top of page

"พิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้าน” เก็บอดีตจากบ้านดงคอน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 5 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 มี.ค. 2553


สิ่งของเครื่องใช้ที่ชาวบ้านบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ของหมู่บ้าน

 


ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวทางศิลปวัฒนธรรมกระจายอยู่ในที่ต่างๆ เกือบทั่วประเทศ เนื้อหาที่จัดแสดงก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “ศิลปะและโบราณคดี” ในระดับภูมิภาค เน้นให้เห็นความสำคัญของศูนย์กลางแห่งใดแห่งหนึ่ง


สภาพเช่นนี้ทำให้ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์รับรู้ในเรื่องไกลตัวและตัดขาดออกจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนเอง ความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดความสืบเนื่องทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นจึงไม่เกิดขึ้น


ความหมายของพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าว เป็นสาเหตุให้เกิดความคิดต่างๆ ในภารพัฒนาเนื้อหาและวิธีการจัดพิพิธภัณฑ์เพื่อชุมชนหรือท้องถิ่นอย่างแท้จริง


จากความคิดเหล่านี้ (โดยเฉพาะเอกสารสัมมนาของ ผ.ศ.ปรานี วงษ์เทศ เรื่อง “บทบาทวัฒนธรรมท้องถิ่นกับการสืบทอดวัฒนธรรมพื้นบ้าน (พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเพื่อชุมชนชาวบ้าน) จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ วันที่ ๓๐ มิถุนายน – ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๒) กระตุ้นให้มีการทดลองทำพิพิธภัณฑ์ในท้องถิ่น โดยนักศึกษาจากชมรมอนุรักษ์ศิลปะ, โบราณคดีและวัฒนธรรมพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้ร่วมกันทำ “โครงการอบรมเยาวชนเผยแพร่ความรู้และจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น” ที่อำเภอสรรคบุรี เมื่อวันที่ ๑๓-๒๔ ตุลาคม ที่ผ่านมา



“ที่บ้านดงคอนมีร่องรอยชุมชนโบราณสมัยทวารวดี นักศึกษากลุ่มหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับชาวบ้านจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้านขึ้น เพื่ออนุรักษ์ร่องรอยเก่าแก่เหล่านั้น”


เก็บอดีตจากบ้านดงคอน


ก่อนเริ่มจัดพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการเก็บข้อมูลในภาคสนาม เพราะนอกจากจะศึกษาแนวความคิด การจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นตามทฤษฎีแล้ว ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ทั้งทฤษฎีและการกระทำร่วมกันได้อย่างกลมกลืน



ตำบลดงคอน อยู่ในอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ครอบคลุมพื้นที่ ๑๓ หมู่ อาชีพหลักของชาวบ้านคือการทำนา โดยเฉพาะหลังจากปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา พื้นที่ทำนาได้ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก การบุกรุกป่าเพื่อทำไร่ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในบริเวณที่เรียกว่า “ดงเทพรัตน์” ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่จัดสรรสำหรับคนยากจนและมีปัญหาในชุมชนไม่ผิดกับแหล่งชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก เป็นเพราะขาดความสัมพันธ์ในระดับชุมชนนั่นเอง


(ภาพซ้าย) แผนผังแสดงที่ตั้งของเมืองดงคอน เมืองโบราณสมัยทวารวดีและอยุธยาตอนต้น อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท

(ภาพขวา) สภาพแวดล้อมของเมืองดงคอนที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เห็นแนวคูน้ำคันดินรูปกลม เพราะถูกเเป็นที่นาเสียเกือบหมดแล้ว

 


หมู่บ้านดงคอนแต่ดั้งเดิม อยู่ในบริเวณหมู่ที่ ๑-๔ มีวัดโคกดอกไม้เป็นศูนย์กลาง เรียงรายด้วยบ้านพักอาศัยค่อนข้างหนาแน่น ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านมีคูน้ำคันดินในสมัยวัฒนธรรมทวารวดีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน ขนาดกว้างยาวประมาณ ๗๕๐ x ๕๕๐ เมตร คูเมืองมีความกว้างไม่ต่ำกว่า ๒๐ เมตร ด้านหนึ่งขุดเพิ่มขึ้นจากลำน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านเรียกว่า คลองน้ำเขียว


ลำน้ำสายนี้ต่อมาจากทางน้ำเดิมไหลตัดผ่านกลางเมืองแพรกศรีราชาและแม่น้ำน้อยไปต่อกับเมืองสมัยทวารวดีที่บ้านเกาะ เหนือขึ้นไปมีทางน้ำแยกไปสู่เมืองสมัยทวารวดีอื่นๆ เช่นที่ ดงกระเบื้องและเมืองสมัยทวารวดีที่หางน้ำสาคร อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ส่วนทางด้านทิศใต้ ลำน้ำเก่าสายนี้เป็นจุดเริ่มต้นของลำน้ำสีบัวทองซึ่งมีเมืองทวารวดีตั้งอยู่หลายแห่ง เช่นที่ บ้านคูเมือง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นต้น (แพรกศรีราชาหรือสรรคบุรี : ศรีศักร วัลลิโภดม, เมืองโบราณ ๒๕๑๗)


แสดงให้เห็นว่าทางน้ำเก่าสายนี้ค่อนข้างสำคัญสำหรับชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันในบริเวณที่ราบภาคกลาง โดยดูจากลักษณะการเลือกที่ตั้งถิ่นฐาน รูปร่างและขนาดของเมือง โบราณวัตถุที่พบซึ่งมีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมาก


เมืองโบราณที่ดงคอนมีคุณสมบัติดังกล่าวและนอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น เหรียญที่มีจารึกอักษรปัลลวะ ความว่า “ศรีทวารวติศวรปุญญะ” ด้านหลังเป็นรูปแม่และลูกวัว พบจำนวน ๕ เหรียญ ภายในบริเวณเมืองโบราณดงคอน หลังจากได้พบที่ อู่ทอง นครปฐม อินทร์บุรี นายชะเอม แก้วคล้าย จากกองหอสมุดแห่งชาติ ให้ข้อเสนอของคำแปลข้อความนี้ว่า “พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” (โบราณคดีเมืองดงคอน : ภูธร ภูมะธน, ๒๕๓๐)


เหรียญจารึกอักษรปัลลวะความว่า “ศรีทวารวติเทวิศวรปุญญะ” พบหนึ่งเหรียญ ตัวอักษรคมชัด ที่สำคัญคือมีคำว่า “เทวิ” เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำ คำแปลคือ “พระเจ้าศรีทวารวติและพระราชินีผู้มีบุญ” เป็นเหรียญแรกและเหรียญเดียวที่พบและได้รับการเผยแพร่ในประเทศไทย


จากการเสนอข้อความเช่นนี้ ทำให้น่าจะลองพิจารณาความสำคัญของเหรียญจารึกกันอีกสักครั้ง เพราะคำแปลเดิมที่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ แปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งทวารวดี” คำว่า ทวารวดีนั้นคือบ้านเมืองหรือรัฐ หากแต่ที่แปลใหม่ของคุณชะเอม แก้วคล้ายกลายเป็นศรีทวารวดีที่เป็นชื่อของกษัตริย์ไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็อาจจะเป็นเรื่องน่าปวดหัว จำเป็นที่จะต้องรื้อต้องฟื้นกันเป็นการใหญ่ ทั้งบริเวณที่พบเหรียญเช่นนี้อยู่ในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา การตีความเรื่องอำนาจทางการเมืองก็อาจจะมีความชัดเจนขึ้นจากเดิม


ส่วนเหรียญที่มีจารึกเพิ่มคำว่า “เทวิ” แสดงให้เห็นสถานภาพของสตรีชั้นสูงในบ้านเมืองแถบนี้ เรื่องเหล่านี้อาจจะแต่งเติมประวัติศาสตร์ยุคต้นๆ ให้มีสีสันขึ้นอีกไม่น้อย


นอกจากนี้ยังพบเหรียญตราสัญลักษณ์มงคลต่างๆ เป็นจำนวนมาก และมักจะถูกตัดกลางจนเกือบขาด บางเหรียญมีร่องรอยการใช้งานอย่างหนัก คือตราประทับลึกและลางเลือน จึงทำให้คิดไปว่า น่าจะใช้เป็นสื่อในการติดต่อค้าขายมากกว่าเป็นเหรียญที่ระลึกทางศาสนา


พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองโบราณดงคอนถูกใช้ในการทำนาไปเกือบหมดแล้ว อีกทั้งคลองชลประทานก็ไหลผ่านกลางเมือง ทำให้หลักฐานที่เหลืออยู่ถูกทำลายตามไปด้วย ด้านนอกของเมืองทางทิศเหนือ มีโบราณสถานแห่งหนึ่งเรียกว่า โคกปราสาท อิฐจากโบราณสถานนี้ขนาดใหญ่มาก โดยเฉลี่ยขนาด ๕๐x ๒๕ x ๑๕ เซนติเมตร ซึ่งก็น่าจะรับน้ำหนักจากโบราณสถานขนาดใหญ่มาก่อน


ถัดเข้ามาภายในบริเวณหมู่บ้านมีวัดร้างอยู่ ๒ แห่ง เรียกว่า วัดตะวันออกและวัดศรีมหาโพธิ์ ซึ่งอยู่ในสมัยอยุธยาตอนต้น โบราณวัตถุที่พบ เช่นเครื่องถ้วยและตุ๊กตาสังคโลก เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง ทำให้ทราบว่า บริเวณเมืองโบราณแห่งนี้คงจะมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องต่อกันตลอดเวลา ความเจริญของแหล่งชุมชนแต่เดิมน่าจะอยู่ที่ดงคอนก่อนไปเติบโตขึ้นอีกแห่งที่ริมแม่น้ำน้อยคือเมืองแพรกศรีราชาหรือสรรคบุรี ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๓ กิโลเมตร สาเหตุนั้นน่าจะมาจากความสำคัญของทางน้ำเก่าได้ลดลงนั่นเอง


ลักษณะของชุมชนบ้านดงคอนได้กลายเป็นหมู่บ้านที่อยู่ลึกออกมาจากแม่น้ำ ค่อนข้างแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว และได้ชื่อว่าเป็นชุมโจรที่สำคัญแห่งหนึ่งในราวสมัยรัชกาลที่ ๕ และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา เสือทางแถบสุพรรณบุรีก็มีชีวิตโลดแล่นและมีความสัมพันธ์กับดงคอนมากมายนัก ทั้งเสือฝ้าย เสือแฮม เสือมเหศวร ฯลฯ ทั้งนี้เพราะดงคอนเป็นเขตติดต่อกับอำเภอเดิมบางนางบวช แหล่งเสือสุพรรณที่ขึ้นชื่อในสมัยนั้น


ทิวอันยาวเหยียดที่เดินชักแถวข้ามทุ่งของพวกเสือในอดีต กลายเป็นเรื่องฝังใจของชาวบ้านที่อายุเลย ๕๐ ปีขึ้นไป และเป็นเรื่องเศร้าร้ายกาจเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบ้านดงคอน


พิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้าน


หลังจากเก็บข้อมูลโดยบันทึกจากคำบอกเล่าของชาวบ้านรวมกับการสำรวจทางโบราณคดีแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ การหาลักษณะวิธีการจัดพิพิธภัณฑ์และสื่อสารกับชาวบ้านถึงความสำคัญของสิ่งที่จะทำขึ้นใหม่ เพราะดงคอนเป็นชุมชนที่หนาแน่นและมีวัดโคกดอกไม้เป็นศูนย์กลาง พุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก


การจัดพิพิธภัณฑ์ของชุมชนบ้านดงคอน จึงเริ่มต้นกันที่วัด



ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านเป็นศาลาเก่าๆ และแทบจะไม่มีคนมาใช้ประโยชน์เลย เมื่อต่อเติมขึ้นอีกเล็กน้อย โดยแบ่งช่องด้านหน้า ๒ ข้างกั้นลูกกรงไม้ระแนง ใช้เป็นห้องอ่านหนังสือและห้องวารสารจัดเก็บหนังสือที่มีอยู่เดิมรวมกับหนังสือที่ขอรับบริจาค จึงได้ห้องสมุดเล็กๆ ๒ ห้อง นอกจากนี้ยังมีเกมต่างๆ และหนังสือการ์ตูนจัดไว้สำหรับเด็กๆ โดยสามารถหยิบออกมาได้อย่างอิสระ


(ภาพซ้าย) ด้านหน้าคือห้องสมุดและห้องวารสาร ใช้เป็นที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน

(ภาพขวา)แม่บ้านจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องโบราณวัตถุ


ด้านในเป็นพื้นที่การจัดแสดง แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ


นิทรรศการรูปภาพ แผนที่ แบบจำลอง แผ่นข้อมูล กล่องสไลด์ อธิบายเรื่องราวทางโบราณคดีที่สัมพันธ์กับพื้นที่บ้านดงคอน แสดงให้เห็นพัฒนาการในอดีตเรื่อย ๆ มา ส่วนโบราณวัตถุที่พบใช้รูปถ่ายประกอบโดยการเอื้อเฟื้อของ น.พ.สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย การอธิบายสถานที่จริงโดยใช้ชื่อที่ชาวบ้านเรียก เช่นคูเมืองด้านหนึ่งเรียกว่า ลำไชยคลี (ที่มาของชื่อมาจากนิทานเรื่องสังข์ทองตอนตีคลี ส่วนสระน้ำกลางเมืองเชื่อว่าเป็นวังของหกเขย โคกปราสาทนอกเมืองเชื่อว่าเป็นวังของเจ้าเงาะ อาจจะเป็นนิทานท้องถิ่นจากชาวบ้านเชื้อสายลาวในชุมชนใกล้เคียง) ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นหนองตามธรรมชาติ แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงมีลักษณะยาว รี เช่นนี้ เมื่อพบคำอธิบายก็เกิดความเข้าใจและรู้เรื่องราวในชุมชนของตนเองมากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น


โบราณวัตถุที่พบทั่วไปในท้องถิ่นและของใช้ในชีวิตประจำวันที่เลิกใช้แล้ว ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ชาวบ้านบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ ของที่จัดแสดง เช่น แผ่นอิฐจากโบราณสถาน เครื่องมือเหล็กและอื่น ๆ ส่วนของใช้อื่น ๆ เช่น ระหัดวิดน้ำด้วยมือ อุปกรณ์ในการทำนาโดยใช้ควายที่เลิกใช้มากว่า ๑๐ ปีแล้ว สีโบกอุปกรณ์ในการทอผ้าพิมพ์ไม้สำหรับทำขนม กระบอกน้ำขนาดใหญ่ เครื่องมือดักจับสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องสังคโลก ภาชนะดินเผาจากกลุ่มเตาแม่น้ำน้อยและของมีค่าอื่น ๆ อีกมาก


สิ่งของเหล่านี้ แรกทีเดียวใช้วิธีเดินขอรับบริจาค แต่เมื่อมีพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ก็มีชาวบ้านกลับไปขนของที่บ้านตัวเองเอามาบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ของหมู่บ้านกันเป็นการใหญ่ จนไม่มีที่จะเก็บกันทีเดียว


ของที่มีค่าจะนำออกตั้งแสดงเมื่อเวลามีงานเท่านั้น เพราะอาคารเป็นห้องเปิด เข้าชมได้ทุกเวลา เป็นการทดลองการจัดแสดงในรูปแบบที่ผู้เข้าชมสามารถหยิบจับและทดลองใช้สิ่งของเหล่านี้ได้ และเป็นที่น่ายินดีว่า สิ่งของในพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดบ้านดงคอน ยังอยู่ครบบริบูรณ์ไม่ได้หายไปไหน


จากการทลองทำงานที่ผ่านมา ให้ข้อคิดที่ได้จากการจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบ้านดงคอนหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น


การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประจำชุมขน โดยชาวบ้านมีส่วนร่วมมากที่สุดจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและระลึกอยู่ว่าจะต้องรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ สิ่งเหล่านี้เกิดแล้วกับชาวบ้านดงคอนที่ได้ร่วมกันสร้างและบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ส่วนนักศึกษาเป็นฝ่ายจัดแสดงและหาเงินค่าใช้จ่าย โรงเรียนประถมวัดโคกดอกไม้ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันเป็นฝ่ายดูแลและรับผิดชอบพิพิธภัณฑ์


สถานที่นี้จึงกลายเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวบ้านดงคอนอีกแห่งหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องหาผู้ดูแลต่อเนื่อง จัดเก็บรวบรวมและเสริมต่อการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ซึ่งน่าจะเป็นผู้มีความรู้ในท้องถิ่น โดยนักเรียนมัธยมหรือผู้นำเยาวชนที่กำลังมีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากมาย จะเป็นผู้ดูแลได้อย่างดียิ่ง


ในกรณีพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ ได้เยาวชนที่รับการอบรมความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมจากโครงการของนักศึกษาชมรม อนุรักษ์ฯ เป็นผู้สานต่อต่อไป


ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวในท้องถิ่นมีเพิ่มขึ้น ชาวบ้านมีความภาคภูมิใจในอดีตของชุมชนของตนเอง อย่างเช่น คราวประชุมลูกบ้านวันหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ถึงกับขอร้องลูกบ้านให้เรียกบ้านดงคอนเสียใหม่ว่า “เมืองดงคอน” ซึ่งก็มีผู้เรียกตาม ๆ กันหนาหูขึ้นตามลำดับ


ถึงแม้ว่าการจัดพิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้านออกจะเป็นการทดลองการจัดพิพิธภัณฑ์ในท้องถิ่นจุดที่เล็กย่อยเกินไป ซึ่งในการปฏิบัติจริงแล้วอาจจะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในการที่จะลงทุนจัดพิพิธภัณฑ์ขึ้นตามหมู่บ้านทั่วประเทศไทย ซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้แน่หากจะโยนหน้าที่รับผิดชอบไปให้หน่วยราชการ เช่น กรมศิลปากร


แต่อยากจะเรียนเสนอดังนี้คือ


ถ้าสามารถให้ความสำคัญกับการจัดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในกรมการศึกษานอกโรงเรียน หรือโครงการพัฒนาหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โดยมีการอบรมให้เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ หากสามารถทำได้ ก็จะทำให้เกิดการกระจายความคิดเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง การจัดพิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้านจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ต่อไป


เพราะจากการที่ได้ทดลองจัดทำมาแล้วนี้ เห็นว่า คนในท้องถิ่นมีความพร้อมและมีความต้องการรับรู้ในอดีตของตนเองอยู่แล้ว ขาดอยู่แต่เพียงการสร้างความเข้าใจในการสร้างอดีตของชุมชนให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเท่านั้น


การทดลองจัดทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของนักศึกษาจากชมรมอนุรักษ์ฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นเพียงการทดลองทำจากทฤษฎี หากแต่ผลที่ได้รับทำให้ทราบว่า


“แม้ส่วนที่เล็กที่สุดเช่นหมู่บ้าน หากสามารถเข้าถึงอดีตและปัจจุบันได้ สิ่งที่เห็นก็คือความยิ่งใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน”


วลัยลักษณ์ ทรงศิริ (เคยพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เดือนมีนาคม ๒๕๓๓)


 

(แม้ พ.พ.ท้องถิ่นที่บ้านดงคอนนี้ จะไม่ได้ประสบความสำเร็จหลังจากนั้นเป็นต้นมา แต่ก็ถือว่าเป็นงานทดลอง ชิ้นแรก ๆ ที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้ทำและกลายเป็นความต่อเนื่องให้เกิดการเข้าไปทำงานเรื่องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในอีกหลายแห่ง)

Comentarios


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page