top of page

ฟื้นขุนยวม-เมืองปอนเมื่อพลังท้องถิ่นตั้งรับ

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

อัปเดตเมื่อ 9 ก.พ. 2567

เผยแพร่ครั้งแรก 1 ก.ค. 2553


ทุ่งนาเมื่อแรกตกกล้าดำนา


กลางเดือนกรกฎาคม ฝนที่ควรตกหนักเสียนานแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะมีน้ำฟ้าน้ำฝนมากพอให้ชาวบ้านร่วมกันปักกล้าดำนา ในพื้นที่แบบเทือกเขาและหุบเขาของแม่ฮ่องสอน หากมีที่ราบเป็นช่องว่างพอจะทำนาได้ ผืนดินเหล่านั้นจะกลายเป็นที่นาอันมีค่าแก่หมู่บ้าน เราจึงได้เห็นการจัดการพื้นที่อย่างละเอียดยิบ แม้จะเป็นที่เนินสูงก็ถูกจัดแปลงทำเป็นนาขั้นบันได ตามหุบตามช่องเขาน้อยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน หากมองจากฟ้าในหน้าฝนก็จะเห็นภาพผืนนาเรียบเขียวแทรกอยู่เป็นหย่อม ๆ


อากาศปรวนแปรที่ร้อนและแล้งนานเช่นปีนี้กลับกลายเป็นทรัพย์ในดินแก่คนทั่วขุนยวม ตั้งแต่ฝนลงมาบ้าง เห็ดเผาะหรือเห็ดถอบตามแต่ท้องถิ่นไหนจะเรียกก็ผุดนอนยิ้มรออยู่ใต้ดินให้คนมาเก็บกันไปเป็นรายได้กว่า ๓๐ ล้านบาทแล้ว วันเลี้ยงผีเจ้าเมืองที่ศาลเจ้าเมืองขุนยวม ท่านทำนายไว้ว่า จะมีเพชรมีคำโปรยอยู่ในไร่ในดอย แม่เฒ่าหลายท่านนึกถึงคำทำนายนี้และเห็นเห็ดเผาะที่ผุดตามธรรมชาติอย่างมากมายในปีนี้ก็คือขุมทรัพย์จากแผ่นดินที่โปรยปรายให้แก่ชาวบ้านชาวเมืองนั่นเอง


เห็ดเผาะทำรายได้งามแก่ชาวบ้าน บางคนตั้งแต่ต้นฤดูหาเงินได้หลายแสนบาท เดี๋ยวนี้มีโรงงานทำเป็นเห็ดเผาะกระป๋องกันแล้วจึงรับซื้อได้อย่างไม่อั้น แต่การที่ขึ้นโดยธรรมชาติใต้ดินจึงเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ราคาจึงขึ้นลงตามตลาดว่าจะมีมากหรือน้อย แม้ผู้คนจะถือว่าวิธีเผาโคนไม้จะทำให้เห็ดเผาะออกมาก จนถึงกับกล่าวว่าเมืองแม่ฮ่องสอนมีหมอกควันปกคลุมเพราะชาวบ้านเผาป่านี่แหละ แต่ปีนี้ฝนแล้ง ร้อนนาน ธรรมชาติก็ชดเชย ป่าเขาถือเป็นพื้นที่สาธารณะ ใครขยันเก็บเท่าไหร่ก็ได้ แม้เริ่มจะมีคนจากต่างถิ่นเข้ามาบ้าง แต่ก็ถือว่ายังไม่มีใครลุแก่อำนาจมาชี้ที่ดินในเขตขุนยวมให้ตกแก่กลุ่มและตนเองแบบถือสิทธิ์เหมือนท้องถิ่นอื่น ๆ


ในบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ตามหุบเขา มีลำห้วยสายเล็กสายน้อย พื้นที่ราบดูเหมือนจะมีค่ามหาศาลแก่การเพาะปลูกทำกิน เมื่อตั้งบ้านตั้งเมืองเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยจักรวาลทัศน์หรือการมองโลกแบบเบ็ดเสร็จในตัวเองก็ดูเหมือนจะมีการติดต่อจากโลกภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากในปัจจุบัน การจัดการพื้นที่ภายในท้องถิ่นของตนเองที่มีหลักบ้านหลักเมืองรูปแบบท้องถิ่นโบราณชัดเจน ซึ่งเน้นใน “การแบ่งปันทรัพยากรส่วนรวม” ก็เปลี่ยนไปตามมูลค่าที่ดินแบบปัจเจกที่ถือการออกโฉนดเอกสารสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ


วงเสวนาบอกเล่าเรื่องเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ขุนยวม


ทรัพยากรส่วนรวม [Common property] คือหัวใจของท้องถิ่นแบบดั้งเดิม การแบ่งสันปันส่วนของคนในท้องถิ่นต่าง ๆ มักขึ้นอยู่กับสภาพนิเวศในแต่ละแห่งที่แตกต่างกันไป หากไม่มีการจัดสรรอย่างเป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับ ชาวบ้านชาวเมืองก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้มานานหลายชั่วอายุคนเช่นนี้ วิธีคิดแบบดั้งเดิมเป็นที่ยอมรับแพร่หลายมาเนิ่นนานก่อนที่ทุนนิยม [Capitalism] ซึ่งเปลี่ยนวิธีคิดเป็นการใช้เอกสิทธิ์แบบปัจเจก ให้สิทธิ์เฉพาะคนเข้าจัดการทรัพย์สินที่อาจเคยเป็นของส่วนรวมหรือของท้องถิ่นมาก่อนที่ชาวบ้านเคยยกให้เป็นพื้นที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้าของทุนที่มีเงินมาก เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครทราบก็ได้ และใช้อำนาจทางกฎหมายจัดการกับผู้บุกรุกโดยไม่ทราบหรือไม่สนใจอำนาจการจัดการทรัพยากรส่วนรวมแต่เดิมเหล่านั้น


ปัจจุบันนี้ “เมืองปอน” คือหมู่บ้านขนาดใหญ่ [Village] ในขณะที่ “ขุนยวม” คือเมืองขนาดเล็ก [Town] ชุมชนทั้งสองแห่งอยู่ใกล้กัน เป็นแอ่งที่ราบเล็ก ๆ มีเพียงภูเขากั้น ท่ามกลางเทือกเขาน้อยใหญ่ของแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่เลยจากเมืองแม่สะเรียงและแม่ลาน้อยมาไม่เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ของพื้นที่เป็นกลุ่มคนไทใหญ่ พวกเขาพึงพอใจจะเรียกตนเองว่า “คนไต” มากกว่า


ทุกวันนี้ผู้คนทั้งสองแห่งเกิดความสับสนของการเป็นบ้านเมืองที่ยังคงสืบวัฒนธรรมเป็นแบบจารีต ชาวบ้านยังศรัทธาในหลักบ้านหลักเมือง สงวนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้แก่ชุมชน เช่น วัด ศาลเจ้าเมือง ศาลากลางบ้าน จนถึงที่ฝังศพและลานทำพิธีกรรมเผาศพของพระผู้ใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่น แม้จะคลายความหมายสำหรับที่ดินส่วนรวมอื่นๆ เช่น ถนนหนทาง ป่าไม้ ที่ว่างอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยกลายเป็นเอกสิทธิ์ของคนที่สามารถซื้อหาได้ แต่พื้นที่เดิมแบบจารีตที่ชาวบ้านถือว่าไม่ควรมีการใช้งานอย่างอื่น กลายเป็นว่ามีนโยบายจากผู้บริหารซึ่งเป็นคนจากท้องถิ่นอื่นว่า ควรจะถูกนำไปใช้ทำสวนซากุระและอนุสรณ์สถานความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้คนขุนยวมลุกขึ้นมาทวงถามความเหมาะสมในนโยบายของรัฐในระดับเทศบาลที่ควรจะเข้าใจและใกล้ชิดกับโลกทัศน์และความเชื่อของชาวบ้านชาวเมืองขุนยวมได้ดีกว่าที่เป็นอยู่


การเคลื่อนไหวดังกล่าวนำไปสู่การอบรมฟื้นพลังความรู้ท้องถิ่นอย่างที่เคยมีและเคยเป็นไปจากประสบการณ์การทำงานเรื่องการศึกษาท้องถิ่นต่าง ๆ ของคนภายนอก มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ได้รับเชิญจากองค์กรชาวบ้านในท้องถิ่นเมืองปอนและขุนยวมให้ช่วยไปพูดไปคุยเรื่องราวเกี่ยวกับ “จะศึกษาประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สร้างโดยชาวบ้านได้อย่างไร”


วัตถุประสงค์นั้นตั้งเรื่องกันไว้ว่า เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องท้องถิ่นของตนเอง โดยเฝ้ามองและสังเกตการณ์จากภูมิวัฒนธรรม หรือภูมิประเทศที่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์ ทำความเข้าใจเรื่องพื้นที่ในเชิงจินตนาการที่เรียกว่า “ท้องถิ่น” ประกอบด้วยองค์ประกอบอย่างไรบ้าง และมนุษย์อยู่ร่วมเป็นสังคมในท้องถิ่นนั้นอย่างไร และสร้างประวัติศาสตร์ของตนเองในเรื่องต่าง ๆ ผ่านการบอกเล่าจากประสบการณ์ของผู้คนในท้องถิ่นในวัยและภูมิหลังที่แตกต่าง


ต่อมาจึงเป็นการบันทึกความทรงจำเหล่านั้นด้วยการนำเสนอต่าง ๆ เช่น การเขียนบรรยาย การวาดภาพสื่อจินตนาการ การถ่ายทำวีดีโอดิจิตอล การตัดต่อเสียงสัมภาษณ์ หรือการเล่าเรื่องผ่านการเล่นละคร การจัดแสดงนิทรรศการ การนำเสนอในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนนำความรู้ที่ได้ไปเป็นฐานความคิดเรื่องการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในชุมชนของตนเอง


ชาวบ้านทั้งสองแห่งได้งบประมาณสนับสนุนจากสภาพัฒนาการเมืองของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพหลัก ในขณะที่ภาวะบ้านเมืองต้องการสร้างความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันอย่างขนานใหญ่ แต่หากพิจารณาแบบลึกซึ้ง รูปแบบประชาธิปไตยอย่างไรเล่าจึงจะเหมาะสมแก่ท้องถิ่นที่เคยมีระบบวิธีคิดยึดมั่นในพุทธศาสนา มีความเชื่อและจารีตแบบเดิมเป็นฐานสำคัญของชีวิต หากตัดยอดนำแต่หลักการประชาธิปไตยที่ไม่เคยประสบความสำเร็จให้ผู้คนรู้สึกมีส่วนร่วมได้กับกิจกรรมของท้องถิ่น มีแต่จะถูกริบหรือผลักไสสิทธิ์และเสียงของตนเองไปให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันว่าจะได้อำนาจมาด้วยใจศรัทธา


อำนาจทางการเมืองในประเทศไทยนิยมใช้อำนาจทางกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จ แตกต่างจากอำนาจบารมีของผู้นำชุมชนของเมืองหรือหมู่บ้านแบบเดิมที่ใช้รูปแบบการต่อรอง ประนีประนอม พูดคุยทำความเข้าใจในหมู่คนของตนในเรื่องต่างๆ และหากไม่สามารถตัดสินได้ก็มักใช้ “อำนาจผีหรือบารมีพระสงฆ์” เป็นเครื่องมือในการตัดสินให้เด็ดขาด


คนที่มาฟังความรู้เหล่านี้ก็มีคนท้องถิ่นทั้งจากบ้านไกล ๆ เช่น ตัวแทนคนปกากะญอ คนไต ที่เป็นพ่อหลวงเก่า กำนัน เจ้าหน้าที่จาก อบต. ครูอาจารย์ นักเรียน หลากหลายวัยตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ ชาวบ้านจากเขตการปกครองตำบลเมืองปอนอันหลากหลายเหล่านี้กระตือรือร้นในการอบรมเชิงปฏิบัติการกันมาก เพราะได้ลงพื้นที่ไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ในบ้านที่พวกเขาเลือกหัวข้อทดลองเก็บข้อมูลเอง มีการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมระหว่างคนที่สูงกับคนที่ราบ รื้อฟื้นและเตรียมตัวเพื่อนำเสนอประสบการณ์จากการเก็บข้อมูลภายในคืนเดียวด้วยการใช้สื่อโดยโปรแกรม “Power point”


ที่เมืองปอนด้วยเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ โครงสร้างทางสังคมไม่ซับซ้อนและยังคงพื้นฐานความเชื่อและสามารถสืบถึงระบบการจัดการพื้นที่และทรัพยากรในท้องถิ่นตามแบบเดิมได้มากกว่าทางขุนยวมที่ปัจจุบันกลายเป็นเมืองไปแล้ว และเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์และศาสนา เพราะเคยเป็นตลาดแต่ดั้งเดิมจนปรับเปลี่ยนกลายเป็นตลาดอีกหลายรูปแบบในปัจจุบัน คนสูงอายุในขุนยวมดูจะเป็นผู้นำในการบอกเล่าข้อมูลและกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดความทรงจำเรื่องต่าง ๆ แก่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวและเด็กนักเรียนที่พยายามทำความเข้าใจเพื่อให้ต่อติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านั้น สำหรับบางกลุ่มแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่นำมาเสนอประกอบการบอกเล่าจากการออกไปเก็บข้อมูลดูจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน ยามเมื่อต้องหยิบยกมาให้ดูทีละชิ้นและมีคนเฒ่าคนแก่คอยเล่าเสริมในสิ่งที่คาดว่าจะตกหล่นไป


ที่ขุนยวมไฟฟ้าดับทั้งวัน กลายเป็นการนำเสนอแบบปากเปล่า เขียนบนแผ่นกระดาษและนำสิ่งของจริง ๆ มาให้ดูกัน เทคโนโลยีก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างของเนื้อหาแต่อย่างใด คนเฒ่าคนแก่หลายท่านบอกว่า เมื่อก่อนไม่เห็นต้องมีอะไรก็ยังเล่าเรื่องยังประชุมพูดคุยกันได้ และเหมาะสมดีเสียอีกกับเมืองขุนยวมที่ไฟฟ้าดับอยู่เรื่อยคราวละนาน ๆ


การอบรมที่เป็นไปโดยทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมเช่นนี้ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนและรับรู้ความรู้ใหม่ ๆ ได้มากมาย ที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือ ได้รับรู้ว่าการทำความเข้าใจเรื่องการศึกษาท้องถิ่นในแบบภาพรวม ๆ [Cosmology] นั้น กลุ่มที่เข้าถึงได้ไวและทำความเข้าใจได้เร็วที่สุดน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้เรียนในระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการมากนัก และผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุล่วงพ้นวัยหกสิบกว่าปีมาแล้ว แม้จะเคยเป็นผู้อำนวยการเก่า ครูเก่า หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ หากอายุมากก็สามารถเข้าใจและต่อติดกับระบบความรู้แบบดั้งเดิมหรือแบบท้องถิ่นคนไตได้อย่างรวดเร็ว


กลุ่มที่เข้าใจได้ยากคือกลุ่มที่มีกรอบความรู้ของตนเองแบบเคร่งครัดในระบบการศึกษาอยู่แล้ว เช่น ครูอาจารย์ในสถานศึกษา นักเรียนที่ถูกอบรมมาในระบบ และกลุ่มนักพัฒนาองค์กรเอกชนที่รับงานจากหน่วยงานต่าง ๆ และส่วนใหญ่มีพื้นฐานการเรียนรู้มาจากนักวิชาการใหญ่ ๆ ตามมหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง แสดงถึงความรู้ท้องถิ่นนั้นถูกทำให้เลือนหายและเข้าใจยากด้วยความรู้ในระบบการศึกษาแบบเป็นทางการเป็นสำคัญ


เมื่อจะฟื้นพลังจากผู้คนในสังคม ความเข้าใจในท้องถิ่นต้องมีไว้เป็นพื้นฐานเป็นอันดับแรก หากจะต่อสู้ในเชิงนโยบายเพื่ออธิบายต่อสังคมให้เกิดความเข้าใจให้ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจภูมิวัฒนธรรมอันเป็นระบบความรู้จักรวาลทัศน์ของคนในพื้นที่เป็นสำคัญการจัดการพื้นที่ซึ่งผสมผสานกับระบบการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติที่เป็นอันดับรองไปจากศาสนาหลัก จึงเป็นมุมมองที่จำเป็นต้องวางใจที่มีระบบวิธีคิดแบบทื่อ ๆ ไว้ก่อน แล้วปล่อยให้ข้อมูลที่รับรู้นำทางไปสู่ความเข้าใจที่มนุษย์จะต้องสัมพันธ์ด้วยทั้งสามประการ นั่นคือ ธรรมชาติแวดล้อม ความเชื่อและความศรัทธาตลอดจนในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง


นักการเมืองท้องถิ่นอาจจะคิดว่า การล่วงล้ำเข้าไปใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนเป็นสิ่งถูกกฎหมาย หรือคิดว่าชาวบ้านไม่สามารถต้านทานอำนาจทางการเมืองได้ สิ่งเหล่านี้อาจกลับกลายเป็นพลังมหาศาลที่ไปกระตุ้นให้ผู้คนในท้องถิ่นทลายกำแพงความคิดและค้นหาพื้นฐานของชุมชนแบบดั้งเดิมที่เคยมีกฎเกณฑ์อยู่ร่วมกันมานานนับร้อยปี เพื่อที่จะนำมาอธิบายว่า “อำนาจทางการเมืองไม่สามารถสั่งหรือละเมิดจารีตดั้งเดิมได้” หากทำผิดเสียแล้วก็จะกลายเป็นการผิดกฎระเบียบที่ผู้กระทำและสังคมจะได้รับผลกระทบอย่างใดอย่างหนึ่ง


เด็ก ๆ ช่วยกันเสนองานเรื่อง “เฮือนไต” ที่เมืองปอน


ชาวบ้านที่เมืองปอนและขุนยวมเริ่มฟื้นพลังทางสังคมจากความเข้าใจในธรรมชาติในสังคมของตนที่มีมาแต่เดิม โดยการฟื้นความรู้และการรับรู้แบบเดิมเพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังหรือพวกที่เรียนมากได้เรียนรู้


สถานการณ์ของการท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับทุนจำนวนมหาศาลและเศรษฐกิจจากการสร้างตลาดรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในขุนยวมไปมาก จะเป็นข้อสอบใหญ่ในการนำเสนอหาแนวทางร่วมกัน โดยมีพื้นฐานทางสังคมของตนเองเป็นต้นทุนทางความคิด


เดือนกันยายนคงเป็นเดือนแห่งการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่มูลนิธิฯ กับชาวบ้านที่เมืองปอนและขุนยวมร่วมปรึกษาหารือกันอีกครั้ง ผลจากการทำงานในครั้งต่อไปน่าจะมีแง่มุมและเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่น่าสนใจไม่แพ้ในครั้งนี้


วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่:





Comments


เกี่ยวกับมูลนิธิ

เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ ๕๘๐ ของประกาศกระทรวงการคลังฯ เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจทางสังคมวัฒนธรรมในท้องถิ่นต่างๆ และเพื่อสร้างนักวิจัยท้องถิ่นที่รู้จักตนเองและรู้จักโลก

SOCIALS 

© 2023 by FEEDs & GRIDs. Proudly created with Wix.com

bottom of page