เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2555

อุโบสถหลังเก่าของวัดดอนทวายหรือวัดบรมสถลซึ่งถูกรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่
ปัจจุบันเมื่อพูดถึงคำว่า ‘ทวาย’ คนทั่วไปมักไพล่คิดไปถึงมะม่วงทะวายหรือผลไม้ที่ออกผลไม่ตรงตามฤดูกาล หรือไม่ก็นึกถึงโครงการอภิมหาโปรเจ็คต์ที่กำลังมีการก่อสร้างทางหลวงจากเขตบ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี ข้ามเขาไปยังเมืองทวายในพม่า ตามโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม อันถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยวงเงินลงทุนถึง ๔ แสนล้านบาท น้อยคนที่จะนึกถึงว่า ทวาย นอกจากเป็นชื่อเมืองแล้วยังเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ เมื่อต้นรัตนโกสินทร์ และถิ่นฐานของพวกเขาได้กลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองในอดีต เรียกว่า บ้านทวาย หรืออำเภอบ้านทวาย แทนชื่อเดิมที่เรียกขานย่านนี้ว่า ตำบลคอกควาย สมัยต่อมาตำบลคอกควายหรืออำเภอบ้านทวายนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนนามอีกครั้ง เป็นเขตยานนาวาและเขตสาทรในปัจุบัน
ย่านบ้านทวาย แหล่งของชนนานาชาติ
ตำบลคอกควายหรือบ้านทวายตั้งอยู่ตอนใต้ของคลองผดุงกรุงเกษม ประชิดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากอยู่ติดแม่น้ำสายสำคัญอันเป็นเส้นทางสัญจรจากปากอ่าวไทยเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา บริเวณนี้ในสมัยอยุธยาจึงน่าจะมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำแล้ว ด้วยปรากฏวัดที่สร้างขึ้นปลายสมัยอยุธยาอยู่ไม่น้อย อาทิ วัดคอกควาย (วัดยานนาวาปัจจุบัน) วัดพระยาไกร วัดจรรยาวาส วัดราชสิงขร เป็นต้น
มาสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ รัชกาลที่ ๑ และกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จนำทัพไปตีเมืองทวาย อันเป็นเมืองที่อยู่ประชิดชายแดนด้านตะวันตกของไทย จึงเคยตกอยู่ใต้พระราชอำนาจของทั้งกรุงศรีอยุธยาและหงสาวดี ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลานั้นเมืองใดมีความเข้มแข็งมากกว่า นับแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี ตกอยู่ใต้พระราชอาณาเขตของพม่า กองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีคืนกลับมาได้ แต่ถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองทวายไม่ยอมอ่อนน้อมต่อรัชกาลที่ ๑ พระองค์จึงยกทัพตีเมืองทวาย ในเวลาเดียวกันเมืองทวายถูกพระเจ้าปดุงบังคับให้ส่งส่วย เป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวทวายอย่างมาก เจ้าเมืองทวาย-มังจันจ่า จึงนำชาวเมืองเข้าสวามิภักดิ์กองทัพสยาม พระองค์ได้นำชาวทวายเหล่านั้นเข้ามายังพระนคร แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองรอบกรุง ด้านหลังวัดสระเกศ ก่อนจะพระราชทานที่หลวงให้ตั้งถิ่นฐานพำนักถาวรอยู่ตอนใต้ของพระนครบริเวณวัดคอกควาย ชาวทวายจึงตั้งหลักปักฐานพร้อมกับได้สร้างวัดของพวกตนขึ้น คือ วัดดอน ซึ่งนามที่เรียกนั้นมาจากลักษณะพื้นที่ที่ตั้งวัดอันเป็นที่ดอนสูงกว่าบริเวณโดยรอบที่เป็นที่ลุ่ม จนสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงเปลี่ยนนามวัดนี้ใหม่ว่า วัดบรมสถล แต่คนทั่วไปก็ยังนิยมเรียกตามความเคยชินว่า วัดดอนทวาย และอีกประการหนึ่งเพื่อแยกแยะให้ชัดกับวัดแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นใกล้ ๆ กัน คือ วัดดอนกุหล่าหรือวัดดอนไทใหญ่ (ในแผนที่เก่าเรียก วัดดอนพม่า เนื่องจากเจ้าอาวาสท่านที่ ๒ เป็นพระพม่าที่เข้ามาปกครองวัด) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีชาวไทใหญ่เข้ามาทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ มาก โดยส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้าพลอยและเป็นคนในบังคับของอังกฤษ ของฝรั่งเศสบ้าง เมื่อมีชาวทวายซึ่งพูดจากันรู้เรื่องอยู่ในย่านนี้ อีกทั้งเป็นพื้นที่ตอนใต้เขตพระนครที่ทรงอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ได้ จึงอาจพากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในแถบนี้ เช่นเดียวกับพวกพม่าที่เป็นคนในบังคับและเข้ามาพร้อมเจ้าอาณานิคม ก็อาศัยอยู่ในย่านนี้จำนวนไม่น้อย จนสามารถสร้างวัดของพวกตนขึ้น เรียกว่า วัดปรก แต่ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้เปลี่ยนจากวัดของคนพม่ามาเป็นวัดของคนมอญไป อาจเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวไทใหญ่กับพม่าที่อาศัยรอบ ๆ วัด ทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขั้นเผาวัดดอนกุหล่าราบเรียบไปกับกองเพลิง ทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ตายไปจำนวนไม่น้อย และพระสงฆ์รวมถึงชาวบ้านของทั้งสองเชื้อชาติก็กระจัดกระจายโยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ๆ

สภาพของวัดดอนในอดีต

กุฏิอูสะยาหน่วยอุทิศที่ชาวพม่าสร้างถวาย ขณะเดียวกันก็มีกุฏิที่ชาวไทใหญ่สร้างเช่นกัน
ชื่อ “ กุฏิไทใหญ่สามัคคี ”

เจดีย์ดำ ตามประวัติกล่าวว่ามองส่วยตอง ราชวงศ์พม่าผู้ลี้ภัยจากบ้านเมืองมาอยู่อาศัยที่บ้านทวาย ได้สร้างขึ้น
รูปแบบศิลปะทวายพม่า เดิมองค์เจดีย์สีขาว แต่ถูกทิ้งจนตะไคร่จับ ชาวบ้านจึงเรียกเจดีย์ดำ
ก่อนที่อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ จะมาปฏิสังขรณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ศาลยายกะตาที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณอุโบสถ
ไม่เพียงสามกลุ่มชนข้างต้นที่อาศัยกันอยู่ ณ บ้านทวายแห่งนี้เท่านั้น ยังมีชนเชื้อชาติอื่น ๆ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในช่วงเวลาต่าง ๆ อีกหลายกลุ่ม เช่น พวกลาวเวียงจากบ้านลาว บางไส้ไก่ ฝั่งธนบุรี ที่ถูกเกณฑ์ให้มาเป็นแรงงานสำหรับการต่อเรือรบที่อู่เรือสำเภาหลวง ปากคลองกรวย บ้านทวาย เมื่อครั้งสยามทำสงครามกับญวนในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงส่งกองทัพเรือจากกรุงเทพฯ ไปรบกับทัพเรือญวนที่ฮาเตียนและไซ่ง่อน ชาวลาวเหล่านี้ต่อมาได้ลงหลักปักฐานที่ปากคลองกรวยนั้นเอง และได้สร้างวัดของกลุ่มตนขึ้นเรียกว่า วัดลาว ที่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดสุทธิวราราม ชาวจีน ฝรั่งชาติตะวันตก แขกยะวา-มลายู และแขกฮินดู ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้กระจายเติบใหญ่ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากทำสนธิสัญญาเบาวริงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ และเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุงตอนนอกใน พ.ศ. ๒๔๐๔ ส่งผลให้อาณาบริเวณบ้านทวายได้กลายเป็นย่านท่าเรือและแหล่งอุตสาหกรรมใหม่ของกรุงเทพฯ เกิดโรงสี โรงเลื่อย อู่ต่อเรือ และห้างร้านของทั้งพ่อค้าชาวจีนและชาติตะวันตกเรียงรายลงไปทางด้านใต้ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งปัจจุบันยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่ ไม่ว่าอู่เรือกรุงเทพฯ หรือเดิมคือ อู่เรือบริษัทบางกอกด๊อก ของพระวิสูตรสาครดิฐ (กัปตันบุช) สุสานฝรั่ง มัสยิดหลายแห่งบนถนนเจริญกรุง วัดวิษณุของชาวฮินดูจากอุตตรประเทศ ศาลเจ้าต่าง ๆ รวมถึงสุสานวัดดอน ซึ่งเป็นสุสานของชาวจีนแต้จิ๋วและชาวไทยเชื้อสายจีน ตลอดจนตลาดการค้าและท่าเทียบเรือสำเภาจีน อย่างท่าเรือหวั่งหลี ที่กลายมาเป็นชุมชนหวั่งหลีในที่สุด
คนทวายกับยำทวาย
“ผมเป็นลูกครึ่งทวาย-พม่า ไม่ใช่ทวายแท้” อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ หรือมีชื่อพม่าว่า เอหม่อง ที่บรรดาพระสงฆ์ในวัดดอนและชาวบ้านย่านนั้นต่างชี้เป้าเพียงหนึ่งเดียวให้ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ หลังจากที่ตระเวนถามหาลูกหลานเชื้อสายทวายเพื่อขอสนทนาเรื่องบ้านทวาย
อาจารย์จินดาออกตัวก่อนจะอธิบายว่า คนทวายไม่ใช่มอญและก็ไม่ใช่พม่า แต่เป็นอีกเชื้อชาติหนึ่ง มีภาษาพูดของตนเอง แต่ไม่มีภาษาเขียน ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ระบุว่า ทวาย เป็นคำเรียกชนเผ่าหนึ่งในสาขาของชาวยะไข่ ตระกูลทิเบต-พม่า แม้แต่คนไทยในอดีตก็แยกแยะความเป็นคนมอญ พม่า ทวาย ได้ชัดเจน ดังปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนหนึ่งว่า
“ชาวประชามาดูอยู่สลอน
เขมรมอญพวกพม่าเสียงหวาเหวย
ญวนกะเหรี่ยงเจ๊กฝรั่งยังไม่เคย
ไทยว่าเฮ้ยมึงกล้าก็มาดู
“นางทวายอายเอียงเสียงแปร่งแปร่ง แมงขะแวงเฉมะราฉะมาหลู
เจ้ามอญว่าอาละกูลทิ้งปูนพลู
ลาวบ่ฮู้บ่หันข้อยยั่นจริง”
อาจารย์จินดาเล่าว่าผู้หญิงทวายแต่งกายคล้าย ๆ หญิงพม่า ผมมวยก็เกล้ากลมอยู่ข้างบนศีรษะแบบพม่า ไม่เหมือนมอญ ผู้หญิงมักทำงานเป็นลูกจ้างบ้านฝรั่ง ส่วนชายบ้านทวายเมื่อก่อนมีอาชีพเป็นครู สอนหนังสือที่โรงเรียนบ้านทวาย กับเป็นช่างไม้ นิยมไว้หนวด ถือตะพดเดินไปไหนมาไหน ที่เห็นเจนตาก็คือตาของตนที่เป็นคนทวาย ชื่อนายบุญ เด่นดาวเสือ ยายชื่อแม่เล็ก ส่วนปู่นั้นเป็นคนพม่ามาจากเมืองพม่า เป็นครูช่างทอง ที่เข้ามาเมืองไทยก็เพราะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากรมช่างในพระบรมมหาราชวัง ได้เชิญปู่มาดูแลเรื่องการทำเครื่องใช้ในวังและสอนช่างทอง ทำให้ปู่มาได้ภรรยาที่บ้านทวาย บิดาของตนจึงเกิดที่บ้านทวาย เป็นลูกครึ่งทวาย-พม่า อย่างไรก็ดีถึงปู่จะมีภรรยาและลูกที่เมืองไทย แต่ปู่ยังขึ้นเป็นคนบังคับอังกฤษ เพราะท่านกลัวเสียเปรียบด้านกฎหมาย มาตอนหลังปู่กลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองพม่า แล้วไปเสียชีวิตที่นั่น ซึ่งในเวลานั้นบิดาของตนยังเล็กอยู่ แต่ย่าก็ได้ส่งกลับไปเมืองพม่าเพื่อไปเรียนวิชาทำทองกับลูกศิษย์ของปู่ พ่อจึงมีชื่อพม่าว่า หม่องจ่ายุ้น คู่ไปกับชื่อ บัว ในภาษาไทย เพราะบิดาเมื่อกลับมาจากพม่าได้ไปสอบเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง
บ้านทวายในอดีตไม่เพียงเป็นถิ่นอาศัยของคนทวาย แต่ยังเป็นศูนย์กลางของชนกลุ่มต่าง ๆ ที่เดินทางมาจากพม่าด้วย โดยเฉพาะชาวมอญ พม่า และไทใหญ่ หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า พวกกุหล่า ซึ่งมีความเคารพศรัทธาในพุทธศาสนาเหมือนกัน และมีศิลปะสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างใกล้เคียงกันด้วย ในเรื่องนี้อาจารย์จินดาแยกแยะอัตลักษณ์ของคนทวายที่ไม่มีในกลุ่มอื่น นั่นคือ การทำบุญแก้ชะตาที่เรียกว่า หม้อจ่าโฮ้ คนทวายคนไหนหากดวงไม่ดี มีเคราะห์ ก่อนเข้าพรรษาจะต้องไปหาพระผู้ใหญ่ ให้ดูตำราว่าคนเกิดปีไหน ควรทำบุญหม้อจ่าโฮ้วันไหน เมื่อได้วันเวลาแล้วก็จะไปหาหม้อดิน นำดอกไม้ ใบมะพร้าว ใส่ไปในหม้อแล้วนำไปถวายที่วัด เอาหม้อตั้งไว้ในโบสถ์จนกว่าจะครบพรรษา จึงนำออกจากโบสถ์ได้ นอกจากนี้ชาวทวายยังมีตำราโหราศาสตร์เกี่ยวกับหมอดู การจับยาม ของกลุ่มตนเอง เรียกตำรา “อัตถกาลยาม” ซึ่งอาจารย์จินดาได้สืบทอดวิชาดังกล่าวจากอาจารย์สัญญา เมตตาจิตต์ (อู่ชั่นญะ) ผู้เป็นลุงของตน
“พม่ามียามอุบากอง ของเราเป็นอัตถกาลยาม จะใช้ดูในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเริ่มงานอะไร จะทำสำเร็จไหม มีปัญหาไหม หรือแม้แต่ของหาย ก็จะดูเวลาและจับยามว่าของอยู่ตรงไหน ไม่ใช่คนทวายทุกคนจะดูได้ ต้องเรียนเท่านั้นถึงจะมีวิชา” อาจารย์จินดาย้ำ
อัตลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในวิถีชีวิตของคนทวาย นั่นก็คือวัฒนธรรมอาหาร โดยเฉพาะการทำยำทวาย ที่ได้กลายเป็นอาหารในสำรับของคนไทย จนวันนี้ แม้แต่คนกินคนทำเองก็ไม่รู้ถึงที่มาของต้นตำรับเดิมเสียแล้ว
“อาหารทวายจะเน้นผัก นำมาต้ม อย่างยำทวายนี่สลัดของคนทวายเลยละ ที่ผมจำได้มีแกงทวายเรียก ตะโบชก ทำจากปลาโอ เพราะเนื้อมันแข็งหน่อย แล้วใส่มะเขือยาว ตัดเป็นท่อนๆ ผ่าครึ่ง ต้มกับกะทิ ส่วนผัดใบกระเจี๊ยบ แกงฮังเลเป็นของพม่า เรื่องยำทวายมีเครื่องปรุงอะไร ทำอย่างไร ผมไม่ค่อยรู้ละเอียดหรอก ต้องถามภรรยาผม...” ยังกล่าวไม่สิ้นคำ อาจารย์จินดาก็เรียกภรรยามาแจกแจงวิธีการทำยำทวายตามตำรับคนทวาย ที่ภรรยาได้สืบทอดการทำมาจากมารดาของอาจารย์เอง
การทำยำทวายเริ่มจากนำถั่วงอก มะเขือยาว ผักบุ้งไทย (ที่กินกับเย็นตาโฟ) พริกชี้ฟ้าอ่อนสด มาล้างแล้วหั่น โดยพริกเม็ดยาวผ่าครึ่ง ผักบุ้ง มะเขือ ตัดเป็นท่อน นำไปต้มกับน้ำขมิ้น โดยต้มทีละอย่างจนผักนิ่มเปื่อย ตักขึ้นมาวางบนผ้าบางเพื่อบีบเอาน้ำออก แล้วมากองรวมไว้ในกะละมัง จากนั้นปรุงน้ำยำ โดยนำมะพร้าวขูดมาคั้นกะทิ นำไปเคี่ยวให้แตกมัน ใส่เครื่องปรุง ประกอบด้วยพริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดออก เอาแต่เปลือกมาตำพร้อมกับหอมแดงที่ปอกแล้วและกุ้งแห้งไม่ย้อมสี หรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้ จากนั้นนำมาเคี่ยวในน้ำกะทิ คนให้เข้ากัน เคี่ยวจนแตกมันแล้วน้ำงวดลงหน่อย ใส่น้ำมะขามเปียก เกลือ (ห้ามใส่น้ำปลา) น้ำตาล เคี่ยวจนเข้ากัน ชิมให้รสออกเปรี้ยว หวาน เค็ม โดยออกหวานมากกว่าเปรี้ยว เคี่ยวจนได้ที่ก็ยกลง จากนั้นนำหอมแดงที่เหลือมาหั่นฝอย นำไปเจียวให้เหลืองหอม ตักใส่ถ้วยไว้ เอางาขาวคั่วแล้วตักขึ้นใส่ถ้วยไว้ นำน้ำยำที่คลายร้อนแล้วมาเทใส่กะละมังผักต้ม คลุกเคล้าให้เข้ากัน เอาหอมเจียวและงาขาวคั่วโรย ก็จะได้ยำทวายน้ำขลุกขลิกที่มีรสเผ็ดนิด ๆ จากพริกชี้ฟ้าอ่อนที่เคล้าแล้วแตกรสเผ็ดออกมา
“ยำทวายอร่อยนะ มีแต่ผักทั้งนั้น สมัยก่อนบ้านทวายเคยมีคนทำขาย...ป้าสวนไง จะทำในวันพระ พวกลูกหลานทวายไปจองซื้อกันเลย เพราะทำเองก็ยุ่งยาก...ใช้เวลามาก” อาจารย์จินดาสรุป พร้อมกับรับประกันความอร่อยของยำทวายตำรับทวายแท้ ๆ
สำหรับหม้อจ่าโฮ้จะเหมือนกับกระบุงผีหรือหีบผ้าผีของชาวมอญ ที่บ้านคนมอญทุกบ้านจะตั้งไว้ข้างเสาเอกของเรือน หรือหม้อยายของชาวหนองขาว จ.กาญจนบุรี หรือไม่ อาจารย์จินดาไม่สามารถอธิบายเปรียบเทียบได้ แต่อาจารย์เล่าว่าในอดีตตรงตรอกทางเข้าวัดดอนทวายใกล้ถนนเจริญกรุง ตรงข้ามอู่เรือกรุงเทพฯ เคยมีศาลยายกะตา เป็นศาลผีประจำชุมชนตั้งอยู่ คนเก่าแก่เล่าขานกันว่า เมื่อชาวทวายแรกอพยพเข้ามานั้น ได้นำ “หม้อไฟ” อันเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณยายกะตา ซึ่งเดิมตั้งอยู่ในศาลประจำบ้านที่เมืองทวายทูนมาเหนือหัว แล้วนำมาวางไว้ในศาลยายกะตาที่สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ตรอกนั้นใคร ๆ ก็เรียกว่า ตรอกยายกะตา ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ซอยดอนกุศล หลังจากมีการตัดถนนเข้าวัดดอน เลยรื้อศาลออก แล้วมาสร้างศาลหลังใหม่ในบริเวณวัดดอนแทน
“ศาลยายกะตาปัจจุบันไม่มีหม้อแล้ว สมัยผมเด็ก ๆ ก็จำไม่ได้ว่ามีหม้อหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้ในศาลเขาปั้นเป็นรูปยายกะตานั่งอยู่ในศาลแทน คนทวายนี่นับถือบรรพบุรุษนะ แต่ไม่ได้มีหม้อตาหม้อยายในบ้าน เราใส่โกศใส่โถกระดูกปู่ย่าตายายไว้บูชา พอสงกรานต์ ลูกหลานมารวมตัวกันเอาโกศไปให้พระสวดบำเพ็ญกุศล สรงน้ำกัน อ้อ ศาลยายกะตาปัจจุบันตั้งอยู่แถบหน้าโบสถ์นะ ไม่ใช่ศาลตรงประตูทางเข้า นั่นเป็นศาลเจ้าพ่อฯ ที่คนตามทุ่งในละแวกบ้านทวายเขานับถือกัน”
อาจารย์จินดาย้ำว่า วันนี้บ้านทวายแทบไม่เหลือคนเชื้อสายทวายอยู่ในพื้นที่อีกแล้ว เพราะหลังจากมีการตัดถนนเหนือ-ใต้และทางด่วนถนนเจริญราษฎร์ผ่านเข้ามาในพื้นที่บ้านทวายและตรอกโรงน้ำแข็ง ชาวบ้านส่วนใหญ่สูญเสียที่ดิน ต้องโยกย้ายออกไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ คนที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นลูกหลานคนจีนที่ค้าขายอยู่ในชุมชน และคนจากที่อื่น ๆ ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ตอนหลัง
“ตอนนี้หาลูกหลานทวายแทบไม่มี เท่าที่ผมทราบก็มีพระครูณรงค์ เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน ที่เป็นลูกหลานทวาย และใครอีกคน ผมจำชื่อไม่ได้ พวกไทใหญ่ พม่า ก็ไม่เหลือเชื้อแล้ว ที่วัดปรกเป็นพระมอญไปแล้ว พวกพม่า กุหล่านั้นแตกหายไปตอนเกิดเรื่องเผาวัดดอนกุหล่านั่นแหละ ตอนนี้ที่ดินของวัดดอนกุหล่าก็มีคนรุกเข้าไปอยู่เต็มหมด ที่เห็นกำแพง ขาว ๆ ล้อมอยู่น่ะ ส่วนทวายเราหมดตอนทางด่วนมา มีบ้านผมนี่แหละที่เป็นติ่งอยู่หลังวัด ตอนนี้ถามหาคนทวาย บ้านทวาย ไม่มีใครรู้จักกันแล้ว”

ภายในศาลปั้นรูปยายกะตาแทนหม้อดินเผาที่ปู่ย่าตายายบอกเล่ามา
เป็นข้อสรุปสั้น ๆ ที่เห็นถึงความแปรเปลี่ยนของบ้านเมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ที่นับวันชุมชนเก่าแก่ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมายาวนานต้องหลีกทางให้กับความเจริญที่คนยุคใหม่ให้ค่าในการพัฒนาบ้านเมืองมากกว่ารากเหง้า ที่บอกเล่าความเป็นมาของผู้คนและประวัติศาสตร์สังคมของการก่อร่างสร้างเมือง
เชิงอรรถ
เดิมในบ้านทวายมีโรงเรียนประชาบาลตำบลทวาย ตั้งอยู่ในบริเวณวัดดอน ต่อมาได้ตั้งโรงเรียนสตรีบ้านทวาย ซึ่งพัฒนามาจากโรงเรียนสตรีวัดสุทธิวราราม จน พ.ศ. ๒๔๘๒ กระทรวงธรรมการได้แยกโรงเรียนสตรีบ้านทวายออกเป็น ๒ โรงเรียน คือโรงเรียนบ้านทวาย (โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ปัจจุบัน) กับโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พระนครใต้ ปัจจุบัน)
เอกสารประกอบการเขียน
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) เรียบเรียง. “เปิดตำนานวัดดอน”. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
พระครูวิสุทธิ์กัลป์ยาณกิจ (สุมน์ ญาณธมฺโม) วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓, กรุงเทพฯ : วัดบรมสถล, ๒๕๕๓.
องค์ บรรจุน. “อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ ชาติเชื้อทวายพม่าบ้านทวายยานนาวาที่หลงเหลือ,” ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐ (สิงหาคม), ๒๕๕๒.
ขอขอบคุณ : พระครูณรงค์ เจ้าอาวาสวัดบรมสถล, อาจารย์จินดา เมตตาจิตต์ กับภรรยา, และคุณระพีพัฒน์ เกษโกศล
สุดารา สุจฉายา : เรื่องและภาพ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments