เผยแพร่ครั้งแรก 1 ม.ค. 2555
ในช่วงเวลา ๖–๗ ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยทั่วไปมักได้ยินคำกล่าวที่คุ้นๆในเรื่อง ผู้มีบารมี อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสูญเสียอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลในสมัยหนึ่ง มักกล่าวหาว่าเหตุที่ตนต้องเดือดร้อนนั้นมีที่มาจากการกระทำของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ

ภาพสลักรูปจักรวาทิน [Cakravartin] สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชอายุราวพุทธศตวรรษที่๓ศิลปอมราวดีจากอันทรประเทศปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์ในคติแบบเถรวาทจะอยู่ในฐานะพระราชาธิราชหรือจักรวาทินซึ่งเป็นผู้จรรโลงธรรมทั้งปวง
ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของ การกล่าวหา [Accusation] เพราะไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ และที่สำคัญก็คือผู้กล่าวหาไม่กล้าที่จะระบุว่าใครคือผู้มีบารมี เลยทำให้เรื่องบานปลาย มีการตีความไปต่าง ๆ นานาว่าใครคือผู้มีบารมี
ข้าพเจ้าเห็นว่าในการรับรู้ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น รู้ว่าผู้ที่จะมีบารมีได้ในทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาดังกล่าวนี้ มีอยู่สองท่านที่โดดเด่น ท่านแรกคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านที่สองคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศชาติ
ผู้กล่าวหาซึ่งข้าพเจ้าขอฟันธงในที่นี้ว่า ผู้แพ้บารมี เพราะเมื่อมีผู้มีบารมีก็ควรมีผู้ไม่มีบารมีเป็นคู่ต่อรองกัน ผู้ไม่มีบารมีคือผู้แพ้ได้กล่าวหาในเชิงกล้า ๆ กลัว ๆ เลยเกิดความคลุมเครือในเรื่องว่าจะเป็นท่านใดแน่ เพราะจะโดนเอาผิดมิได้ แต่ในความคิดของผู้ที่เป็นวิญญูชนแล้วตระหนักว่า ผู้มีบารมีนั้นหมายถึงองค์พระประมุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สร้างความคลุมเครือให้เห็นว่าเป็นท่านประธานองคมนตรี แล้วเติมให้เต็มไปถึงองคมนตรีทั้งคณะ ซึ่งแต่งตั้งโดยองค์พระประมุข จึงคิดเห็นว่าควรเลิกล้มไม่ให้มีคณะองคมนตรีเสีย เพื่อบ้านเมืองจะได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์
การเคลื่อนไหวของผู้แพ้บารมีและบริวารครั้งนี้ ดูเข้าทางบรรดานักวิชาการและนักศึกษาที่เรียกว่า กลุ่มไม่เอาเจ้า ที่มีการเคลื่อนไหวแบบกล้า ๆ กลัว ๆ มานานแล้ว มูลเหตุที่มาก็คือ คนเหล่านี้คือผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลรวมทั้งทุนพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะจากทางอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส เช่นเดียวกันกับครั้ง ร.๕ ที่ส่งออกไป ได้ถูกวิธีการคิดทางการเมือง เศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยจากบ้านเมืองเหล่านั้นมาครอบงำจนมองไม่เห็นอดีตรากเหง้าของบ้านเมือง
ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบตะวันตกของประเทศดังกล่าวนี้คือ เห็นว่าสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นสิ่งล้าสมัยไม่ก้าวหน้าและไม่เสมอภาคตามอุดมคติในเรื่องประชาธิปไตยที่ตนได้เล่าเรียนมา กลุ่มนักเรียนนอกที่ถูกส่งไปเรียนตั้งแต่สมัย ร.๗ แต่ก็ยังดำรงสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นก็ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่ทรงมีพระราชอำนาจทางการบริหาร ซึ่งนับว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทย [Localization Democracy]
ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงปฏิบัติตามและไม่เคยแสดงพระองค์เองว่าอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด
แต่ความต่างกันระหว่างนักเรียนนอกรุ่นก่อนคือสมัย ร.๕ กับนักเรียนนอกดอกเตอร์ด๊อกตีนในสมัยนี้ก็คือ นักเรียนนอกรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งไม่เอาสถาบันกษัตริย์และการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่โตเท่าใด แต่มีอิทธิพลในเรื่องการถ่ายทอดและส่งต่อความคิดไปให้คนรุ่นเด็ก โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
เหตุที่คนเหล่านี้มีอิทธิพลทางความคิดก็คือ มักเป็นผู้ที่เป็นอาจารย์ นักเขียน นักคิด ที่มีเครือข่ายสัมพันธ์กับนักวิชาการและนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส แถมบางคนยังมีอาจารย์ชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายคนเป็นพ่อทูนหัวสนับสนุนอบรมและเชื่อมโยงในการเป็นเครือข่ายให้ในต่างประเทศ ทำให้บรรดานักวิชาการและนักศึกษากลุ่มไม่เอาเจ้านี้ดูเป็นคนทันสมัยและหัวก้าวหน้า และมีบทบาทในทางสื่อเป็นประจำ
ข่าวคราวที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้านี้ เห็นจะเป็นกลุ่มนิติราษฎร์ที่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายมาตรา ๑๑๒ อันเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่องการหมิ่นพระมหากษัตริย์และสถาบัน โดยมีรายละเอียดหลายประการที่ทำให้สังคมสงสัยเคลือบแคลง คนเหล่านี้อ้างสิทธิความเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่ตนเล่าเรียนมาซึ่งก็ถูกต้องในอุดมคติแบบตะวันตกที่ทำให้ผู้คนเป็นจำนวนมากเห็นคล้อยตามเเล้วเข้าทางของกลุ่มนักการเมืองและบริวารของผู้แพ้บารมี
ผลที่ตามมา ถ้าหากสังคมขาดสติก็อาจกลายเป็นเรื่องขัดแย้งใหญ่ที่รุนแรงได้ ถ้าหากคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว พวกนักวิชาการเด็กๆปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหล่านี้คือ ผู้ที่มีอัตตาแรงและไม่รู้กาลเทศะ แต่กล้าๆกลัวๆ เพราะการเอาสิ่งที่เป็นอุดมคติในเรื่องมาพูดในยามที่มีความขัดแย้งนั้น ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนค้ำจุนกลุ่มคนอีกขั้วหนึ่งที่จะล้มเจ้า
แต่เมืองไทยที่ผ่านมาประชาธิปไตยไม่เป็นแบบตะวันตก เพราะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นประชาธิปไตยที่เกิดการปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบท้องถิ่น [Localization] คือ ประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ข้าพเจ้าสะใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการสนทนาถกกันของนักวิชาการกลุ่มไม่เอาเจ้ากับคนที่เป็นกลางและไม่เห็นด้วยในรายการสถานีโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส ครั้งหนึ่งที่ว่า กลุ่มตนเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับคณะรัฐประหารสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ยังคงการเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่กลับไม่ยอมรับว่าการเคลื่อนไหวในการล้ม ก.ม. ๑๑๒ นั้น คือการกระทำเพื่อไม่เอาการเป็นองค์พระประมุขของพระมหากษัตริย์อย่างที่วิญญูชนทั้งหลายเข้าใจกัน
ที่น่าสมเพชก็คือต่อหน้าสื่อสาธารณะดูกล้า ๆ กลัว ๆ แต่พอลับหลังในการเสวนาทางวิชาการตามสถาบันการศึกษากลับแสดงความกร่างและโอหังถึงขนาดออกมาจาบจ้วงว่า จะต้องไม่ให้มีการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมืองและประชาชนอย่างที่เคยทางปฏิบัติมา
โดยภาพรวมที่ข้าพเจ้าเห็นในขณะนี้ก็คือ กลุ่มนักวิชาการวิชาเกินที่ไม่เอาเจ้าเหล่านี้คือผู้ที่กำลังล้มเจ้าเข้าด้วยกับบรรดานักการเมืองผู้พ่ายบารมี เพราะทำหน้าที่เป็นนกต่อสองสถาน สถานแรกเป็นการสนับสนุนและให้แรงใจ [Empowerment] แก่บรรดานักการเมืองว่าดำเนินการถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตกแล้ว โดยเฉพาะการที่ผ่านการเลือกตั้งที่ได้เสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม โดยไม่ยอมรับรู้และรับฟังว่าการได้เสียงจากการเลือกตั้งดังกล่าวมาจากการซื้อเสียงขายเสียงเป็นส่วนใหญ่
สถานที่สองนักวิชาการเหล่านี้เป็นพวกคิดอะไรข้ามชาติเป็นพวกนิยมโลกาภิวัตน์ คือคิดอะไรทำอะไรมักคล้อยตามอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นทุนนิยมที่มุ่งหวังเข้ามาแย่งทรัพยากรในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก ซึ่งนักการเมืองและพรรคการเมืองผู้แพ้บารมีกำลังขายทรัพยากรและประเทศให้กับประเทศนายทุนเหล่านั้น
การเคลื่อนไหวในกระบวนการล้มเจ้าของบรรดานักการเมือง นายทุนข้ามชาติ และนักวิชาการข้ามชาติเหล่านี้กำลังใช้สื่อแทบทุกรูปแบบในการที่จะสร้างมวลชนมาสนับสนุนหาความชอบธรรม จึงเกิดการต่อต้านขึ้นโดยผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่รักชาติ (แผ่นดินเกิด) และเห็นชอบในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเชื่อมั่นในพระบารมีเป็นหลักความมั่นคงทางสังคมของบ้านเมือง

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระมหากษัตริย์แม้ว่าจะไม่มีพระราชอำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ยังทรงอำนาจทางบารมีที่เกิดขึ้นจากศรัทธาของประชาชนผู้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้มีบุญและเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือสภาวะความเป็นบุคคลธรรมดาทั้งหลาย การกระทำใด ๆ ที่เป็นการจาบจ้วงและมุ่งร้ายต่อพระองค์ถือเป็นความชั่วร้ายและอัปมงคลที่นำความวิบัติมาสู่ผู้คนในส่วนรวม
โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังมองว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ถ้าหากทำร้ายพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนา จึงทำให้สถาบันกษัตริย์และสถาบันศาสนาเป็นสิ่งแยกกันไม่ออก และสถาบันทั้งสองนี้ก็แยกกันไม่ออกจากสถาบันชาติ ซึ่งหมายถึงแผ่นดินเกิดที่มักเรียกว่า มาตุภูมิ ปิตุภูมิ ชาติแปลว่าเกิด ที่ทำให้เกิดสำนึกชาติภูมิร่วมกัน หาได้หมายถึงเรื่องชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และชาตินิยมอย่างใดไม่ ความรักในแผ่นดินเกิดจนเกิดสำนึกร่วมกันนี้ฝรั่งเรียกว่า Patriotism เป็นสำนึกอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษย์ ซึ่งดูตรงข้ามกันกับพฤติกรรมของกลุ่มคนข้ามชาติและขายชาติในกระแสโลกาภิวัตน์ขณะนี้
Comments