top of page

ประวัติศาสตร์ถิ่น – ประวัติศาสตร์ชาติ

ศรีศักร วัลลิโภดม

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2549


ในช่วงเวลากว่าสี่สิบปี หรืออีกนัยหนึ่งครึ่งศตวรรษที่ผ่าน เรื่องของประวัติศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ กลายเป็นสิ่งที่ซบเซาไม่น่าสนใจของผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ ในยุคนั้น พูดได้เลยว่าไม่สนใจที่จะเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันเลย ทำให้ประวัติศาสตร์ที่รู้กันหยุดอยู่เพียงแต่เป็นประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่พัฒนามาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ และสืบเนื่องออกงามในการมอมเมาให้คนทั้งเบื่อทั้งเชื่อมาจนทุกวันนี้


ประวัติศาสตร์ชาติที่งอกงามอย่างยิ่งในสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นต้นมา


ประวัติศาสตร์ชาตินิยมคือประวัติศาสตร์ของรัฐชาติ ที่เกือบทุกประเทศสร้างขึ้นเพื่อโต้ตอบประวัติศาสตร์อาณานิคมที่ฝรั่งตะวันตกสร้างขึ้น เพื่อครอบงำความคิดของคนตะวันออก ให้มีวิธีคิดและการมองโลกเป็นแบบตะวันตก จึงเป็นสิ่งระคนไปด้วยการให้ความรู้และวิธีการ กับการยอมรับเนื้อหาและความหมายทางประวัติศาสตร์ที่ปราชญ์หรือนักวิชาการของเจ้าของอาณานิคมสร้างขึ้น


ดังนั้น แม้จะโต้ตอบกับประวัติศาสตร์อาณานิคมก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ชาตินิยมก็อยู่ในกรอบความคิด ทฤษฎี และวิธีการที่ได้รับการอบรมมาจากคนตะวันตก เลยทำให้คนรุ่นใหม่ ๆ จำนวนมากในยุคประวัติศาสตร์ชาตินิยมนั้น คือผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมไปในแนวทางตะวันตกแทบทั้งสิ้น


โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่จะเป็นที่นิยมและยอมรับกันในสังคม ต้องเรียนจบได้ปริญญาเป็นพื้นฐาน ยิ่งได้จบเมืองนอกเป็นนักเรียนนอกยิ่งโก้เก๋ใหญ่


ประวัติศาสตร์ชาตินิยมของแทบทุกประเทศที่ถูกคุกคามโดยประเทศนักล่าอาณานิคม ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ของรัฐที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนเชื่อ เกิดสำนึกร่วม เกิดการรวมตัวกันต่อต้านการรุกล้ำจากภายนอก ตลอดจนเกิดความเป็นเอกภาพและความมั่นคงภายในเป็นสำคัญ โดยใช้มิติความเป็นจริง และหลักฐานความเป็นจริงในอดีต อันเป็นแนวคิดและวิธีการของคนตะวันตก เป็นหลักในการสร้างและอธิบาย


เรื่องราวที่ได้จึงแตกต่างไปจากความคิดและวิธีการของคนตะวันออกที่สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาจากเรื่องกึ่งความจริง หรือจากเรืองสมมติที่ร้อยรัดและเชื่อมโยงจากจินตนาการในกรอบความเชื่อและพิธีกรรม โดยเฉพาะในการแสดงออกหรือการสื่อ มักจะผ่านทางระบบสัญลักษณ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ดังนั้น เมื่อหันมารับแนวคิดและวิธีการทางตะวัน ประวัติศาสตร์แบบตะวันออก จึงหมดความสำคัญไป


แม้ว่าในขณะนี้ นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่จะหันมาทบทวนและค้นคว้ากันใหม่ก็ตาม แต่ในสังคมไทยยังล่าช้าและล้าหลังอยู่มาก ดังเห็นได้จากการเขียนประวัติศาสตร์ไทยเป็นตัวอย่าง ที่เน้นตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัยลงมา เพราะเห็นว่ามีหลักฐานทางเอกสารในเรื่องของความเป็นจริงเพียงพอ ซึ่งก็เลยกลายเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ปรับแต่งขึ้นจากแนวคิดและกรอบความคิดแบบตะวันตกชนิดครูพักลักจำ จนในที่สุดประวัติศาสตร์ชาติกลายเป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมไป


เนื้อแท้ของประวัติศาสตร์ชาตินิยมและเชื้อชาตินิยมของสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ที่ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งนั้น อยู่ที่การเอารัฐชาติ [Nation State] เป็นศูนย์กลางของอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ผสมด้วยการยกเผ่าพันธุ์สมมติว่าดีและวิเศษกว่าคนอื่น ๆ ในประเทศอื่น ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนประเทศเพื่อนบ้านไปหมด แต่ในขณะเดียวกัน กลับยกย่องประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคม อันเป็นที่เกลียดชังของประเทศเพื่อนบ้าน ให้กลายเป็นเทวดา


รัฐไทยได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ชาตินิยมมาเป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทย ซึ่งดูหนักข้อกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะเป็นผลทำให้พื้นแผ่นดินสยามที่ผุ้คนหลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่ผสมกลมกลืนกันอย่างมีความเสมอภาคและสันติสุขต้องกลายเป็นดินแดนของชนชาติเดี่ยวสายพันธุ์ใหม่ คือชนชาติไทยที่มีความสำคัญอยู่ที่กลุ่มชาติพันธุ์เดียว คือคนไท ดังนั้นการที่จะได้รับการยกย่องและสิทธิอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง ในประเทศไทย ก็ต้องเป็นคนไทยเท่านั้น


เพราะฉะนั้น ประวัติศาสตร์รัฐที่มีลักษณะเชื้อชาตินิยม จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เน้นส่วนกลางและความเป็นคนไทย อันเป็นสิ่งสมมติที่ลอยอยู่เหนือฐานความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่อยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ และกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องเชื้อชาตินิยมไปในที่สุด


และนี่คือสาเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองการปกครอง รวมทั้งเศรษฐกิจวัฒนธรรมระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นดังเช่นที่เห็นได้ในทุกวัน โดยเฉพาะกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นเผ่าพันธุ์มาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม



ทุกวันนี้มีผู้รู้และผู้นำที่เห็นการณ์ไกล เช่นคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ว่าเป็นพื้นฐานของการสร้างความเข้าใจระหว่างกัน รวมทั้งมีผู้คนคล้อยตามอีกเป็นจำนวนมาก ที่เห็นว่าจำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ในเนื้อหาและมุมมองใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางสังคมและสถานการณ์โลก


ทุกวันนี้ เรื่องเชื้อชาตินิยมเป็นเรื่องล้าสมัยและไม่เป็นวิทยาศาสตร์อีกต่อไปแล้ว เพราะคำว่า “เชื้อชาติ” (Race) ที่หมายถึงการสืบเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์เดียวกันทางสายเลือดโดยไม่มีการปะปนกับคนเผ่าอื่นนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นแผ่นดินไทย หรือแผ่นดินสยามที่มีคนหลายชาติพันธุ์เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ผสมปนเปกันหลายยุคหลายสมัยบนเส้นทางของประวัติศาสตร์


ดังนั้น การศึกษาและมุมมองใหม่สำหรับประวัติศาสตร์ไทยที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ ก็คือต้องหันไปทบทวนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เคยเป็นมาสมัยก่อนที่จะมีการสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาติดนิยมแห่งรัฐขึ้น


โดยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในสยามประเทศก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองประกอบขึ้นจากบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมในสองระดับ คือระดับล่าง อันเป็นระดับถิ่น กับระดับบน อันเป็นระดับชาติ หรือรัฐ


ระดับล่างหรือระดับถิ่นนั้น นับเนื่องเป็นวัฒนธรรมราษฎร์ ส่วนระดับบนเป็นวัฒนธรรมหลวง ระดับล่างสร้างจากความเป็นจริงที่เป็นพื้นที่แผ่นดินเกิดของคนที่มีความหลายหลากทางชาติพันธุ์ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ข้าพเจ้าเรียกระดับนี้ว่าระดับมาตุภูมิ


ในขณะที่ระดับบนเป็นผลมาจากบูรณาการความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมในระดับมาตุภูมิมาเป็นสิ่งสมมติที่ทำให้ผู้คนตามท้องถิ่นที่หลากหลายกลายเป็นพวกเดียวกันในนามของคำว่า “ชาติ” และ “ชาติภูมิ”


เพราะฉะนั้น ทั้งชาติและชาติภูมิจึงเป็นสิ่งที่จินตนาการจากข้างล่างขึ้นข้างบนมากกว่าจากข้างบนลงล่างอย่างเช่นเนื้อหาและการเรียนประวัติศาสตร์ที่เรียนและใช้กันในปัจจุบัน


ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็คือการเน้นประวัติศาสตร์สมมติ อันเป็นประวัติศาสตร์รัฐหรือชิตแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของความเป็นจริงในท้องถิ่น หรือสิ่งที่เรียกว่า “ประวัติศาสตร์ถิ่น” นั่นเอง


ประวัติศาสตร์ถิ่นหรือท้องถิ่น เป็นฐานของบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ในอันดับแรก เป็นบูรณาการที่ใช้พื้นที่เป็นหลัก นั่นคือเริ่มตั้งแต่การเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยและทำกินของคนกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่มที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มก็มีความสัมพันธ์กันเป็นชุมชนหนึ่ง


ในชั้นแรก แต่ละกลุ่มเหล่าคงไม่ต้องสัมพันธ์กันเท่าใด แต่ในเวลาต่อมา การอยู่ในพื้นที่สภาพแวดล้อมเดียวกัน ทำให้ต้องสัมพันธ์กัน ซึ่งก็มีทั้งการขัดแย้ง ประนีประนอม และปรองดองกัน อันเนื่องมาจากการใช้ที่ทำกินและทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่ร่วมกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้นำไปสู่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคม เช่นการแต่งงานข้ามกลุ่มและการเอาแรงกันในการดำนา เกี่ยวข้าว เป็นต้น


การใช้ทรัพยากรร่วมกันทำให้ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม และจัดสรรทรัพยากร เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกฎระเบียบและกติการ่วมกัน ที่ถูกควบคุมโดยระบบความเชื่อ จารีตประเพณี พิธีกรรม ที่สัมพันธ์กับอำนาจนอกเหนือธรรมชาติในท้องถิ่น


ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกันเป็นรูปแบบทางวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากที่อื่น ท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ที่มีหลาย ๆ ชุมชนมาอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาตั้งแต่สามชั่วคนขึ้นไป คือนับจากรุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนถึงรุ่นลูกหลานนั้น จะมีความทรงจำร่วมกันที่ถ่ายทอดกันลงมาในลักษณะที่เป็นตำนาน โดยมีชื่อของสถานที่ ไม่ว่าชื่อของหนองน้ำ ทุ่งนา ป่าเขา ลักษณะแปลก ๆ ของธรรมชาติ วัดวาอาราม โบราณสถาน เป็นสิ่งบันทึก รวมไปถึงการเล่าเรื่องบุคคลสำคัญและกิจกรรมร่วมกัน


ความทรงจำเช่นนี้คือเนื้อหาของสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น เป็นความทรงจำที่สร้างสำนึกความเป็นพวกพ้องเดียวกันในท้องถิ่น เป็นความทรงจำที่ยังบันทึกความเป็นจริงทางสังคมว่าคนกลุ่มนั้น บ้านนั้น เป็นคนเผ่าพันธุ์ไหน มาอยู่ร่วมกันอย่างมีสำนึกเป็นพวกเดียวกันในท้องถิ่นอย่างใด และมีความเชื่อถือในเรื่องจารีตประเพณีร่วมกันเช่นไร ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เพื่ออยู่รอดร่วมกันในท้องถิ่น


นี่คือเรื่องของความทรงจำที่คนในท้องถิ่นบันทึก และสร้างขึ้นในรูปของ “ตำนาน” ท้องถิ่นแต่ละถิ่น เมื่อมีพัฒนาการทางสังคมและเศรษฐกิจมาถึงระดับหนึ่ง จะเกิดชุมชนที่เรียกว่า บ้าน และเมืองขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ท้องถิ่นนั้นมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจสังคมที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง [Self contain]


บ้านคือชุมชนขนาดเล็กที่มีหลายแห่งในท้องถิ่นหนึ่ง ในขณะที่เมืองคือชุมชนที่ใหญ่กว่า และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้คนจากบ้านแต่ละแห่งในท้องถิ่น ซึ่งในเวลาเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางการติดต่อกับสังคมใหญ่ภายนอกได้


ความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคมของเมืองอยู่ที่ตลาด เพราะนอกจากจะเป็นที่ซื้อขายสิ่งของที่จำเป็นในท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นที่ซื้อขายสินค้ากับภายนอกด้วย จึงมีผู้คนมากมายหลายอาชีพจากถิ่นเข้ามาทำงาน อยู่อาศัย ทั้งชั่วคราวและถาวร เมื่อชุมชนเมืองมีพัฒนาการเต็มที่แล้วก็มักกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการเมือง อย่างเช่น เกิดวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของท้องถิ่น


ในชีวิตประจำวัน คนจะประกอบพิธีกรรมกันที่วัดของชุมชนระดับบ้าน แต่เมื่อมีพิธีกรรมสำคัญหรือในวันนักขัตฤกษ์ ก็จะมาชุมนุมกันที่วัดใหญ่ในเมือง มีการแสดงออกร่วมกันในงานประเพณี เช่น การแข่งเรือในเดือนสิบเอ็ด การจุดบั้งไฟในเดือนห้าหรือเดือนหก เป็นต้น


จะเห็นได้ว่าเรือหรือบั้งไฟที่เข้ามาร่วมแข่งนั้น แต่ละลำล้วนเป็นตัวแทนของวัดในแต่ละบ้านทั้งสิ้น การแข่งเรือและบั้งไฟจึงเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกัน ภายในวัดของเมืองอันเป็นเขตกลางทางความเชื่อและวัฒนธรรมของท้องถิ่น


ขณะที่วัดในชุมชนบ้านไม่ได้เน้นการดำรงอยู่ของโบสถ์ แต่เป็นเรื่องของวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุ หรือไม่ก็รอยพระพุทธบาทในมณฑปอันสวยงาม เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนในท้องถิ่นต้องมากราบไหว้ร่วมกันนั้น วัดของเมืองอันเป็นศูนยืกลางทางความเชื่อและวัฒนธรรมของท้องถิ่นมีลักษณะที่แตกต่างไปศาสนสถานหรือศาสนวัตถุภายในวัดจะเป็นศูนย์กลางที่คนภายนอกจากถิ่นอื่นหรือเมืออื่นพากันมากราบไหว้ตามฤดูกาลทีเดียว


ส่วนความสำคัญทางการเมืองของชุมชนเมืองที่เป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นนั้น อยู่ที่การเป็นที่พำนักและที่ปกครองของบุคคลที่เป็นหัวหน้าในท้องถิ่น ซึ่งเมื่อมีการเชื่อมโยงกับศูนย์การปกครองของรัฐแล้ว ก็จะมีตำแหน่งและฐานะเป็น “เจ้าเมือง”


ทั้งเจ้าเมืองและวัดที่เป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นได้ก่อให้เกิดตำนานสำคัญขึ้นสองอย่าง คือ ตำนานพระธาตุ และ ตำนานเมือง ทั้งสองตำนานมีเนื้อหาสาระที่แยกกันไม่ออก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับบ้านและวัดที่มีชื่อเดียวกัน อย่างเช่น ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น


ตำนานดังกล่าวนี้คือหัวใจและเนื้อหาสำคัญของประวัติศาสตร์ถิ่นหรือท้องถิ่น เพราะให้ความรู้และภาพลักษณ์ของผู้คนและบ้านเมือง รวมทั้งสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี


ตำนานแต่ละตำนานดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะในมิติของคนกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาตินั้น ทำให้เห็นว่าความคิดและการสร้างความรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจากคนภายในนั้น เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากระบบความเชื่อทางศาสนา ไสยศาสตร์ และเรื่องทางจิตวิญญาณ ซึ่งก็คงเพราะตำนานอันเป็นเนื้อหาของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับเรื่องความเชื่อดังกล่าว จึงทำให้ไม่มีความเป็น “ประวัติศาสตร์” ในความคิดของบรรดานักประวัติศาสตร์และคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาอบรมแบบตะวันตก


ในระดับท้องถิ่น ตำนานเป็นหัวใจในเรื่องบูรณาการทางวัฒนธรรม ที่ทำให้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ตามชุมชนต่าง ๆ ในท้องถิ่นมีสำนึกร่วมกัน จนเป็นคนของท้องถิ่นเดียวกัน


ตำนานเป็นที่มาของขนบธรรมเนียม ประเพณี และข้อห้ามที่คนในท้องถิ่นประพฤติและปฏิบัติร่วมกัน และในขณะเดียวกันก็เป็นที่มาของชื่อสถานที่ ทั้งที่เป็นธรรมชาติและที่คนสร้างขึ้น เช่น ภูเขา หนองน้ำ ลำน้ำ ป่า ทุ่ง ทำให้พื้นที่หรือสถานที่เหล่านั้นกลายเป็นพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ประวัติศาสตร์ของคนทุกชาติพันธุ์และทุกชุมชนที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกัน


นอกเหนือไปจากนี้ ก็รวมถึงเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากข้างนอกหรือข้างใน ที่มีผลกระทบกับชีวิตวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ซึ่งนับเนื่องเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เป็นความทรงจำร่วมกัน


เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวิธีการแบบอย่างตะวันตกนั้น นับเนื่องเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป้นกระบวนการโลกวิสัย [Secularization] ที่แยกความเชื่อออกจากความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งพยายามหลีกเลี่ยงการสมมติและจินตนาการให้มากที่สุด


ความสำคัญของเรื่องราวที่เป็นตำนานนั้น ต่างกับประวัติศาสตร์แบบเน้นความเป็นจริงแบบวิทยาศาสตร์ ตรงที่ว่าเป็น สิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์หาหลักฐานแบบประวัติศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ถ้าหากจะพยายามค้นหาและพิสูจน์ความเป็นจริงจากอดีตที่เป็นเรื่องสมมติแล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องเสียเวลาเสียสมองไปโดยใช่เหตุ


ยกตัวอย่างเช่น ความพยายามที่จะค้นหาวีรบุรุษทางวัฒนธรรม [Cultural Heroes] เช่น พระเจ้าอู่ทอง พระร่วง ขุน เจือง หรือขุนบรม ว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่เรื่องบั้งไฟพญานาค ในเขตจังหวัดหนองคายและประเทศลาว ยิ่งกว่านั้นตำนานยังเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของกลุ่มชน เวลาและสถานที่ เป็นสิ่งที่ยากแก่การหาข้อยุติว่าอะไรคือหลักฐานชั้นแรกหรือชั้นที่สอง อะไรคือของจริงแท้ดั้งเดิม นั่นก็เพราะตำนานคือประวัติศาสตร์แบบมีชีวิต ที่ผู้คนต่างกลุ่มเหล่าในท้องถิ่นสร้างขึ้นโต้ตอบกันเอง หรือเพื่อโต้ตอบกับภายนอกอยู่ตลอดเวลา


ในที่สุด การเข้าถึงตำนานท้องถิ่นในมิติทางการเมืองอาจวิเคราะห์ตำนานในบริบทท้องถิ่นออกเป็นตำนานบ้าน และตำนานเมือง เพราะพัฒนาการทางสังคมและการเมืองในแต่ละถิ่นนั้น มีทั้งชุมชนที่เป็นบ้านและเมืองอยู่ด้วยกัน


ตำนานเมืองมักเป็นสิ่งที่มีพัฒนาการไปสู่การเป็นพงศาวดาร ซึ่งเป็นเรื่องราวของกษัตริย์ปกครองเมืองที่เป็นศูนย์กลางของรัฐ


การสร้างตำนานพงศาวดารนั้น จะเกิดการจัดระเบียบสังคมใหม่ให้แลเห็นโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ มีศักดินา อันแตกต่างไปจากโครงสร้างสังคมท้องถิ่นที่เสมอภาค นับเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การสร้างประวัติศาสตร์ชาติเพื่อการบูรณาการในระดับวัฒนธรรมหลวง ที่แลเห็นความพยายามที่ทำให้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลายท้องถิ่น ที่แตกต่างกันทางวัฒนธรรม ได้มาอยู่ในกรอบวัฒนธรรมเดียวกัน และเกิดสำนึกการเป็นผู้อยู่ร่วมประเทศเดียวกัน ดังเช่นการเป็น คนไทย


การเป็นคนไทย ก็คือการสร้างสำนึกให้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่น เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน การเป็นคนไทยหรือชิตไทยจึงเป็นเพียงสิ่งสมมติ หรือเป็นแค่จินตนาการน่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์ชาติตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้ประวัติศาสตร์ชาติกาลายเป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมไป


อันตรายหรือพิษร้ายของประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมก็คือ ทำให้ผู้คนในชาติส่วนใหญ่หลงชาติ หลงว่าคนไทยเป็นชาติพันธุ์เดียวกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ นับเป็นการตัดความจริงที่เกิดจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นที่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ถิ่นออกไป


เมื่อปราศจากประวัติศาสตร์ถิ่น ประวัติศาสตร์ชาติจึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ชนชาติสมมติไป


 

Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page