เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.พ. 2553
หากกล่าวถึง “อภัยภูเบศร” หลายท่านคงนึกถึงผลิตภัณฑ์และยาจากสมุนไพรของไทยรวมถึงชื่อโรงพยาบาลขึ้นชื่อจนเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนที่ต้องการทางเลือกในการรักษาสุขภาพ โดยเห็นได้จากยาสมุนไพรที่โรงพยาบาลผลิตออกสู่ท้องตลาด กลายเป็นสินค้าในตลาดยาสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากมีกรรมวิธีในการแปรรูปยาสมุนไพรไทยที่รับประทานยากมาบรรจุในแคปซูลที่ทันสมัย ง่ายต่อการบริโภค ความนิยมในตัวยาสมุนไพรของที่นี่ นอกจากมีแหล่งจำหน่ายทั่วประเทศแล้ว ทุกวันก็จะกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแวะซื้อสมุนไพรถึงภายในโรงพยาบาลเลยทีเดียว
นอกจากสินค้าและความรู้เรื่องยาสมุนไพร ที่นี่ยังมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเพราะมีสถานที่สำคัญในพื้นที่โรงพยาบาล คือตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ศิลปะแบบบาร็อค [Baroque] ของยุโรป สง่าและสวยงาม สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ในปี พ.ศ.๒๔๕๒ ที่ในปัจจุบันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลแห่งนี้

ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
กว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้ว่าจ้างบริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน จำกัด สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี แต่ภายหลังพระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนจึงมิได้ใช้รับเสด็จฯ กระทั่งในอีก ๓ ปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ประทับเมื่อคราวเสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรถึงแก่อนิจกรรมลงตึกแห่งนี้ได้ตกเป็นมรดกของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ (พระนามเดิมคือ คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์) ผู้เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงค์)
จากนั้นในปี พ.ศ.๒๔๘๒ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมอบตึกหลังนี้ให้แก่ทางราชการ และในช่วง พ.ศ.๒๔๘๔ นับจากเกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตึกหลังนี้กลายมาเป็นโรงพยาบาลสำหรับทหารที่ทำการรบในเขตเมืองพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ จนกระทั่งในช่วงหลังสงครามก็ยังถูกใช้เป็นโรงพยาบาลเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ จึงย้ายส่วนของการรักษาพยาบาลออกไปยังตึกผู้ป่วยที่สร้างขึ้นใหม่และตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้เปลี่ยนมาเป็นอาคารสำนักงานของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรนับแต่บัดนั้น
ด้วยความสถาปัตยกรรมที่งดงามและความเก่าแก่ของตัวอาคารที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญของประเทศหลายท่าน ในวันที่ ๒๕ ม.ค.๒๕๓๓ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และในปีพ.ศ.๒๕๓๖ ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ โดยมีการเก็บรวบรวมและจัดแสดงตัวอย่างสมุนไพร เครื่องมือยาสมัยโบราณ รวมไปถึงตำรายาโบราณ ที่ส่วนใหญ่ได้รับมาจากมูลนิธิหมื่นชำนาญแพทยา (พลอย แพทยานนท์) และบางส่วนมาจากการบริจาคจากประชาชนทั่วไป ตำรายาโบราณดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาบาลี สันสกฤตและไทย จำนวนทั้งหมด ๒๓๓ เล่ม ประกอบด้วย หนังสือใบลาน ๑๖ ผูก สมุดข่อย ๑๓๐ เล่ม และหนังสือหายาก ๘๗ เล่ม ซึ่งในปัจจุบันทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายสาขาวิชาชีพเพื่อสังคายนาตำรายาโบราณ พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่และแปลตำราเผยแพร่ให้นำไปสู่การใช้ประโยชน์จากการแพทย์แผนไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ปริวรรต พลิกฟื้นตำรายาโบราณ...พลิกฟื้นใบลานสู่การรักษา
นับจากการสร้างตึกแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ จนถึงปัจจุบัน ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ด้วยเหตุนี้ในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลอภัยภูเบศรจึงได้จัดงาน “เสวนาตำรายาโบราณเนื่องในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรและฉลองพระชนมายุ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี” ขึ้น โดยเชิญนักวิชาการในหลายสาขาอาทิเช่น รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ ดร.สุรสิทธิ์ ไทยรัตน์ และ ผศ.ดร.จักร แสงมา จากหน่วยปฏิบัติการเคมีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณกีรติวจน์ ธนภัทรธุวานันท์ จากศูนย์จารึกและเอกสารโบราณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คุณเกริก อัครชิโนเรศ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดร.อุษา กลิ่นหอม จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีอาจารย์ฆัสรา
ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร รองผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ดำเนินรายการ และเภสัชกรหญิง.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นผู้สรุปและบันทึกการเสวนา
ผู้ร่วมเสวนาได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหาของตำรายาที่อยู่ในคัมภีร์ใบลานซึ่งมีความเชื่อและคติแฝงอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นคัมภีร์ใบลานที่เก็บไว้ในวัด เช่น แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ที่มีเนื้อหาประกอบด้วย คัมภีร์ปฐมจินดา คัมภีร์พรหมปุโรหิต คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยธาตุพิการตามฤดู และคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวินิจฉัยโรคและประกอบตัวยา ซึ่งในหนึ่งหน้ามีตัวยาแก้โรคหลายชนิด

ห้องจัดแสดงยาสมุนไพรของหมื่นชำนาญแพทยา(พลอย แพทยานนท์)
ในศาสนาอิสลามพบว่าได้มีการบัญญัติวิธีการรักษาโรคไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน นอกจากนี้ ในกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เช่น ไทยใหญ่ มอญ ก็มีการบันทึกสูตรยารักษาโรคไว้ในคัมภีร์ใบลานของตนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งกระบวนการสำคัญของการศึกษาตำรายาโบราณดังกล่าว คือการปริวรรตคัมภีร์ใบลานที่ต้องอาศัยการถอดรหัสและตีความภาษาที่เป็นปริศนาเกี่ยวกับสูตรยา ซึ่งต้องใช้ความรู้และเวลาที่ยาวนานในการศึกษา
เมื่อผ่านการปริวรรตจนได้สูตรยาต่าง ๆ มาแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์จะนำเอาพืชสมุนไพรที่ถูกระบุว่าเป็นองค์ประกอบของสูตรยานั้น ๆ ไปศึกษาหาสารเคมีประกอบของตัวยาที่มีผลต่ออาการของโรค ว่ามีสรรพคุณทางยาเป็นอย่างไร จึงเรียกได้ว่าเป็นการระดมสรรพวิชาทั้งภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการถอดรหัสและตีความเพื่อนำสู่การทำความเข้าใจและศึกษาอย่างมีระบบระเบียบอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
รวม-แลกสูตรยา เพื่อร่วมพัฒนาตำรายาไทย
นอกจากการศึกษาเรื่องตำรายาโบราณที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของตนเองแล้วโรงพยาบาลอภัยภูเบศรยังได้ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสูตรยาระหว่างกัน โดยหากมีผู้สนใจจะมาขอสูตรยาของโรงพยาบาลก็จะต้องมีสูตรยาของตนมาแลกเปลี่ยนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่โรงพยาบาลได้สูตรยาเหล่านั้นไปแล้วก็จะรวบรวมนำไปศึกษาและพัฒนาให้เป็นสูตรยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ให้ได้ผลดีต่อไป
ในวันนี้ผลของการแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องตำรายาของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรได้ส่งผลให้เกิดเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนายาแผนไทยให้ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเห็นจากกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมในการเสวนาในครั้งนี้ต่างมาจากหลากหลายท้องถิ่นซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีในการพลิกฟื้นตำรายาโบราณให้กลับมามีคุณค่ามากกว่าจะถูกเก็บไว้ในตู้โชว์เพียงอย่างเดียว
ภาณุพงษ์ ไชยคง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:
Comments