top of page

ประวัติพระเมรุมาศ และพระโกศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 พ.ย. 2560


เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชมหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ จะเป็นการออกพระเมรุที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยของกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีผู้สนใจอยากรู้ความหมายความสำคัญของพระเมรุมาศมากมายทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ข้าพเจ้าจึงอยากเขียนเรื่องราวความเป็นมาของพระเมรุมาศและพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ ตามความรู้ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามาทางมานุษยวิทยาดังนี้


พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง


ประเพณีการออกพระเมรุมาศเพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้นเริ่มมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นการสร้างพระเมรุมาศขึ้นถวายพระเพลิงในพื้นที่กำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุกลางกรุงศรีอยุธยา” ทางด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังซึ่งปัจจุบันนี้คือ ที่ตั้งพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสถานที่ตั้งของวิหารพระมงคลบพิตรที่สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยย้ายวิหารพระมงคลบพิตรมาสร้างใหม่ทางด้านใต้ของพระบรมมหาราชวังในตำแหน่งปัจจุบัน


ก่อนรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง การถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ เพียงภายในกำแพงพระนคร ส่วนการเผาศพ ปลงศพ ของขุนนางข้าราชการและคนในเมืองต้องนำศพไปออกประตูผีเพื่อทำกันนอกเกาะเมือง ดังเช่น พระบรมศพของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) นั้นถวายพระเพลิงที่ “วัดพระราม” อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงแล้ว พระบรมศพของสมเด็จพระนครินทราชาธิราชถวายพระเพลิงที่ “วัดราชบูรณะ” รวมทั้งพระศพของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาผู้เป็นพระราชโอรส หรือพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ถวายพระเพลิงที่ “วัดวรเชษฐาราม” อันเป็นวัดที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวาย ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิง เป็นต้น และยังมีวัดอื่น ๆ ภายในเมืองอีกหลายวัดที่สร้างขึ้นภายในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชพงศาวดาร


ลานท้องสนามไชยหน้าพลับพลาฐานจตุรมุข เป็นแนวยาวราว ๓๕๐ เมตร สูงจากพื้น ๓ เมตร ผนังสลักเป็นรูปช้างและครุฑ มีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรพระราชพิธีสนามและการเฉลิมฉลองต่างๆ ภาพถ่ายเมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ภาพของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม


การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ดังกล่าวนี้ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการออกพระเมรุแบบที่ทำกันต่อมาจากสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์ฯ จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งก็ไม่รู้ว่ามีการสร้างพระเมรุมาศหรือไม่ อาจจะเป็นการสร้าง พระจิตกาธาน” หรือที่ตั้งศพเพื่อเผาบนฐานยกพื้นเช่นที่พบในเขตวัดเจ็ดยอดเชียงใหม่ ที่รู้จักกันในภาคเหนือว่า “เมรุพระพิลก” อันเชื่อว่าเป็นที่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเมรุเช่นเดียวกันนี้อีกหลายแห่งในลำปาง


ข้าพเจ้าเชื่อว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นลงมา ถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่มีคติทั้งความเชื่อและการสร้างพระเมรุมาศ รวมไปถึงการสร้างพระโกศขึ้นในการประดิษฐานพระศพ และการนำไปถวายพระเพลิง


หลักฐานในเรื่องการสร้างพระโกศไม่มีเช่นเดียวกันกับพระเมรุมาศ คงมีแต่โลงหรือหีบพระศพที่น่าจะสร้างด้วยไม้หอมเท่านั้น การสร้างพระโกศขึ้นมาคงมาพร้อมกันกับการสร้างพระเมรุมาศนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการบรรจุศพในโลงแบบนอนเหยียดยาวมาเป็นท่านั่งในแนวตั้งเพื่อให้เข้ากันกับความสูงส่งของบุคคลที่อยู่ใน วิมาน หรือปราสาท เช่น พระมหากษัตริย์และเทวดา


พระยมบริเวณที่เรียกว่าลานพระเจ้าขี้เรือน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพกษัตริย์


อันการบรรจุศพแบบแนวตั้งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จะพบเห็นแต่เพียงในประเพณีการฝังศพครั้งที่สองที่มีการนำเอากระดูกคนตายที่เนื้อหนังมังสาเปื่อยเน่าหลุดไปแล้ว มาบรรจุใน หม้อ หรือผอบ อย่างเช่นที่ทุ่งไหหินในประเทศลาว และแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในที่ราบสูงแอ่งโคราช เป็นต้น


สมัยก่อนประวัติศาสตร์การปลงศพด้วยการเผามีน้อยมาก แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการนับถือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู-พราหมณ์แล้ว ก็เกิดประเพณีการนำเอากระดูกและอังคารที่มีการเผาแล้วไปเก็บไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ผอบ” ที่มีการปรุงแต่งให้มียอดฝาผอบสูงเป็นทรงปราสาทอะไรทำนองนั้น


พัฒนาการของพระโกศน่าจะมาจากเรื่องผอบที่บรรจุพระอัฐิของพระมหากษัตริย์หรือกระดูกของบุคคลที่มีฐานะสูงกว่าคนธรรมดา ผอบบรรจุสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ เช่น อัฐิธาตุ หรือเครื่องประดับของกษัตริย์และคนชั้นสูง จะพบมากในสังคมฮินดูของกัมพูชาแต่สมัยเมืองพระนคร ดังเห็นได้จากรูปร่างลักษณะของเครื่องปั้น ดินเผาเคลือบของขอมที่พบในกัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ผอบที่บรรจุอัฐิธาตุก็เป็นของขนาดเล็กไม่ใหญ่ เช่น พระโกศที่บรรจุพระศพที่ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง แต่ตั้งไว้ในปราสาทเพื่อทำพิธีกรรม และเก็บไว้รอเวลาถวายพระเพลิง ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น เมื่อมีการถวายพระเพลิงของกษัตริย์และเจ้านายแล้ว ก็จะสร้างวัดขึ้นอุทิศถวายไว้ ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงนั้น อย่างเช่นที่วัดพระรามและวัดวรเชษฐารามที่กล่าวมาแล้ว


กรุงศรีอยุธยาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นสมัยเวลาที่มีการนำเอาคติความเชื่อทางจักรวาลของฮินดูแบบขอมมาผสมผสานกับลัทธิความเชื่อของศาสนาพุทธเถรวาทมากกว่าสมัยใด ๆ โดยเฉพาะในเรื่องทางพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ ที่ได้รับอิทธิพลลัทธิเทวราชาเข้ามาทำให้เกิดการสร้างสถาปัตยกรรมและศิลปะสถาปัตยกรรมแบบขอมขึ้น จนคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชาแบบขอมคือเป็น อวตารของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระวิษณุลงมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ


แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นศิลปสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ หาได้แสดงให้เห็นว่า ขอมในสมัยเมืองพระนครไม่ได้แสดงว่ากษัตริย์ขอมทรงเป็นอวตารของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าพระวิษณุและพระศิวะ


หากความเป็นเทวราชานั้นหมายเพียงการจุติของผู้ที่เป็นเทพเจ้าลงมาเกิดมากกว่า


แผนผังแสดงบริเวณลานสนามไชยหน้าพระราชวังเมืองพระนคร


ดังเห็นได้จากพระนามของพระมหากษัตริย์องค์สำคัญ เช่น พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑ ผู้สร้างนครหริหราลัย ที่มีปราสาทบากองเป็นศูนย์กลาง และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้พระองค์หลังพระชนม์แล้ว มีรูปเคารพศิวลึงค์เป็นตัวแทนในพระนามของพระองค์หลังสวรรคตแล้วว่า “อินทเรศวร” หรือในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ที่มีการถวายพระนามว่า “พระนิพพานบท” (พระบาทบรมนิพพานบท-วฺรบาทบรมนิวฺวานบท)


และที่สำคัญก็คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ที่มีพระนามว่า “พระบรมวิษณุโลก” ที่มีการสร้างปราสาทนครวัดขึ้นมาอุทิศถวาย เป็นปราสาทที่แลเห็นชันเจนว่าสร้างถวายพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ หลังสวรรคตแล้ว เพราะเป็นปราสาทที่หันหน้าไปทางตะวันตก และตัวปราสาทเองคือรูปจำลองของพระเมรุมาศที่เป็นปราสาทห้าหลังที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุที่มีเขาสำคัญรายรอบสี่ทิศ ปราสาทนครวัดนี้มีนามแต่ครั้งนั้นว่า “วิษณุโลก” ที่สัมพันธ์กับ “กมรเตงอัญปรมวิษณุโลก” อันเป็นพระนามของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ปราสาทหลังนี้แสดงความหมายของพระราชพิธีสำคัญของลัทธิเทวราชาที่เรียกว่า “อินทราภิเษก” ที่หมายถึงพระราชพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้วคืนเข้าวิมานที่เขาพระสุเมรุ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพระราชพิธีอินทราภิเษก ก็คือภาพแกะสลักการกวนเกษียรสมุทร บนผนังรอบปราสาทนครวัดนั่นเอง


สังคมราชสำนักสยามในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องการสร้างปราสาทราชวังและพิธีกรรมดังกล่าวของลัทธิเทวราชาที่อยู่ในศาสนาฮินดูแบบขอมเข้ามาผสมผสานกับความเป็นพระมหากษัตริย์ในพุทธเถรวาทในกรุงศรีอยุธยาที่มีการสร้างพระราชวังใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรสยามที่เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ


จึงสามารถพูดได้ว่า พระราชวังหลวง ปราสาท สถานที่สำคัญทางศาสนาและสถาบันกษัตริย์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งนำเอาแนวคิด รูปแบบ และแผนผังมาจากพระราชวังหลวงเมืองพระนครอันเป็นพระราชวังที่เกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ลงมา


ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้คือ พระราชวังหลวงซึ่งอยู่ติดกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ กับพระราชวังขอมที่ติดกับปราสาทบาปวน หรือปราสาททองของขอม ที่มีฉนวนต่อถึงกันกับพระราชวังชั้นใน


พระราชพิธีอินทราภิเษกของขอมได้รับการนำมาปรุงแต่งให้เป็นพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทยที่เน้นไปถึงการปราบดาภิเษก ที่แสดงออกโดย “พิธีกรรมชักนาคดึกดำบรรพ์” หรือกวนเกษียรสมุทร


ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเอาชื่อปราสาทนครวัดที่เรียกว่าวิษณุโลกมาเป็นชื่อเมืองสองแควใหม่ที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งสงครามกับอาณาจักรล้านนาในนามของพิษณุโลกนับเป็นราชธานีทางเหนือของกรุงศรีอยุธยาที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปประทับเพื่อการทำสงครามและเสด็จลงมาผนวช เมืองนี้ แต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่ทรงมองว่าพิษณุโลกเป็นเมืองที่เกี่ยวกับการตายอย่างของขอม แต่เป็นเมืองในทางพระพุทธศาสนาที่สะท้อนให้เห็นจากการให้นามของวังที่เสด็จออกผนวชว่าวัดจุฬามณีเพื่อตอกย้ำให้เห็นในคติจักรวาลของทางพุทธศาสนาที่หมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ คือ พระมหาสถูปจุฬามณีที่พระมหากษัตริย์ไทยและลาวให้ความสำคัญ เมื่อเสด็จสวรรคตจะต้องไปไหว้พระจุฬามณีที่ยอดเขาพระสุเมรุ


ความต่างกันทางจักรวาลของพุทธเถรวาทแบบไทยกับฮินดูแบบขอมก็คือ ทางไทยถือว่ายอดเขาพระสุเมรุ คือ “พระเจดีย์จุฬามณี” แต่ขอมให้ความสำคัญกับปราสาทที่เรียกว่า “ไพชยนต์ปราสาท” อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ในการดูแลโลก


แต่แนวความคิดให้เรื่องพระสุเมรุแบบขอมนี้ได้ส่งอิทธิพลกับไทยสมัยอยุธยาอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงฟื้นฟูและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทางศิลปวัฒนธรรมด้านศาสนาและราชสำนักแบบใหม่ๆ ขึ้นมา ทรงรับเอาความคิดทางจักรวาลแบบฮินดู และเทวราชาของขอมสมัยเมืองพระนครเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยของยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายนี้ โดยเฉพาะความคิดให้เรื่องสร้างศิลปสถาปัตยกรรมให้ได้สัดส่วนตามเรขาคณิตแบบอินเดียและขอม


แผนผังบริเวณแสดงลานสนามไชยหน้าพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์และบริเวณทุ่งพระเมรุกลางเมือง พระบรมมหาราชวัง กรุงศรีอยุธยา


โดยเฉพาะผังพระสุเมรุที่นำมาใช้ในการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์วัดชัยวัฒนาราม อันเป็นบริเวณที่ปลงพระศพพระราชมารดา ทำให้ผังของพระมหาธาตุเจดีย์ที่เป็นทรงพระปรางค์แบบเดียวกันกับบรรดาพระปรางค์ในสมัยอยุธยาตอนต้น ดูได้สัดส่วนทางเรขาคณิต เป็นรูปแบบพระสุเมรุมาศที่แวดล้อมไปด้วยปรางค์สี่ทิศ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในกรุงศรีอยุธยามาก่อน และรูปแบบพระบรมธาตุทรงพระปรางค์มีเมรุรายสี่ทิศดังกล่าวนี้ก็สืบทอดมายังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามที่ รัชกาลที่ ทรงสร้างขึ้น


ภาพสลักรูปครุฑที่ประดับลานพลับพลาโถงทรงจตุรมุข เมืองพระนครหลวง กัมพูชา


แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองก็คือ การสร้างพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ให้มีรูปแบบและกระบวนการที่โอ่อ่าและวิจิตรกว่าสมัยใด ๆ การตั้งพระศพบนพระจิตกาธานหมดไป แต่ก่อสร้างพระเมรุมาศที่หมายถึงเขาพระสุเมรุมาตั้งแทน เป็นรูปปราสาทที่มีเมรุรายสี่ทิศเทียบได้กับปราสาทนครวัด ต่างกันแต่เพียงปราสาทนครวัดเป็นเพียงที่ประดิษฐานพระบรมศพเพื่อการประกอบพระราชพิธีอินทราภิเษก ไม่เป็นที่ถวายพระเพลิงเฉกเช่นพระเมรุมาศของไทย


อีกสิ่งหนึ่งที่ขอมเมืองพระนครไม่มีก็คือ “พระโกศ” บรรจุพระบรมศพ ขอมไม่มีพระโกศแต่มีหีบพระศพที่ทำด้วยหิน ไม่พบที่ปราสาทนครวัดแต่พบเห็นในที่อื่น เช่นที่ปราสาทบึงมาลาอันเป็นปราสาทร่วมสมัยกับนครวัด เป็นต้น พระเมรุมาศใช้เพื่อการถวายพระเพลิง แต่การตั้งพระบรมศพนั้นไปตั้งที่ “ปราสาทสุริยาศน์อัมรินทร์” อันเป็นปราสาทจตุรมุขที่สร้างขึ้นภายในกำแพงพระราชวังชั้นนอก ไม่ได้อยู่ในพระราชวังชั้นที่ ๒ เหมือนกับ “พระที่นั่งสรรเพชญ” และ “พระที่นั่งวิหารสมเด็จ” อันเป็นพระที่นั่งเพื่อออกว่าราชการ รับแขกเมืองและพระราชพิธีสำคัญต่าง ของราชอาณาจักร


แต่พระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์นั้น สร้างเพื่อการตั้งพระบรมศพเป็นสำคัญ เพื่อให้คนทั้งภายนอกและภายในเข้าถวายบังคมพระบรมศพได้ทั่วถึงกัน และเป็นสถานที่ซึ่งสัมพันธ์กับการอัญเชิญพระบรมศพออกมาตั้งขบวนแห่มาตามสนามไชยภายในกำแพงพระราชวังชั้นแรก จากพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์มาทางตะวันออกผ่านปราสาทตรีมุขที่อยู่บนกำแพงพระราชวังชั้นที่ ๒ ชื่อ “พระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์” เป็นพระที่นั่งโถงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธีสนามตามฤดูกาลต่าง ๆ แต่ในงานถวายพระเพลิงนั้นพระมหากษัตริย์เสด็จออกเป็นประธาน เมื่อริ้วขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านหน้าพระที่นั่งออกยังประตูพระราชวังทางทิศตะวันออกสู่พื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็น “ทุ่งพระเมรุ” ยังบริเวณซึ่งกำหนดให้เป็นพื้นที่เพื่อการถวายพระเพลิงโดยเฉพาะ


ภาพปูนปั้นรูปครุฑที่ประดับฐานพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่รับมาจากเมืองพระนครหลวง


การมีท้องสนามไชยและประเพณีการเชิญพระบรมศพผ่านพระที่นั่งโถงที่พระมหากษัตริย์ประทับทอดพระเนตรนั้น มีรูปแบบอยู่แล้วที่พระราชวังเมืองพระนคร ที่แลเห็นจากปราสาทจัตุรมุข โถงหน้าพระราชวังที่ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเหนือบริเวณสนามไชย ปราสาทตั้งอยู่ตรงกลาง ทางปีกขวาของฐานมีภาพสลักช้างเป็นช่อง ๆ ไป บริเวณนี้คงเป็นที่รับแขกเมืองที่มาร่วมพระราชพิธี ในขณะที่ทางปีกซ้ายเป็นฐานยาวที่ตอนปลายฐานมีร่องรอยของฐานจิตกาธาน


แต่สิ่งที่บ่งได้ว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่ถวายพระเพลิงพระมหากษัตริย์ ก็คือการมีรูปปั้นศิลาของพระยมในลักษณะที่เปลือยเปล่านั่งอยู่ ในคติทางฮินดูพระยมคือพระธรรมราชาผู้ที่จะมานำพระวิญญาณของกษัตริย์ไปสรวงสวรรค์


ขอมเมืองพระนครไม่มีการสร้างพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงแน่นอน แต่ขบวนการแห่พระบรมศพจากปราสาทที่ตั้งพระศพคือสิ่งที่ทางไทยได้รับความคิดมา คือมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุขจากทางปีกขวาของฐานยกพื้น อันเป็นที่ชุมนุมของแขกเมือง เจ้านายและขุนนางผ่านพระที่นั่งจตุรมุขไปทางปีกซ้ายของฐานยกพื้นที่เป็นที่ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงบนฐานจิตกาธานที่มีรูปปั้นพระยมเป็นสัญลักษณ์


เทวปฎิมากรรมรูปนี้คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า “พระเจ้าขี้เรื้อน” แต่สิ่งที่ยืนยันได้เห็นได้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเอาแนวคิด และรูปแบบการมีขบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้าพระที่นั่งจตุรมุข ก็คือภาพสลักรูปครุฑที่ประดับรอบฐานที่พบเห็นเช่นเดียวกันที่ปราสาทพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ของพระราชวังกรุงศรีอยุธยา


เมื่อมาถึงท้ายสุดนี้ใคร่สรุปว่า พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่แลเห็นในกรุงรัตนโกสินทร์ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายคือราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยได้อิทธิพลความคิดทางด้านจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจากปราสาทนครวัด หรือวิษณุโลกของขอม แต่ขอมไม่มีการตั้งพระเมรุมาศ รวมทั้งไม่มีพระโกศบรรจุพระบรมศพ


ทั้ง อย่างนี้จึงเป็นนวัตกรรมของไทยโดยเฉพาะ เป็นสัญลักษณ์และเกียรติภูมิของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้รับการรักษาอนุรักษ์และต่อเนื่องมาจนสมัยปัจจุบัน


ปีกขวาของฐานพระที่นั่งโถงของพลับพลาฐานจตุรมุขแกะสลักภาพช้าง ซึ่งพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์รับมาในรูปแบบเดียวกัน


ในทางสังคมและวัฒนธรรมทั้งพระเมรุมาศและพระโกศคือสัญลักษณ์ของความสูงต่ำทางบรรดาศักดิ์ของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำที่เป็นค่านิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน เพราะหาได้หมดสิ้นไปกับการหมดไปของสังคมศักดินาสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ ในสังคมสมัยใหม่ที่มีชนชั้นกลางมากมายนั้น ทุกคนต้องการเผาศพตนเองอย่างมีเกียรติ จึงเกิดการสร้างเมรุหรือพระเมรุมาศเผาศพแทนการเผาที่เชิงตะกอนตามป่าช้าของวัดกันไปทุกแห่งทุกวัด จนเมรุเผาศพกลายเป็นจุดเด่นจุดสูงของวัดแทนหลังคาโบสถ์ และพระสถูปเจดีย์กัน


เมรุเผาศพจึงกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ของวัดไทยหลังยุคสังคมศักดินา ในส่วนโกศนั้นยังไม่แพร่หลายทั่วไป ยังคงสงวนไว้สำหรับเจ้านายและขุนนางข้าราชการที่ได้สายสะพาย โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพ่อค้าที่เป็นนักธุรกิจมั่งคั่ง และนักการเมือง

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:



Comentarios


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page