top of page

นิเวศเดรัจฉาน การสร้างบ้านแปงเมืองในยุคโลกาภิวัตน์

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2552



สมัยกรุงเทพตอนต้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาถึงที่ ๓ การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในสยามประเทศ เป็นกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมชาวนา [Peasant society] ที่เป็นเช่นนั้นเรื่อยมานับพันปี แต่สมัยทวารวดี-ลพบุรีก็ว่าได้ คือ กระบวนการเดียวกันที่ทำให้เกิดชุมชนในระดับบ้านและเมืองขึ้น แม้ว่ารูปแบบของแต่ละยุคแต่สมัยจะไม่เหมือนกันก็ตาม


มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่านอันเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลความคิดแบบบ้านเมืองทางตะวันตกเข้ามา ทำให้โลกทัศน์และค่านิยมของชนชั้นปกครองเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญที่เป็นพลังผลักดันก็คือ ความคิดในเรื่องโลกวิสัย [Secularization] อันเป็นต้นตอของความคิดแบบแยกส่วน


ดังเช่น แต่ก่อนคนมองโลกในลักษณะที่เป็นองค์รวม ไม่มีการแบ่งแยกโลกทางวัตถุกับโลกทางธรรมและจิตวิญญาณในจักรวาลแบบไตรภูมิที่เชื่อว่าโลกแบน มีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินและมีเขาพระสุเมรุมาศเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่สะท้อน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน (นั่นคือ คนต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่า) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ (อันนำมาซึ่งการจัดการกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติเพื่อการมีปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตรอดร่วมกัน เป็นที่มาของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกสิกรรมทางเศรษฐกิจ-การเมือง) ความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเป็นเรื่องของระบบความเชื่อในมิติทางจิตวิญญาณ ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ทั้งมวล มีความเชื่อมโยงด้วยมิติความสัมพันธ์กันทั้งสามอย่างนี้อย่างเป็นองค์รวม


หากแต่ โลกวิสัย [Secularization] เป็นอิทธิพลความนึกคิดของคนตะวันตกที่แยกส่วนโลกทางวัตถุออกจากโลกทางจิตวิญญาณ แถมยังมีความพยายามในการดำเนินการต่าง ๆ ของทางรัฐ ที่จะเพิกเฉยและลบล้างอะไรต่าง ๆ ในเรื่องจิตวิญญาณให้หมดไป ซึ่งมีผลที่ทำให้คนมองอะไรต่ออะไรในแง่ทางวัตถุและเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจนสุดโต่ง


สมัยรัชกาลที่ ๕ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวนา [Peasant society] สู่สังคมกสิกร [Farmer society] เป็นยุคของปัญญาชน ชนชั้นปกครองรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกเต็มตัว สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญก็คือ การปฏิรูปการเมือง การปกครอง โดยใช้ กระบวนการสร้างอาณานิคมภายใน ตามแบบการสร้างอาณานิคมองคนตะวันตกในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ อย่างเช่นการกำหนดการปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ที่ทำให้การดำรงอยู่ของสังคมบ้านและเมืองอย่างมีอิสระทางวัฒนธรรมต้องสุดสิ้นลง บ้านและเมืองกลายเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัดไปจนหมดสิ้น


ท้องถิ่นที่เป็นบ้านและเมืองหมดความเป็นอิสระทางชีวิตวัฒนธรรม ภายใต้การบริหารของบรรดาผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอและข้าหลวง ที่เป็นตัวแทนที่ได้รับมอบหมายอำนาจมาจากรัฐไม่มีอำนาจจากของล่างในระดับท้องถิ่นต่อรอง การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินและการเลิกทาส ทำให้เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและรายใหญ่ที่พัฒนาตัวเองขึ้นเป็นชนชั้นกลางและแรงงานที่มีผลมาจากการเลิกทาส


การทำนาปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีการส่งออกได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศและนิเวศวัฒนธรรมของคนในสังคมชาวนามาเป็นสังคมกสิกรในการปลูกข้าว


มีการถางป่าทางพงให้เป็นนา เกิดการขุดคลองชลประทานส่งน้ำและการทำนบเบนน้ำชักน้ำที่นำไปสู่การสร้างประตูน้ำและเขื่อน ปล่องโรงสีข้าวอันเป็นแหล่งสถิตของบรรดานายทุนและพ่อค้าคนกลางและการเกิดย่านตลาด คือการเกิดความเป็นเมืองในสมัยนี้ รวมทั้งการสร้างถนนและทางรถไฟที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการสร้างบ้านแปงเมืองในยุคของสังคมกสิกรขึ้น


อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนผ่านจากสังคมชาวนามาสู่สังคมกสิกรก็ยังมีเยื่อใยในทางสังคม วัฒนธรรมอย่างรุนแรง จนถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งหมด เพราะเนื่องด้วยการเป็นสังคมเกษตรกรรมเหมือนกัน


กระบวนสมัยประชาธิปไตยเผด็จการของรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงทางโลกวิสัยที่เป็นวัตถุนิยมอย่างสุดโต่งตามพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทางอเมริกาและประเทศใหญ่ ๆ ทางตะวันตก เกิดสถาบันใหญ่ ๆ ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ว่ากระทรวงพัฒนาการแห่งชาติที่ต่อมาเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งการสร้างคนรุ่นใหม่ที่ส่งไปเล่าเรียนและอบรมตามมหาวิทยาลัยในสำนักพ่อแม่ทางตะวันตกมากมายในทางเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากมาย โดยแทบไม่มีวิชาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แต่อย่างใดเกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่เห็นสังคมวัฒนธรรม ที่เป็นผลให้เกิดกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองแบบใหม่ขึ้น เพื่อสังคมที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแต่เดิมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม


เป็นกระบวนการที่เป็นโลกวิสัยในทางวัตถุนิยมอย่างสุดโต่ง ที่ไม่มีมิติทางจิตวิญญาณอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย รวมทั้งเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลนิยมที่ขัดแย้งต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหล่าในลักษณะครอบครัวและชุมชน ในขณะเดียวกันก็ทำลายความสัมพันธ์อย่างมีดุลยภาพระหว่างคนกับธรรมชาติโดยสิ้นเชิง


เพราะเป็นกระบวนการทำลายธรรมชาติและสร้างสภาพแวดล้อมและของเทียมของประดิษฐ์ขึ้นมาแทนที่ ทำให้ความเป็นบ้านเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นตกอยู่ในสภาวะที่ขาดความเป็นมนุษย์ ขาดชีวิตความเป็นอยู่ที่เคยเป็นอิสระเป็นตัวเองมาเป็นอนุภาคของสิ่งที่ไม่มีชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึงพิงจากภายนอก คนรุ่นใหม่ที่เป็นผลผลิตไม่รู้จักธรรมชาติเพราะกำลังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นสิ่งเทียม สิ่งประดิษฐ์ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เสมือนจริงในไซเบอร์เสปซ และความนึกคิดจินตนาการที่แห้งแล้งเหมือนหุ่นยนต์ ในที่สุดคนก็กลายเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง เรียกว่า ทรัพยากรมนุษย์ ที่ใครก็ได้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง จะบงการให้ทำมาหากินเพื่อการดำรงชีวิต


เดี๋ยวนี้การสร้างให้คนเป็นทรัพยากรมนุษย์นั้นมีดาษดื่น มีสอนอบรมกันตามมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่ต้องทำอะไรให้เหมือนกันกับบรรดามหาวิทยาลัยและสถาบันพ่อแม่ทางอเมริกาและตะวันตก


อันกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมเกษตรกรรมนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในนิเวศธรรมชาติในที่หนึ่ง ๆ ให้เป็นพื้นที่ทางนิเวศวัฒนธรรมในสิ่งที่เรียกกันว่า ท้องถิ่น ซึ่งก็มีทั้งพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน อันเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคลและครอบครัว และพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใคร หากเป็นของหลวงหรือของรัฐโดยนิตินัย แต่ในพฤตินัยเป็นของผู้คนในชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในท้องถิ่น


พื้นที่สาธารณะเหล่านี้มีทั้งพื้นที่วัฒนธรรม เช่น วัด ตลาด โรงเรียน ป่าช้า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์กับพื้นที่ธรรมชาติ เช่น หนอง บึง ลำน้ำ แม่น้ำ ท้องทุ่ง ป่าและเขา ที่มีการกำหนดชื่อร่วมกัน สร้างตำนานอธิบาย รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งมีสิ่งเหนือธรรมชาติดูแล ทั้งหมดนี้ทำให้แลเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่ต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัวและชุมชนอันได้แก่ บ้าน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนทางเครือญาติและชาติพันธุ์ ที่อาจจะแตกต่างกันกับชุมชนบ้านอื่น ๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน ชุมชนบ้านเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม จนทำให้เกิดสำนึกร่วมของความเป็นคนถิ่นเดียวกัน ในลักษณะที่เป็น มาตุภูมิ ที่ใดบ้านใดที่กลายเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่น เช่น ตลาด วัดใหญ่มีมหาธาตุเจดีย์ หรือศาสนสถานที่สำคัญ อันเป็นที่ซึ่งผู้คนที่มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง การบริหาร การจัดการทางประเพณีพิธีกรรม และความหลากหลายของคนต่างอาชีพ รวมทั้งเป็นแหล่งศูนย์กลางคมนาคม ชุมชนนั้นมีขนาดใหญ่ มีคนหลากหลายกลุ่มและอาชีพอยู่รวมกัน ชุมชนนั้นก็คือ เมือง เพราะฉะนั้นเรื่องของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในท้องถิ่นเดียวกัน ซึ่งก็มักปรากฏในคำพังเพยแต่โบราณมาว่า บ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งก็หมายถึง มาตุภูมิ นั่นเอง


ท้องถิ่นที่เป็นบ้านเมืองนั้น มีประวัติศาสตร์ร่วมกันในนามของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์สังคม เพราะเน้นความสำคัญอยู่ที่ความเป็นมาและความเป็นอยู่ของผู้คนแต่ละชุมชนทั้งบ้านและเมืองว่าเป็นใครมาจากไหน มาอยู่ร่วมกันจนเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งช่วยกันสร้างนิเวศวัฒนธรรมในการมีชีวิตรอดอยู่ร่วมกันอย่างไรและมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาอย่างไร ซึ่งทำให้ผู้คนในท้องถิ่นทั้งหมดแทบรู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร ดีชั่วอย่างไร มีจารีตประเพณีพิธีกรรมต่อความเชื่อ ค่านิยม โลกทัศน์ร่วมกันอย่างมีอำนาจเหนือธรรมชาติในท้องถิ่นควบคุมดูแลผ่านการประกอบพิธีกรรมทั้งในพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต พิธีกรรมในรอบปีหรือพิธีกรรมสิบสองเดือน และพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งหมดนี้ทำให้แลเห็นกระบวนการทางสังคมและวัฒนธรรมสามารถจรรโลงมนุษยธรรม ศีลธรรม และจริยธรรมให้คนในท้องถิ่นอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น


อันการอยู่ร่วมกันของผู้คนในท้องถิ่นแต่ละถิ่นนั้น หาได้อยู่ในสภาพหยุดนิ่งไม่ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของคนในแต่ละรุ่น การย้ายออกและเข้ามาใหม่ตลอดเวลา การย้ายออกไปของผู้คนไปอยู่ที่อื่นก็หาได้ตัดขาด หากไปเกิดเป็นชุมชนเครือข่ายใหม่ที่มักมีโอกาสกลับมาพบปะสังสรรค์กันในงานประเพณีในรอบปีหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ส่วนการเข้ามาของคนใหม่ ก็มักจะได้รับการบูรณาการจากคนนอกให้เป็นคนในตลอดเวลา จนในที่สุดเกิดสำนึกร่วมของการเป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน การเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่นั้น ต้องผ่านการสัมพันธ์ทางสังคมกับคนในพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานเข้ามาหรือจากการที่ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติตัวให้เหมือนคนใน โดยร่วมกิจกรรมทางจารีตประเพณีของท้องถิ่น จนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งต่างจากการเคลื่อนย้ายของคนนอกในปัจจุบันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในท้องถิ่นโดยอาศัยความชอบธรรมทางกฎหมายจากรัฐเป็นสำคัญ เช่น พวกนายทุนเข้ามาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แยกตัวออกจากคนภายในและกลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างเช่นเห็นในทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนนอกที่เข้ามาในท้องถิ่นสมัครเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. และ อบจ. เป็นต้น คนนอกเหล่านี้มักไม่มีสำนึกของการเป็นคนท้องถิ่นแต่มุ่งมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องเป็นสำคัญ


ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างไม่เหลียวหลังในสองชั่วอายุคน กระบวนการทางอุตสาหกรรม [Industrialization] กับการขยายเมือง [Reurbanization] ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของผู้คน [Special mobility] ข้ามมิติของเวลาและสถานที่จนท้องถิ่นไม่มีทางที่จะบูรณาการคนนอกให้เป็นคนในอย่างมีสำนึกของการอยู่ร่วมกัน เป็นคนถิ่นเดียวกันอย่างแต่ก่อนได้


มิหนำซ้ำกระบวนการดังกล่าวนี้ยังเป็นสิ่งทำลายล้างสภาพธรรมชาติแวดล้อมของท้องถิ่นและคนท้องถิ่นที่มีมาแต่เดิมด้วย เช่น เมื่อเกิดโรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่งธุรกิจการค้าขึ้น ณ ที่ใด การตัดต้นไม้การถมที่ซึ่งเป็นลำน้ำหนองน้ำ โคกเนิน ป่าเขาเกิดขึ้นเสมอ มีการเคลื่อนย้ายคนจากถิ่นอื่นเป็นจำนวนมาก บางทีมากกว่าคนที่อยู่ในท้องถิ่น ๒-๓ เท่า มาทำงานและอาชีพนานาชนิดที่ทำให้คนในท้องถิ่นตั้งรับและปรับไม่ทัน แต่ที่สำคัญคนที่เข้ามาใหม่เหล่านี้มักมาด้วยความเป็นปัจเจกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเป็นสำคัญ จนเกือบจะเป็นปรากฏการณ์แทบทุกแห่งที่เกิดแหล่งอุตสาหกรรมหรือย่านธุรกิจขึ้นนั้น มักเปลี่ยนสภาพความเป็นชุมชนบ้านเมืองท้องถิ่นแต่เดิมให้เกิดเป็นเมืองสมัยใหม่ตามแบบสังคมอุตสาหกรรมขึ้น มีบ้านจัดสรร คอนโดมีเนียมขึ้นมาแทนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้คนที่มีมาแต่เดิม แบบรื้อรากถอนโคนกัน เพราะบ้านเรือนแบบใหม่ที่เกิดขึ้นมีรูปแบบและการใช้พื้นที่ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์และแม้กระทั่งบ้านเอื้ออาทรอะไรต่าง ๆ นานานั้น มีลักษณะที่คล้ายกับรังผึ้งและคอกสัตว์ที่จัดไว้เฉพาะตัว ต่างคนต่างอยู่ตัวใครตัวมัน หลาย ๆ แห่งมีรั้วรอบขอบชิดทั้งระหว่างบ้านที่ติดกันกับทั้งบริเวณทั้งหมดของหมู่บ้านมีชื่อแปลก ๆ เป็นภาษาต่างประเทศเวอร์จิเนียแลนด์ ลาสเวกัส ซึ่งดูไม่เข้ากับลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นที่ต่างจากชุมชนของชาวบ้านที่เน้นลักษณะโคกเนิน หนองบึง เช่น บึงกุม โคกไม้เคน เป็นต้น


ชุมชนบ้านและเมืองใหม่เกิดขึ้นโดยการจัดการของบริษัทเอกชนในทุกที่อย่างไม่มีกาลเทศะขึ้นอยู่กับความพอใจและความคิดในเรื่องกำไรขาดทุน หามีความเคารพต่อพื้นที่ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นตามประเพณีไม่ เพราะมักเข้าไปรุกล้ำพื้นที่สาธารณะที่มีทั้งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่ธรรมชาติที่มีความสวยงาม ทำให้สิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ทางกายภาพของท้องถิ่นหมดไป ที่ทำเศร้าใจก็คือ ผู้ที่มีหน้าที่ในการก่อสร้างเช่น พวกวิศวกร สถาปนิก และนักผังเมืองทั้งหลาย นั้นแหละที่ต้องถูกตำหนิ เพราะไม่สนใจเรื่องของบ้านเมืองที่มีมาแต่อดีต กลับมองแต่ปัจจุบันโดยเอารูปแบบเฉพาะความคิดต่าง ๆ จากทางตะวันตกมาออกแบบและเปลี่ยนแปลงให้เกิดบ้านเมืองแบบใหม่ขึ้น ที่น่าขำก็คือหลายคนพูดถึงสวนหย่อม หรือสวนสาธารณะบ่อย ๆ ดูราวกับว่าพื้นที่สาธารณะเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คิดและจัดตั้งได้โดยใช้ความนึกคิด หรือจินตนาการของตนแต่ผู้เดียว


แต่สิ่งที่แลเห็นในทุกวันนี้อันเป็นผลผลิตของการสร้างบ้านแปงเมืองในสังคมอุตสาหกรรมก็คือ มีแต่โครงสร้างทางกายภาพก็ดูหน้าตื่นตาตื่นใจเป็นแบบตะวันตก มีต้นไม้ที่คิดสรรคิดพันธุ์มาแต่งสวน มีทะเลสาบ มีถนนและสถานที่หย่อนใจส่วนตัว ซึ่งดูดีในตอนแรก ๆ แต่พอหมดสัญญาในการดูแลของบริษัทแล้ว ก็เสื่อมโทรมสกปรก รกรุงรังกลายเป็นป่าคอนกรีตไป เพราะผู้ที่อยู่ต่างคนต่างอยู่ในลักษณะซุกหัวนอนเท่านั้น ไม่คิดที่จะทำอะไรในการดูแลชุมชนร่วมกัน


ข้าพเจ้ามีเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องที่อยู่ในบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่แต่ก่อนรู้จักกันในนามของ เมืองเอก ดูเป็นชุมชนในอุดมคติที่ปรากฏในหน้าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และจอทีวีบ่อย ๆ แต่อนิจจาปัจจุบัน คนเหล่านั้นกำลังอยู่ในความทุกข์ เพราะมีคนร้อยพ่อพันแม่และไม่มีหัวนอนปลายตีนเข้ามาอยู่และผ่านไปมา โจรผู้ร้ายชุกชุม ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ขาดความสุขและความมั่นคงในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะชุมชนบ้านเมืองแบบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ อาจมีโครงสร้างทางกายภาพที่ทันสมัยและดูดี แต่ไม่อาจสร้างโครงสร้างทางสังคมอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้ ความเป็นท้องถิ่นที่เป็นบ้านและเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นแต่เพียงที่พำนักของปัจเจกบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์เป็นสังคมมนุษย์ขึ้นมาได้


เป็นนิเวศที่แลไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติและคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

มันคือ นิเวศเดรัจฉาน


 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:





Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page