ที่มีระบบการสื่อกันด้วยภาษาซึ่งมีระยะห่างทางสังคมและสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานภาพที่แตกต่างกัน และการสมมุติให้เป็นพวกเดียวกัน เช่น การเป็นคนเมืองแพร่ เป็นต้น


อย่างไรก็ตามความเป็นชุมชนทางจินตนาการอันเกิดจากความสัมพันธ์หรือความผูกพันของคนกับพื้นที่ยังกินเลยไปถึงเรื่องภูมิวัฒนธรรมด้วยต่างกันในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์ที่หลวมกว่า เพราะพื้นที่มีอาณาบริเวณที่เป็นธรรมชาติกว้างขวางเกินความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับบ้านและเมือง จึงกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับเขตแคว้นหรือนคร หรือประเทศเป็นสำคัญ


ท้องถิ่นของบ้านเมืองและเขตแคว้นทั้ง ๓ ระดับนี้ ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ก็นับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ครั้งบ้านเมืองยังมีสภาพเป็น สังคมชาวนา [Peasant society] การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในที่นี้จึงเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมจากอดีต คือตั้งแต่สังคมชาวนามาจนเป็น สังคมอุตสาหกรรม [Industrial society] ในปัจจุบัน


เหตุที่ต้องเท้าความถึงสังคมชาวนาในที่นี้ก็เพราะสังคมชาวนาดูเป็นของแปลกประหลาดที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักการศึกษา และนักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่าง ๆ ในสังคมสมัยใหม่ยุคพัฒนาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เคยสนใจ โดยมุ่งการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทางเศรษฐกิจด้วยแผนพัฒนาจากแผนที่ ๑ มาจนปัจจุบันด้วยความเชื่อและความหลงผิดว่า สังคมไทยในสมัยก่อนการพัฒนาเป็น สังคมกสิกร [Farmer] ที่บรรดาคนทำไร่ คนจับปลา และคนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายคือคนที่สามารถเป็น ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย [Small Entrepreneur] ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย


ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานทางสังคมของผู้คนทั่วไปในประเทศก็ยังเป็นชาวนามากกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มาจากข้างนอกและเบื้องบน (หมายถึงจากรัฐ) เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการแบ่งพื้นที่และกำหนดพื้นที่ท้องถิ่นของบ้านและเมืองให้เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ การให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน การเลิกทาส และการเก็บภาษีอากรเข้ารัฐ เป็นต้น มีผลทำให้เกิดคนชั้นกลางที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยและเจ้าของที่ดิน ซึ่งถ้าไม่ใช่พวกเจ้านายหรือขุนนางก็มักเป็นพวกเจ๊ก จีน หรือคนต่างชาติ


แต่ครั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมและภูมิวัฒนธรรมที่มีมาแต่ครั้งโบราณก็ดูจำกัดอยู่แต่เพียงพื้นที่ราบลุ่มและลุ่มน้ำ เพราะพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญก็คือ ข้าว มีการบุกเบิกพื้นที่ป่าให้เป็นนา เป็นบ้านเป็นเมืองก็มาก อันเป็นเหตุให้คนปลูกข้าวถูกเรียกว่าเป็น ชาวนาไป ทำให้ภูมิทัศน์ของหลาย ๆ แห่งกลายเป็นทุ่งนา


แต่ความเป็น บ้าน แบบเดิมก็ยังคงดำรงอยู่โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง สิ่งที่แปลกใหม่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดและโรงสี ซึ่งมักเป็นของคนชั้นกลาง และการเพิ่มขึ้นของเมืองแบบใหม่ที่มีตลาดเป็นศูนย์กลาง การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของสภาพแวดล้อมอันเนื่องมาจากการสร้างถนนหนทางและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมยังไม่ค่อยมี ยังแลเห็นความเป็นเมืองแบบใหม่ [Urban Area] และความเป็นชนบทแยกกันอยู่


มาถึงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสภาพแวดล้อมของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเกิดขึ้น เพราะเป็นยุคที่ปูพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ อันได้แก่ การขยายเขตเมือง [Urbanization] การสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้า การสร้างแหล่งอุตสาหกรรมและย่านธุรกิจ ทำให้เกิดพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ขึ้นมากกว่าการปลูกข้าวและทำนาแต่เดิม ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย และอื่น ๆ


บรรดาพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนปลูกบนที่ดอนหรือที่สูงซึ่งเคยเป็นพื้นที่ป่าและเขาอันเป็นแหล่งต้นน้ำและเก็บน้ำที่มาจากฝนทั้งสิ้น สิ่งที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งจากการสัมปทานและการลอบตัด


สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาราว ๒๐ กว่าปี ภายหลังรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์


อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของนิเวศวัฒนธรรมและภูมิวัฒนธรรมก็เพิ่มความรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นที่ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยมีอิทธิพลในพื้นที่ป่าเขาจนทำให้ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องทำลายเลิกราไป อิทธิพลเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำประเทศ บรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ เข้ามาสมัครเลือกตั้งเป็นนักการเมืองได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เชื้อเชิญต่างชาติให้เข้ามาลงทุน สร้างแหล่งอุตสาหกรรม และเน้นการส่งออกผลผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย


ผลที่ตามมาใน ๒๐ ปีหลังจนปัจจุบันได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวนาแบบก้าวกระโดด ผ่านสังคมกสิกรปลูกข้าวที่มีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นพื้นฐาน เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ในด้านกายภาพ กล่าวคือมีความทันสมัยแทบทุกด้านในด้านวัตถุที่ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา


แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดที่ฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบชาวนา [Peasant] ที่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนบ้านและเมือง ซึ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นคนบ้านเดียวกัน เมืองเดียวกัน หรือท้องถิ่นเดียวกันในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงอาศัยกัน และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ไม่อาจปรับตัวได้ทันและเกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและความล้าหลังทางวัฒนธรรม [Culture lag] ขึ้น ความขัดแย้งทางสังคมก็คือการให้ความสำคัญกับการเป็นปัจเจก [Individualism] จนเกินไปของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีนั้น ทำให้คนในครอบครัวของสังคมชาวนาขัดแย้ง เพราะสมาชิกบางคนที่มีการศึกษาดีและมีโอกาสดีก็ปรับตัวเป็นผู้ประกอบการได้ ทำให้มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัวและกิจกรรมส่วนตัวแทนการที่ต้องอยู่รวมกันและช่วยเหลือกันแบบก่อน แต่ที่สำคัญก็คือมีคนเป็นจำนวนมากที่เอาเปรียบญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ต้องการหาผลประโยชน์จากแรงงานและสิทธิ์ที่เคยมี ผู้ประกอบการที่เป็นชาวบ้านกลายเป็นนายทุน เช่น ให้พี่น้องและเพื่อนร่วมชุมชนกู้ยืมเงินและรับจำนองที่ดิน รวมทั้งสินทรัพย์อย่างอื่น การเปิดช่องว่างทางกฎหมายที่มาจากรัฐทำให้กติกาและจารีตเดิมไม่อาจต้านทานได้ จึงเกิดนายทุนที่มีลักษณะเป็นมาเฟียหรือเจ้าพ่อที่มาจากคนในและคนนอก ซึ่งใช้ระบบอุปถัมภ์แต่เดิมเป็นชื่อเสียงในการเลือกตั้งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผันตัวเองเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองเข้านั่งในสภา


พฤติกรรมดังกล่าวมีแทบทุกหัวระแหงในสังคมท้องถิ่น จนทำให้สภาพแวดล้อมและโครงสร้างสังคมของชุมชนบ้านถูกทำลาย ดังเห็นได้จากการขยายตัวของบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ที่รุกพื้นที่สาธารณะของท้องถิ่นและเข้าไปแทนที่บ้านเรือนตามประเพณีของชาวบ้าน ชาวบ้านเองก็ขายที่ขายนา ขายสวน รวมทั้งขายบ้านให้กับนายทุน แล้วออกไปทำงานเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ในต่างประเทศ หรือตามโรงงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นตามท้องถิ่น ต่าง ๆ แทบทุกภูมิภาค หลาย ๆ แห่งเช่นในภาคอีสาน เป็นต้น


ครอบครัวของชาวนา [Peasant] แต่เดิมกลายเป็นครอบครัวบ้านแตก [Broken home] ที่หัวหน้าครอบครัวคือพ่อและแม่ออกไปทำงานนอกบ้านและไม่ค่อยได้กลับมา ปล่อยให้ลูกอยู่กับคนแก่ที่เป็นปู่ย่าตายาย ชุมชนบ้านแต่ละแห่งก็มีผู้คนจากภายนอกตามที่ต่าง ๆ เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามบ้านจัดสรร หรือไม่ก็สร้างบ้านเรือนใหญ่โตที่แปลกแยกไปจากบ้านเรือนของชาวบ้านแต่เดิม รวมทั้งละเมิดพื้นที่สาธารณะที่ชาวบ้านเคยใช้ร่วมกันมา วัดและพระสงฆ์หลายแห่งเปิดรับการส่งเสริมดูแลจากคนภายนอกแทนที่จะเป็นศูนย์กลางของชุมชนภายในแบบที่แล้วมา


แต่ที่สำคัญก็คือชุมชนบ้านในปัจจุบันเป็นเพียงแหล่งที่อยู่อาศัยแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนซึ่งกันและกัน และไม่อาจบูรณาการให้เกิดสำนึกร่วมอะไรได้ ผลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือการล่มสลายของชุมชนทางชาติพันธุ์ที่เคยมีอยู่ในสังคมชาวนาทั้งด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และสังคม


ปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า ท้องถิ่นหลายแห่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทั้งภูมิวัฒนธรรม นิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรม ที่เคยมีมาแต่สมัยสังคมชาวนาเกิดภาวะล่มสลาย และกำลังเพิ่มความขัดแย้งและความรุนแรงที่นำไปสู่การขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและจริยธรรมที่จะมีผลไปถึงความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม


สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของความล่มสลายดังกล่าวนี้ก็คือ รัฐบาลตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ขาดความเข้าใจในเรื่องสังคมชาวนา เพราะบรรดาผู้รู้และนักวิชาการ และผู้บริหารประเทศทั้งหลายมุ่งพัฒนาแบบแนวตั้ง คือจากข้างบนและข้างนอกเข้ามาข้างใน โดยคิดว่าคนในส่วนใหญ่คือคนในสังคมกสิกรปลูกข้าวที่แทบทุกครอบครัวและครัวเรือนมีความสามารถเป็น ผู้ประกอบการ [Entrepreneur] การพัฒนาจึงเป็นเรื่องของการส่งเสริมการผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมที่ทุกคนต้องเรียนรู้ในการสร้างงาน ทำมาหากินแบบแข่งขันเพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด แต่ไม่เคยนึกถึงว่าคนเป็นจำนวนมากที่มีพื้นฐานมาจากสังคมชาวนานั้นไม่มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาให้เป็นผู้ประกอบการได้


โดยเหตุนี้เมื่อทางรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาวบ้านด้วยการให้ทุนอุดหนุนเพื่อนำไปประกอบการ จึงประสบความล้มเหลวและนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมตลอดมา โดยเริ่มแต่รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเรื่องเงินผันที่ทำให้ชาวบ้านเลิก กิจกรรมของท้องถิ่น [Inter village cooperation] ในการร่วมงานกันในการสร้างถนนหนทาง ลอกคูคลอง และการจัดการระบายน้ำ ทดน้ำร่วมกัน มาเป็นรอให้มีเงินผันมาแจกจ่ายจึงจะทำ


ในขณะที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเงินผันก็คือพวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เลยถือโอกาสผันเงินไปให้แก่พวกพ้องของตน การมีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรเงินรัฐบาลนั้นได้ทำให้พฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เปลี่ยนไป แต่เดิมคนที่จะดำรงตำแหน่งนี้คือผู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถและมีคุณธรรม แต่หลังจากการกระจายเงินอุดหนุนของทางรัฐบาล ผู้ที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็คือผู้หาเสียง ซื้อเสียงเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็มีทั้งคนในและคนนอกที่มีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจนั่นเอง


หลังจากรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้ว การให้ทุนอุดหนุนเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นก็มีเรื่อยมาทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่แล้วมา ถือว่าเป็นนโยบายสร้างประชานิยมด้วยการแจกเงินทุนเป็นจำนวนมาก ๆ ไปทุกหมู่บ้านทั่วราชอาณาจักร นับเป็นสิ่งที่นำไปสู่การทำลายสังคม สภาพแวดล้อม และทรัพยากรของท้องถิ่นอย่างมหาศาล เพราะเงินทุนนั้นจะเป็นประโยชน์แก่บรรดาชาวบ้านที่เป็นผู้ประกอบการ คือ พวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และพรรคพวก แต่ส่วนมากชาวบ้านทั่วไปคือพวกชาวนา [Peasant] ที่ประกอบการไม่เป็นก็กลายเป็นผู้นำเงินไปใช้ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเป็นหนี้สิน กลายเป็นคนไร้ฐานะไป


ดังนั้นจึงพอสรุปให้เห็นได้ว่าการพัฒนาประเทศแต่สมัยเกือบครึ่งศตวรรษคือกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมาแต่ครั้งรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น สังคมไทยเปลี่ยนแปลงแบบกระโดดผ่านสังคมชาวนาที่เป็นพื้นฐานมาแต่เดิม โดยการมองแบบทางตะวันตกที่เห็นว่าสังคมพื้นฐานคือสังคมเกษตรกร [Farmer] ที่ปัจเจกบุคคลมีความสามารถเป็นผู้ประกอบการได้แล้วพัฒนาเข้าสู่ความเป็นสังคมอุตสาหกรรมจากการชี้แนะและกระทำโดยรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญทางวัตถุของโลกจากภายนอก จนทำให้ในปัจจุบันสังคมไทยคือสังคมอุตสาหกรรมที่แทบทุกหนแห่งถูกครอบงำไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมอื่น ๆ แทบทุกรูปแบบ จนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่ไม่รู้จักตัวเองและรากเหง้าความเป็นมาในอดีต มองตนเองในลักษณะปัจเจกที่ถูกครอบงำโดยสิ่งที่เป็นวัตถุนิยม ขาดความเข้าใจในด้านศีลธรรม จริยธรรม และความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง


การศึกษาเรื่อง นครแพร่ จากอดีตสู่ปัจจุบัน ในงานวิจัยนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมในสามมิติจากกว้างมาหาแคบ คือ จากภูมิวัฒนธรรมมาถึงนิเวศวัฒนธรรม และชีวิตวัฒนธรรมตามลำดับ โดยเฉพาะชีวิตวัฒนธรรมนั้นจะพยายามแตะต้องให้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนแพร่โดยตรงในทางชาติพันธุ์ [Ethnicity] แต่ก็ไม่ได้ลืมบริบททางประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ที่เคยมีพัฒนาการเป็นนครรัฐแห่งหนึ่งในดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยที่รู้จักกันในนามของล้านนา ซึ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนทางเศรษฐกิจสังคมในสมัยปัจจุบัน เวียงแพร่อันเป็นศูนย์กลางของนครรัฐยังดำรงโครงสร้างทางกายภาพของเวียงได้ดีกว่าบรรดาเวียงทั้งหลายของล้านนา ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และน่าน ซึ่งร่องรอยของความเป็นเวียงและเมืองในอดีตได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง


เหตุนี้เวียงแพร่จึงเป็น เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต [Living historic city] ท่ามกลาง บรรดาเมืองเก่า ๆ ในล้านนา


แผนผังเวียงแพร่


ภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่


โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ นครแพร่ อยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยเช่นเดียวกับบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนา อื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เป็นแอ่งและเป็นหุบ อันเป็นที่ว่างระหว่างเขา ภูมิประเทศทางภาคเหนือนั้นเป็นทิวเขาที่แตกแยกมาจากปลายเทือกเขาหิมาลัย แล้ววางตัวเป็นทิวลงมาคล้ายกันกับนิ้วมือ โดยมีที่ราบลุ่มน้ำ ลำห้วย อยู่ระหว่างง่ามนิ้วมือ โดยมีลำน้ำสายใหญ่ ๆ หล่อเลี้ยงถึง ๔ สายคือ ลำน้ำปิง วัง ยม และน่าน เป็นเหตุให้ตามลุ่มน้ำดังกล่าวนี้เกิดมีพัฒนาการทางสังคมของผู้คนขึ้นเป็นนครรัฐ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่


ถ้าพิจารณาแบ่งลักษณะภูมิประเทศตามลุ่มแม่น้ำระหว่างทิวเขาดังกล่าว ก็อาจกล่าวได้ว่า บรรดาบ้านเมืองในเขตแคว้นล้านนาที่กล่าวมานี้ล้วนตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนบนทั้งสิ้น ต่ำลงมาในเขตจังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร และนครสวรรค์ ที่มีลำน้ำทั้งสี่ไหลผ่านก็นับเนื่องเป็นบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของบรรดาบ้านเมืองในแว่นแคว้นสุโขทัย เพราะฉะนั้นหากพิจารณาภูมิประเทศแล้ว ทั้งเขตแดนล้านนาและสุโขทัยต่างก็อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน ด้วยกัน เลยเป็นเหตุให้ทางราชการแบ่งเขตการปกครองเป็นภาคเหนือตอนบน คือ เขตแคว้นล้านนา กับภาคเหนือตอนล่างในเขตแคว้นสุโขทัยไป ซึ่งก็ขัดกับความเป็นจริงทางภาษาและวัฒนธรรม ที่ผู้คนในเขตแคว้นสุโขทัยมีภาษาและวัฒนธรรมที่เป็นแบบภาคกลางมากกว่าแบบภาคเหนือในเขตแคว้นล้านนา


ความเป็นภูมิวัฒนธรรมของนครแพร่ก็คือเป็นบ้านเมืองและผู้คนที่พัฒนาขึ้นในภูมิประเทศที่เป็นแอ่ง [Basins] และหุบ [Valley] ในลุ่มน้ำยม ที่มีต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาในเขตอำเภอปง จังหวัดพะเยา ไหลผ่านบริเวณหุบ [Valley] อันเป็นที่ราบแคบระหว่างเขามายังอำเภอเชียงม่วน โดยมีลำห้วยเล็กใหญ่ไหลลงจากเขาทั้งสองด้านมาสมทบ ทำให้พื้นที่ของหุบบางแห่งป่องกลาง เป็นที่ชุ่มน้ำและมีหนองบึงคล้ายกับแอ่งเล็ก ๆ เป็นที่รวมสายน้ำ ทำให้ลำน้ำยมใหญ่ขึ้นก่อนที่จะไหลผ่านพื้นที่หุบแคบ ๆ ลงไปทางใต้ไปยังตำบลสะเอียบ อันเป็นบริเวณหุบกว้างที่มีที่ราบลุ่มและมีลำห้วยหลายสายไหลมาสมทบ นับเนื่องเป็นแอ่งเล็ก ๆ [Small basin] ที่ทำให้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้


พื้นที่แอ่งเล็ก ๆ ภายในหุบใหญ่ดังกล่าวนี้ก็คือนิเวศวัฒนธรรมที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปงเมืองกัน โดยเหตุนี้ยังกล่าวได้ว่าพื้นที่ของหุบแม่ยมจากอำเภอปงผ่านอำเภอเชียงม่วนมาถึงตำบลสะเอียบ เป็นที่ซึ่งมีทั้งหุบแคบ [Small basin] และหุบกว้าง บริเวณที่เป็นหุบกว้างเช่นที่อำเภอปง อำเภอเชียงม่วน และตำบลสะเอียบ ก็เป็นแหล่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง เกิดเป็นเมืองปง เมืองเชียงม่วน และเมืองสะเอียบ ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองด่านเล็ก ๆ เช่นที่ลำน้ำยมจะไหลผ่านหุบแคบลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งใหญ่ [Basin] ของเมืองสองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอ่งเมืองแพร่


หุบแม่ยมตั้งแต่อำเภอปงลงมาจนถึงอำเภอสองนั้น เคยเป็นเส้นทางคมนาคมโบราณจากเมืองแพร่ผ่านเมืองสองไปยังเชียงม่วน เพื่อต่อไปยังบ้านเมืองในลุ่มน้ำปิงซึ่งมี เมืองพะเยา เป็นเมืองสำคัญ และเมืองปง ที่เป็นเส้นทางข้ามเขาสันปันน้ำไปยังบ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำน่านเช่น เมืองปัว อีกทีหนึ่ง การเป็นเส้นทางคมนาคมและทั้งมีแอ่งเล็ก ๆ ที่สร้างบ้านแปงเมืองได้นี้ ทำให้ภูมิประเทศ ป่าเขา ลำน้ำ และลำห้วยสองฝั่งน้ำยมมีความเป็นภูมิวัฒนธรรมขึ้นมา เพราะเป็นพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใช้สติปัญญาในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความรู้และภูมิปัญญาในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เป็นการดำรงชีวิตรอดร่วมกัน


ความเป็นภูมิวัฒนธรรมนั้นสะท้อนให้เห็นจากบรรดาชื่อของสถานที่ทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น ชื่อภูเขาในนามของดอยหรือภู เป็นต้น ซึ่งลำน้ำลำห้วยที่ไหลผ่านท้องถิ่น (นิเวศวัฒนธรรม) ต่าง ๆ รวมทั้งชื่อของพืชพันธุ์ ต้นไม้ และสัตว์ เป็นต้น


คนในพื้นที่ซึ่งเป็นหุบหรือแอ่งเดียวกันจะรู้จักสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน รวมทั้งรู้จักและเข้าใจว่าอะไรอยู่ในท้องถิ่นของคน อะไรที่เป็นของรวมกัน จากความรู้ความเข้าใจดังกล่าวทำให้มีการสร้างและอธิบายความหมายในรูปแบบของตำนาน นิทาน และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดแก่กันด้วยลายลักษณ์และการเล่าขาน รวมทั้งการพบปะในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและไสยศาสตร์ร่วมกัน สิ่งที่น่าสังเกตจากการเดินทางเข้าไปในหุบแม่ยมจากสะเอียบจนถึงเมืองปงก็คือ ได้แลเห็นการขยายตัวของภูมิวัฒนธรรมและนิเวศวัฒนธรรมไปในพื้นที่และภูมิประเทศที่ห่างไกลผู้คนระหว่างเมืองต่อเมือง


แต่ก่อนเมืองปง เมืองเชียงม่วน และสะเอียบจะมีพื้นที่ว่างระหว่างกัน มาบัดนี้การขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานได้ทำให้ช่องว่างหรือระยะห่างดังกล่าวเชื่อมต่อกัน จึงปรากฏการให้ชื่อของภูเขาป่าดง และลำน้ำลำห้วยเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดท้องถิ่นที่เป็นชุมชนบ้านและเมืองเพิ่มขึ้น


จากหุบแม่ยมจากตำบลสะเอียบ ลำน้ำยมไหลผ่านพื้นที่แคบ ๆ ในหุบเขาลงสู่ที่ราบของแอ่งเมืองสองในเขตอำเภอสอง แอ่งนี้เป็นที่รวมของลำน้ำสำคัญ ๒ สาย คือ ลำน้ำยม ที่มาจากอำเภอปงดังได้กล่าวมาแล้วกับ ลำน้ำงาว ที่ไหลมาจากทางเหนือจากเทือกเขาในเขตอำเภองาว จังหวัดลำปาง หุบเขาแคบ ๆ ที่ลำน้ำงาวไหลลงมานั้นยังมีภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติที่เพิ่งมีการบุกเบิกเป็นชุมชนเมื่อไม่นานมานี้ ลำน้ำงาวสบกับลำน้ำยมในบริเวณที่เรียกว่า สบงาว และกลายเป็นลำน้ำเดียวกันลงสู่ที่ราบลุ่มแอ่งเมืองสอง ณ บริเวณเมืองสองนี้เป็นที่ที่มีลำน้ำสองไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกลงมาออกที่ลุ่มน้ำยม


แอ่งเมืองสองนับเนื่องเป็นนิเวศวัฒนธรรมที่มีการสร้างบ้านแปงเมือง ดังเห็นได้จากการมีร่องรอยของเวียงโบราณแต่สมัยล้านนา ๒ แห่ง คือ เวียงสองและเวียงเทพ มีพระบรมธาตุเจดีย์ มีวัดและชุมชนหมู่บ้านหลายแห่งอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เวียงสองตั้งอยู่ริมลำน้ำสองบนที่ลาดลงมาจากเขา มีร่องรอยของคูน้ำและคันดินสลับซับซ้อน รวมทั้งภายในบริเวณเมืองมีความโดดเด่น แสดงการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและศาสนสถานหลายแห่ง การกระจายตัวของเศษภาชนะดินเผาทั้งแบบเผาธรรมดา เผาแกร่งและเผาเคลือบ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นเวียงที่มีคนอยู่อาศัยมากและต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสำคัญขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา อันเป็นเวลาที่นครแพร่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช มหาราชแห่งนครเชียงใหม่


ส่วนเวียงเทพ นั้นมีเพียงร่องรอยของแนวกำแพงดินและคูน้ำเหนือให้เห็นได้ชัดใกล้กันกับลำน้ำยม แต่ภายในตัวเวียงพบซากของโคกเนินที่เป็นศาสนสถานน้อย อีกทั้งเศษกระเบื้องถ้วยชามที่สะท้อนให้เห็นถึงการอยู่อาศัยก็กระจายอยู่ไม่มาก มีลักษณะเบาบางที่แสดงการอยู่อาศัยของผู้คนในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นในเวลามีศึกสงคราม เพราะแอ่งเมืองสองนั้นนับเนื่องเป็นเมืองหน้าด่าน ที่การคมนาคมและเส้นทางเดินทัพจากเมืองพะเยาและเมืองน่านผ่านไปมาถึงเมืองแพร่ แอ่งเมืองสองมีพื้นที่ราบกว้างขวางพอสำหรับทำชลประทานแบบเหมืองฝายที่ทำให้ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองได้อย่างมีการสืบเนื่อง ซึ่งก็แลเห็นได้จากชุมชนท้องถิ่นของเมืองสองในปัจจุบันที่มีการเติบโตเป็นอำเภอและมีย่านตลาดใหญ่โต


การที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างสืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ทำให้เมืองสองกลายเป็นเมืองสำคัญในตำนานประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่ ในนามของเมืองพระเพื่อนพระแพง ในวรรณคดีเรื่อง พระลอ ที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อมีการตื่นตัวค้นคว้าเรื่องราวโบราณคดีขึ้นแต่สมัยรัชกาลที่ ๕– ๖ ก็ทำให้มีผู้เชื่อว่าเมืองในวรรณคดีของเรื่องนี้มีความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ ได้มีการศึกษาบรรดาเมืองโบราณต่าง ๆ ในเขตแคว้นล้านนา และให้ความเห็นว่าเมืองสองในเขตจังหวัดแพร่นี้คือ เมืองสองในตำนานเรื่องพระลอ ลำน้ำสองก็ถูกตีความว่าเป็น ลำน้ำกาหลง และพระสถูปเจดีย์ที่สำคัญของเมืองก็ถูกกำหนดให้เป็น พระธาตุพระลอ เกิดศาลเจ้าปู่สมิงพราย เป็นที่เคารพของผู้คนทั้งในเขตเมืองและคนภายนอกที่ผ่านไปมา แต่ที่สำคัญมีการเล่าขานกันว่าภูเขาที่เป็นขุนน้ำและต้นน้ำของเมืองสองทางด้านตะวันออกของเมืองคือ เขาปู่เจ้าสมิงพราย จากแอ่งเมืองสองลำน้ำยมไหลผ่านที่ราบลุ่มในเขตบ้านห้วยขอน บ้านทุ่งน้าว บ้านแม่ทะ บ้านวังหลวง บ้านห้วยคงเจริญ เข้าสู่ที่ราบกว้างใหญ่ของแอ่งเมืองแพร่ที่มีลำห้วยและลำน้ำหลายสายไหลลงจากเทือกเขาทางเหนือ ทางตะวันตก และทางตะวันออกลงมารวมกับลำน้ำยม ที่ทำให้พื้นที่ของแอ่งเป็นที่ราบลุ่ม มีน้ำบริบูรณ์เพื่อการเกษตรกรรมที่กว้างใหญ่


แต่ลำน้ำสำคัญที่มารวมกับลำน้ำยมในแอ่งใหญ่นี้ได้แก่ลำน้ำแม่คำมี ที่ไหลมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกที่กั้นแอ่งแพร่ออกจากแอ่งน้ำในเขตจังหวัดน่าน ลำน้ำนี้ไหลผ่านหุบเขาเล็ก ๆ มาออกพื้นที่ราบของเขตอำเภอร้องกวาง ก่อนที่จะไปรวมกับลำน้ำยมในเขตบ้านแม่หลายในอำเภอเมือง จากบ้านแม่หลายลำน้ำยมขยายใหญ่ มีสภาพเป็นแม่น้ำไหลผ่านที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ของแอ่งแพร่ ที่มีลำน้ำลำห้วยจากทิวเขาทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกไหลลงมา


ปัจจุบันเห็นการตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองภายในแอ่งได้ชัดเจน กล่าวคือแม่น้ำยมมีลักษณะการไหลที่คดเคี้ยวเพราะลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเกิดบริเวณลำน้ำคด ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมีที่ราบกว้างใหญ่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐานมากกว่าทางฝั่งตะวันตก พื้นที่ดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองลงไปทางใต้ ผ่านอำเภอสูงเม่นจนถึงอำเภอเด่นชัย ที่ราบลุ่มทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมนี้เองที่มีผู้คนตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองมาแต่โบราณ เพราะได้อาศัยบรรดาลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกในการทำเหมืองฝาย เพื่อจัดการน้ำอุปโภคบริโภคและการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันตกเป็นเพียงที่ราบและทุ่งราบแคบ ๆ ที่แม้จะมีลำห้วยลำน้ำไหลลงจากเทือกเขาก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะในการจัดการน้ำกินน้ำใช้ของผู้คน เหตุนี้การเติบโตของชุมชนที่อยู่อาศัยและการเกษตรกรรมจึงเจริญขึ้นในสมัยหลัง ๆ ลงมา


สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในแถบนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการทำป่าไม้สัก ที่เป็นเศรษฐกิจสำคัญของเมืองแพร่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนอาจกล่าวได้ว่า นับแต่เขตอำเภอสูงเม่นลงไปจนถึงอำเภอเด่นชัย มีแหล่งค้าไม้และบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้สักที่มีการนำเอาต้นซุงไม้สักมาทำเสาบ้านกันมากมาย เมืองแพร่จึงเป็นเมืองที่ทำไม้สักและมีรายได้จากไม้สักมากกว่าการเป็นเมืองปลูกข้าวและทำเกษตรกรรม


บริเวณอำเภอเด่นชัยคือบริเวณที่ราบลุ่มตอนล่างของแอ่งแพร่ เพราะจากบริเวณนี้ลำน้ำยมจะไหลคดเคี้ยวผ่านซอกเขาและหุบเขาไปทางตะวันตกและทางใต้ พื้นที่จึงเต็มไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นสัก ซึ่งปัจจุบันมีการตัดไม้สักในลักษณะทำลายสภาพแวดล้อมกันเป็นอย่างมาก แต่ก่อนแทบไม่มีชุมชน แต่ปัจจุบันชุมชนรุ่นใหม่ขึ้นตามเส้นทางถนนที่ตัดผ่านไปยังจังหวัดลำปางและสุโขทัย แต่เมื่อแม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและหุบเขาเข้าเขตอำเภอลองก็เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งเล็ก ๆ แห่งหนึ่งคือ แอ่งเมืองลอง บริเวณที่มีลำน้ำแม่ลานไหลจากหุบเขาทางเหนือมาสบแอ่งเมืองลองนี้กินพื้นที่ตั้งแต่บ้านนาสารในหุบแม่ลาน ที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินลงไปสบกับแม่น้ำยมในบริเวณอำเภอลอง และทำให้แม่น้ำยมกว้างขึ้นก่อนที่จะผ่านบริเวณซอกเขาและหุบเขาเข้าสู่แอ่งที่ราบลุ่มในเขตอำเภอวังชิ้น


ความสำคัญของแอ่งเมืองลองก็คือ เป็นบริเวณชุมทางของการคมนาคมและเส้นทางเดินทัพในสมัยโบราณระหว่างเมืองแพร่ เมืองลำปาง กับเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลกและสุโขทัย อันนับเนื่องเป็นบ้านเมืองในลุ่มน้ำยมตอนล่าง แอ่งเมืองลองมีพื้นที่รับน้ำเป็นที่ราบกว้างใหญ่อย่างชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมูล เพราะมีลำน้ำลำห้วยไหลลงจากทิวเขาที่แยกลุ่มน้ำยมออกจากพื้นที่ภูเขาในเขตจังหวัดลำปาง การตั้งถิ่นฐานของบ้านเมืองจะอยู่ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะบริเวณอำเภอลองและตำบลบ้านปินที่อยู่ริมลำน้ำแม่ลาน


บ้านปินเป็นบริเวณที่ทางรถไฟผ่าน มีสถานีรถไฟที่ทำให้เกิดย่านตลาดและบ้านเมืองแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา ในขณะที่ตัวอำเภอลองเป็นแหล่งศูนย์กลางของวัดพระธาตุห้วยอ้อหรือวัดศรีดอนคำ ที่เป็นศูนย์กลางศาสนาและพิธีกรรมของท้องถิ่น ต่ำจากบริเวณตัวอำเภอลองลงมาใกล้กับบริเวณที่ลุ่มน้ำแม่ลานสบกับลำน้ำยมเป็นที่ตั้งของ เมืองลองโบราณ ที่มีคูน้ำและคันดินอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม เมืองลองนี้มีฐานพระสถูปเจดีย์ที่เป็นพระบรมธาตุอยู่กลางเมือง ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นแต่รัชกาลพระเจ้าติโลกราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา เมืองลองเป็นเมืองทางยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพล้านนาที่ทำสงครามกับกองทัพกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา


ทางตอนเหนือของแอ่งเมืองลองอันเป็นหุบเขาที่ลำน้ำแม่ลานไหลผ่านบ้านปินไปรวมกับแม่น้ำยมนั้น มีลำน้ำอีกสายหนึ่งคือลำน้ำแม่ตัว ซึ่งนับเป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่ลาน ลำน้ำนี้มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาทางด้านเหนือในเขตบ้านแป้น ไหลลงสู่ที่ราบลุ่มที่เป็นหุบเหมาะกับการสร้างบ้านแปงเมือง มีภูเขาหินปูนที่มีถ้ำที่ผู้คนถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันพื้นที่ในหุบนี้ทั้งสองฝั่งน้ำแม่ตัวเกิดเป็นชุมชนในระดับตำบลที่มีผู้คนเข้ามาอยู่มากมาย มีวัดเก่าและแหล่งโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ในสมัยล้านนา ชาวบ้านบอกว่ามีร่องรอยของเวียงคือ บริเวณที่มีคันดินและคูน้ำสร้างบนเนิน และเรียกชุมชนที่ตั้งอยู่ในหุบนี้ว่า เวียงต้า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวียงต้า คือแหล่งหลบภัยและปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยที่ผู้รู้ในท้องถิ่นได้ทำการศึกษาและบันทึกไว้ โดยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เวียงต้านับเป็นชุมชนภายในหุบเขาที่เหมาะสำหรับหลบภัย และมีเส้นทางคมนาคมเข้าไปยังเมืองแพร่ที่อยู่ทางตะวันออกได้


ต่อจากแอ่งเมืองสอง แม่น้ำยมไหลผ่านซอกเขาและที่ราบลุ่มในเขตบ้านทุ่งแล้ง บ้านแม่ป้วก เข้าสู่ที่ราบลุ่มของแอ่งวังชิ้นอันเป็นที่ตั้งของอำเภอวังชิ้นในปัจจุบัน บริเวณนี้เป็นแอ่งยาวที่มีพื้นที่ราบลุ่ม มีลำน้ำลำห้วยจากเขาไหลลงมาหล่อเลี้ยงทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ทำให้เกิดชุมชนบ้านเมืองมาแต่โบราณ มีร่องรอยของเวียงโบราณที่เป็นเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฝั่งตะวันตก โดยตั้งอยู่ ณ บริเวณปากลำน้ำเก่าที่ไหลมาจากเทือกเขาทิศตะวันตกเฉียงใต้มาสบกับแม่น้ำยม โดยมีวัดพระธาตุปงสนุกเป็นพระธาตุประจำเมือง เมืองนี้ใช้ลำน้ำยมเป็นคูเมืองด้านตะวันออก โดยมีคูน้ำและกำแพงเมืองทางด้านตะวันตกยาวขนานไปกับแม่น้ำยม ณ วัดพระธาตุปงสนุกซึ่งเป็นวัดโบราณพบศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักหนึ่งที่มีอายุอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ กล่าวถึง เมืองตรอกสลอบ และเจ้าเมืองที่น่าสนใจก็คือบริเวณแอ่งวังชิ้นมีร่องรอยของลำน้ำแม่สร้อยที่ไหลผ่านหุบเขาที่มีที่ราบลุ่มจากบริเวณบ้านแม่หละ บ้านป่าสัก บ้านสองแคว มาสบกับแม่น้ำยมในบริเวณบ้านแม่สร้อย ซึ่งอยู่ต่ำจากเมืองโบราณที่อำเภอวังชิ้นลงมาเล็กน้อย หุบแม่สร้อยนี้เป็นเส้นทางโบราณที่เชื่อมบ้านเมืองในเขตแอ่งวังชิ้น จากต้นลำน้ำแม่สร้อยข้ามเข้าไปยังห้วยแม่ปะสู่บ้านเมืองในแอ่งเมืองเถินในลุ่มน้ำวังในจังหวัดลำปาง


นิเวศวัฒนธรรม


ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือภูมิวัฒนธรรมอันเป็นเรื่องของภูมิประเทศ หุบและแอ่งที่ผู้คนเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองและปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งที่เป็นแกนสำคัญของการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยก็คือ น้ำ ที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคและทำการเพาะปลูก การจัดการน้ำจึงมีความหมายต่อการอยู่อาศัยของผู้คนในท้องถิ่นหนึ่งที่อยู่ในแอ่งและหุบ


แม่น้ำยม คือเส้นชีวิตของคนเมืองแพร่ที่ไหลผ่านหุบและแอ่งจนเกิดท้องถิ่นหรือนิเวศวัฒนธรรมอันเป็นพื้นที่ในการสร้างบ้านแปงเมืองหลายแห่ง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ บรรดานิเวศวัฒนธรรมที่เกิดเป็นบ้านเมืองของนครรัฐแพร่ ซึ่งในปัจจุบันนับเนื่องเป็นเขตการบริหารการปกครองที่เรียกว่า จังหวัดแพร่ ในที่นี้จะไม่นำเสนอในทุกนิเวศวัฒนธรรมตามที่มีอยู่ในภูมิวัฒนธรรมที่กล่าวมาแล้ว แต่จะนำเสนอเพียงบรรดานิเวศวัฒนธรรมสำคัญ ๆ โดยเฉพาะในเขตแอ่งที่ราบเมืองแพร่และสะเอียบ


นครแพร่หรือเวียงแพร่ เป็นศูนย์กลางของเมืองหรือนครแพร่ ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยมที่มีลักษณะการไหลคดเคี้ยวมากกว่าบริเวณอื่น จนทำให้เกิดมีกุดและบริเวณน้ำหลง [Oxbow lake] จึงเป็นบริเวณชุ่มน้ำและเป็นที่รับน้ำจากลำห้วยหลายแห่งที่ไหลลงมาจากเทือกเขาทางด้านตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ โดยเฉพาะลำน้ำแม่แคมและลำน้ำแม่สายที่ไหลลงมาจากภูเขาสูงอันเป็นต้นน้ำ คือ ดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง อันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดของแอ่งแพร่ ลำน้ำทั้งสองไหลจากต้นน้ำในหุบเขาผ่านเขา และตะพักที่สูงจากข้างในลงมายังตะพักต่ำข้างล่าง ผ่านแหล่งที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเมือง หล่อเลี้ยงการเพาะปลูกบนพื้นราบ ทำให้เกิดการสร้างเหมืองและฝายแบ่งน้ำไปหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชนท้องถิ่น และการเพาะปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่าง ๆ


การไหลลงสู่ที่ราบลุ่มของลำน้ำเหล่านี้มีทั้งคุณและโทษ เพราะถ้าฝนตกชุกและต่อเนื่องจะทำให้เกิดน้ำป่าไหลบ่าลงมาจากเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันแก่บ้านเรือนผู้คนตามชุมชนที่อยู่ในพื้นราบ ที่เป็นคุณก็คือการทำเหมืองฝายชักน้ำ เบนน้ำ จากลำห้วยเหล่านี้ไปเลี้ยงที่นาและแหล่งการเพาะปลูก โดยเฉพาะการชักน้ำจากลำแม่แคมและแม่สายเข้าไปยังหนองน้ำในเวียงแพร่เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งปัจจุบันหนองน้ำดังกล่าวนี้ตื้นเขินและถูกกลบเพื่อเป็นพื้นที่ในการก่อสร้างบ้านเรือนและสถานที่ในเมืองไปหมดแล้ว เพราะคนเมืองมีน้ำประปาเพื่อการบริโภคและอุปโภคแทน รวมทั้งบรรดาเหมืองฝายที่เคยมีมาแต่เดิมก็ลดน้อยไป อันเนื่องมาจากทางรัฐได้ขุดลำชลประทานจากเหนือลงใต้ได้ จนทำให้ทางน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากเขาสูงทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้หลายสายตันไป

การเปลี่ยนแปลงทางน้ำดังกล่าวทำให้ความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับแหล่งน้ำกินน้ำใช้ และแหล่งต้นน้ำของผู้คนในเมืองยุคปัจจุบันแทบไม่หลงเหลืออยู่ ซึ่งเห็นได้จากการที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้ และมีความรู้เกี่ยวกับผาช้างด่านและผาช้างแดงอันเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นต้นน้ำของลำน้ำลำห้วยที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงแหล่งเพาะปลูกและเป็นน้ำกินน้ำใช้ของคนเมือง


ผาช้างด่านและผาช้างแดงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประธานของภูมิทัศน์ทางจักรวาลของคนเมืองแพร่ที่คนรุ่นก่อนรู้จักและบอกเล่ากัน โดยเฉพาะบรรดาคนที่เป็นพรานป่าและพวกที่เข้าไปเก็บของป่าเพื่อการทำมาหากิน มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานกันภายในหุบเขาตามตะพักที่ลำห้วยไหลผ่านลงมา โดยเฉพาะการปลูกป่าเมืองและทำเหมือง จนเกิดกลุ่มชนเผ่าบนที่สูงที่เก็บของป่าและผลิตผลจากไร่มาแลกเปลี่ยนกับคนบนพื้นราบ ทำให้การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในระยะแรกซึ่งย้อนหลังไปถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ราบบนตะพักที่ลาดลงจากเทือกเขาผาช้างด่านและผาช้างแดง พื้นที่ดังกล่าวนี้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ลงมา ผู้คนนับถือพระพุทธศาสนา ได้สร้างวัดขึ้นตามชุมชนแต่ละแห่งมากมาย รวมทั้งมีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นตามที่สูงและบนเขา ได้แก่ พระธาตุช่อแฮ พระธาตุจอมแจ้ง และพระธาตุดอยเล็ง บริเวณสำคัญที่สุดที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างต่อเนื่องก็คือ พื้นที่ตั้งแต่บ้านป่าแดง บ้านพันเชิง บ้านมุ้ง บ้านธรรมเมือง บ้านปอ บ้านต้นไคร้ มายังบ้านกลาง นับเป็นชุมชนที่สัมพันธ์กับพระธาตุช่อแฮซึ่งเป็นหลักของนครแพร่


ภายในเขตวัดพระธาตุช่อแฮมีศาลผีใหญ่เป็นที่สถิตของขุนลัวะอ้ายก้อม ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าบนที่สูงซึ่งเคยตั้งถิ่นฐานอยู่บนเนินเขาที่ลาดลงมาจากผาช้างผาด่าน และผาช้างแดง ขุนลัวะอ้ายก้อมเป็นหัวหน้าคนพื้นเมืองที่หันมานับถือพระพุทธศาสนา และมีบทบาทในการบำรุงพระพุทธศาสนา จึงได้มีการสร้างศาลบูชาไว้ในพื้นที่ของวัดพระธาตุช่อแฮ กล่าวกันว่าในงานบุญประเพณีไหว้พระธาตุหรือขึ้นธาตุแต่ก่อนก็มีประเพณีไหว้และสักการะขุนลัวะอ้ายก้อม ผู้กราบไหว้และดูแลพระบรมธาตุด้วย


ตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ลาดของตะพักเขาจากดอยผาช้างด่านและผาช้างแดง ลงมาจนถึงบริเวณที่ราบลุ่ม ที่ราบเชิงเขา อันเป็นบริเวณที่มีพระธาตุช่อแฮเป็นศูนย์กลางนั้น เป็นพื้นที่ของการเกิดเป็นบ้านเป็นเมืองอย่างต่อเนื่อง พระพุทธศาสนาจากแคว้นสุโขทัยได้เข้ามาเป็นที่รับนับถือของผู้คนทั้งที่สูงและที่ราบลุ่มตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา และได้ทำให้คนในแอ่งนครแพร่มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์สุโขทัย โดยเฉพาะสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท ดังมีกล่าวถึงในศิลาจารึกของสุโขทัยหลายหลัก เช่น จารึกวัดเขาสุมนกูฎ ระบุว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยทรงนำคนแพร่ คนเมืองปัว ไปไหว้พระพุทธบาทที่เมืองสุโขทัย รวมทั้งจารึกปู่ขุนจิตขุนจอด หลังรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทกล่าวถึง การสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยและกษัตริย์เมืองน่านในการร่วมมือกันรบกับศึกทางกรุงศรีอยุธยา ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุโขทัยจะเกี่ยวข้องกับน่านไม่ได้ ถ้าไม่เดินทางผ่านแพร่ ทางด้านศิลปกรรมพบว่าบรรดาพระพุทธรูปสำคัญของเมืองแพร่มีรูปแบบลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปสุโขทัยเป็นอย่างมาก จนราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แพร่ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นล้านนาภายใต้การนำของพระเจ้าติโลกราช ผู้ทรงทำสงครามกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นกษัตริย์สุโขทัยพระองค์หนึ่งคือพระยายุทธิษฐิระ ผู้เคยเป็นเจ้าเมืองสองแควได้หนีไปเข้ากับทางล้านนา พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ไปครองเมืองพะเยา ซึ่งเป็นเมืองเอกที่สำคัญในแอ่งเชียงรายของแคว้นล้านนา การขึ้นไปครองเมืองพะเยาของพระยายุทธิษฐิระนั้นต้องผ่านเมืองแพร่ขึ้นไป


ในทางประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าพระยายุทธิษฐิระคือผู้นำการทำเครื่องปั้นดินเผาเคลือบไปเผยแพร่ตามเมืองสำคัญ ต่าง ๆ ในแอ่งเชียงราย และทำให้เกิดการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบกันอย่างแพร่หลาย สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการพบภาชนะดินเผาเคลือบและเศษภาชนะที่มีแบบสุโขทัย เมืองพาน และพะเยา ซึ่งพบหลักฐานในบริเวณเวียงสองซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านขึ้นไปยังพะเยา


จากบริเวณที่ราบเชิงเขาของบ้านเมืองในเขตป่าแดง–ช่อแฮ ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็มีการขยายตัวลงสู่ที่ราบลุ่มชุ่มน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับฝั่งแม่น้ำยม อันเป็นบริเวณที่หล่อเลี้ยงโดยลำน้ำลำห้วยที่ไหลจากเขาดอยผาช้างด่านและผาช้างแดงมาลงแม่น้ำยม และบรรดาลำห้วยที่ไหลลงจากทิวเขาทางด้านตะวันตกผ่านที่ราบลุ่มต่ำมาบรรจบกับแม่น้ำยม แม่น้ำยมในบริเวณนี้กว้างใหญ่ขึ้น อีกทั้งไหลคดเคี้ยวทำให้เกิดพื้นที่สูงริมฝั่งน้ำพอเป็นที่ตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยได้ การขยายตัวดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างเวียงแพร่ขึ้นเป็นศูนย์กลางของนครรัฐ ซึ่งอาจเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมา เวียงแพร่เกิดขึ้นท่ามกลางที่ราบลุ่มที่มีน้ำจากลำห้วยและลำเหมืองหล่อเลี้ยงและตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม โดยรับน้ำจากลำน้ำและลำเหมืองของลำน้ำแม่แคมและแม่สายเข้ามาใช้ในการอุปโภคบริโภค น้ำกินน้ำใช้เหล่านี้ถูกกักเก็บไว้ในบริเวณหนองก่อนที่จะระบายลงสู่แม่น้ำยมที่อยู่ทางด้านตะวันตก


ด้วยเหตุที่เป็นพื้นที่ราบชุ่มน้ำจึงมีโอกาสเกิดน้ำท่วมจากน้ำป่าที่ไหลบ่ามาจากเทือกเขาทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตก อีกทั้งจากการเอ่อล้นของแม่น้ำยม จึงทำให้การสร้างเวียงแพร่โดยเฉพาะกำแพงเมืองสูงใหญ่มั่นคงที่ไม่ป้องกันการรุกล้ำของข้าศึกศัตรูเพียงอย่างเดียว หากใช้เป็นเครื่องป้องกันน้ำท่วมในเวลาน้ำยมเอ่อล้นอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้เป็นเหตุให้การดูแลและบูรณะกำแพงเมืองให้ถาวรจึงดำรงอยู่เรื่อยมา แม้ว่าปัจจุบันการใช้กำแพงเป็นเครื่องป้องกันข้าศึกศัตรูหมดไปแล้วก็ตาม การไม่รื้อกำแพงเมืองทั้งหมดเพื่อการขยายเมืองตามแบบเมืองสมัยใหม่ [Urbanization] นับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำในพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เคยอยู่กันมาตามแบบประเพณีไม่ถูกทำลาย แม้ว่าในขณะนี้ทางเทศบาลและชาวบ้านได้รื้อทำลายและบุกรุกพื้นที่และก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ ขึ้นมาทำลายสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยโบราณก็ตาม


เมืองแพร่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต เพราะมีการอยู่อาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องแต่สมัยล้านนา ดังเห็นได้จาก ศาสนสถานที่สำคัญ เช่น เจดีย์วัดศรีชุม เจดีย์วัดหัวข่วง วัดหลวง และวัดพระนอน เป็นต้น ยังคงเหลือให้ได้เห็นและศึกษาในบริเวณวัดที่ไม่ร้าง ซึ่ง วัดหลวง น่าจะเป็นวัดสำคัญเป็นวัดใหญ่ แต่พระธาตุเจดีย์ได้รับการบูรณะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่หลงเหลือให้เห็นเป็นวัดสำคัญก็คือ ซุ้มประตูโค้งเกือกม้ามียอดลวดลายปูนปั้นประดับที่เป็นของแต่ครั้งรัชกาลพระเจ้าติโลกราชลงมา วัดอื่น ๆ ในเขตเมืองที่เป็นวัดสำคัญของผู้คนแต่ละกลุ่มเหล่าในเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยหลังลงมาก็มากมาย การเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิ่งก่อสร้างคงเป็นเรื่องของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งส่วนมากทำด้วยเครื่องไม้ที่มีรูปแบบและขนาดใหญ่โตขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕-๖ ลงมา ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลของฝรั่งยุคอาณานิคม แต่ก็ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้มีรูปแบบเฉพาะเป็นของตนเอง แต่การแบ่งเขตถนนและตรอกคงยังรักษารูปแบบเดิมอยู่ จนกล่าวได้ว่าเวียงแพร่เป็นตัวอย่างของเมืองล้านนาที่ยังไม่ถูกทำลายเหมือน เช่น เชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ซึ่งก็อาจเปรียบได้กับเมืองหลวงพระบางของแคว้นล้านช้างในขณะนี้


コメント


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page